คนไทยตายมากกว่าเกิด ปีที่แล้วเกิดใหม่น้อยกว่า 5 แสน ต่ำสุดในรอบ 70 ปี ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
https://brandinside.asia/thai-birth-rate-lower-break-the-record/
รู้หรือไม่ ปี 2567 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกันแล้วที่คนไทย ‘ตาย’ มากกว่า ‘เกิด’ โดยมีเด็กเกิดใหม่เพียง 462,240 คน ต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี หรือแทบจะเรียกได้ว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ในช่วงปี 2506-2526 ประเทศไทยมีประชากรเกิดใหม่ปีละกว่า 1 ล้านคน แต่นับตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา จำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยก็ลดลงเรื่อยๆ แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่ต่ำว่า 5 แสนคน
เด็กเกิดน้อย โครงสร้างประชากรเปลี่ยน กระทบเศรษฐกิจสังคม
บทความ ‘จำนวนเด็กไทยเกิดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สวนทางนโยบายมีลูกเพื่อชาติ’ ของ รศ.ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า ‘เด็กเกิดน้อย’ จะกระทบกับ ‘โครงสร้างประชากร’ เพราะจะทำให้ ‘สัดส่วนผู้สูงวัย’ เพิ่มขึ้น
ตอนปี 2548 ไทยเข้าสู่ ‘สังคมสูงวัย’ (10% ของประชากร)
ตอนปี 2567 ไทยเข้าสู่ ‘สังคมสูงวัย’ อย่างสมบูรณ์ (20% ของประชากร)
นอกจากนั้น ข้อมูลจากกรมอนามัยยังสะท้อนว่า 60 ปีข้างหน้าจะเหลือ ‘ประชากรไทย’ อยู่แค่ 33 ล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของสถิติ 66 ล้านคนในปัจจุบัน ซึ่งใกล้เคียงกับคาดการณ์ของศาสตราจาร์เกียรติคุณ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ ที่ปรึกษาอาวุโส สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ที่ประเมินว่า ถ้าไม่มีนโยบายประชากรใดๆ ในที่สุดไทยจะเหลือประชากร 29 ล้านคน และจะลดลงไปเรื่อยๆ
เมื่อโครงสร้างประชากรเปลี่ยน เด็กเกิดน้อย คนแก่มาก ย่อมกระทบต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมไทย ตั้งแต่คนลดลง รูปแบบครอบครัวเปลี่ยน ขาดกำลังแรงงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ
คนไทยยังเป็นโสด ไม่อยากมีลูก
กรมอนามัย บอกว่า ที่มาของเด็กไทยเกิดน้อยมาจาก 4 สาเหตุหลัก คือ
ยังเป็นโสด ไม่อยากมีลูก มีลูกยาก และอยากมีลูก แต่กฎหมายไม่เอื้อให้มีลูก
•
คนไทยยังเป็นโสด ข้อมูลจาก
สภาพัฒน์บอกว่า 40.5% ของคนไทยวัยเจริญพันธุ์ยังเป็นโสด
•
คนไทยไม่อยากมีลูก ข้อมูลจาก
นิด้าโพลบอกว่า 44% ของคนไทยไม่อยากมีลูก เพราะภาระค่าใช้จ่ายสูงและห่วงสังคมไม่เหมาะให้เด็กเติบโต
•
คนไทยมีลูกยาก ข้อมูลจาก
กรมอนามัยบอกว่า 10-15% ของคู่สมรสไทยประสบภาวะมีบุตรยาก
•
คนไทยอยากมีลูก แต่กฎหมายไม่เอื้อ ข้อมูลจากกรมอนามัยบอกว่า ก่อนหน้านี้ยังไม่มีกฎหมายสมรมเท่าเทียมและยังไม่มีการปรับกฎหมายเกี่ยวกับการรับบุตรบุญธรรมและการอุ้มบุญ
คนไทยมอง ‘เด็กเกิดน้อย’ เป็นวิกฤต แต่คนแต่งงานแล้วก็ยังไม่อยากมีลูก
จากการสำรวจของสถาบันวิจัยประชากรและสังคมพบว่า 71% ของคนไทยเห็นด้วยว่าจำนวนเด็กเกิดน้อยเป็นวิกฤตของประเทศ แต่กลับมีเพียง 44% เท่านั้นที่เห็นด้วยกับนโยบายส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากขึ้น
ที่สำคัญ คือ มีคู่สมรสไทยแค่ 33% เท่านั้นที่ยืนยันว่าจะ ‘มีลูก’ จึงอาจเป็นสัญญาณการเกิดที่น้อยลงอีก
ถ้าแบ่งตามอายุจะพบว่า Gen X คือ กลุ่มที่มีแนวโน้มจะมีลูกมากที่สุด (60%) ขณะที่กลุ่ม Gen Z อยู่ในลำดับรองลงมา (55%) และ Gen Y เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะมีลูกน้อยที่สุด (44%)
สถิติทั้งหมดยังคงสวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนให้ประชากรไทย ‘มีลูกเพื่อชาติ’ ตัวอย่างเช่นการให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ปีแบบถ้วนหน้า แต่ผู้ตอบแบบสำรวจครึ่งหนึ่งเท่านั้ที่มองว่านโยบายนี้จะช่วยให้คนไทยมีลูกมากขึ้น
ประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น (49%) ที่เห็นด้วยว่าเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดจะช่วยส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากขึ้น แทนการจ่ายให้กับครอบครัวรายได้น้อย ทำให้เห็นว่าแค่นโยบายนี้อย่างเดียว ไม่น่าทำให้คนไทยมีลูกเพิ่มขึ้นตามนโยบายรัฐบาล
• คนเกิดน้อยทั่วโลก แต่สิงคโปร์จำนวนประชากรเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งแรก
• แม้ประชากรไม่เพิ่มขึ้น แต่ญี่ปุ่นแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลนได้ ทำให้คนต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์
• เด็กไทยเกิดน้อย จนโรงเรียนรัฐ-โรงเรียนเอกชนทยอยปิด แต่โรงเรียนนานาชาติกลับโตพุ่ง เพราะพ่อแม่กำลังจ่ายสูงเพิ่ม-ชอบหลักสูตรนานาชาติมากกว่า
• บ้านพักคนชราไทยไม่พอ คนแก่ 7 แสนต้องการคนดูแล แต่คนที่จ่ายไหวมีแค่แสนเดียว
แฉ พฤติการณ์แก๊งคอล ใช้คนใกล้ชิดหลอกเหยื่อทำงาน ส่งรถรับถึงบ้าน โผล่ตึก 18 ชั้นปอยเปต
https://www.matichon.co.th/politics/news_4993371
“ปูอัด”แฉแกงค์จีนเทาเหยียบจมูกถึงถิ่น “หลอกเด็ก”ใช้ความฝันเป็นข้ออ้างหลอกไปเล่นฟุตบอล แต่กลับกลายเป็นคอลเซนเตอร์ เตรียมไปนั่งเฝ้าที่ โรงเกลือ ท้าไม่กลัวอยากยิงก็เชิญ จี้ “นายกฯ”ทำเป็นวาระแห่งชาติ
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 10 มกราคม ที่รัฐสภา นาย
ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ส.ส.กทม.พรรคไทยก้าวหน้า แถลงว่า วันนี้ปฏิเสธไมได้ว่าแกงค์คอลเซนเตอร์เข้ามาอยู่พื้นที่แล้ว โดยล่าสุดมีการหลอกเด็กจากเขตบางขุนเทียน จอมทอง ไปอยู่ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา และบังเอิญเมื่อวันที่ 9 มกราคม ตนได้ไปที่สน.บางมด ซึ่งพ่อแม่ของเด็กก็ได้ไปแจ้งความว่าถูกหลอกมาแล้ว 2 วัน ในจังหวะนั้นเด็กคนดังกล่าวสมมติชื่อ “
น้องเอ” ได้แอบวีดีโอคอลเข้ามาหาพ่อแม่ ซึ่งตนก็ได้พูดคุยกับน้อง
เอ ด้วย เนื่องจากเป็นเด็กที่อยู่ในพื้นที่ของตน
จากการพูดคุยพบว่าการหลอกของแก๊งจีนเทามีการพัฒนาไปมาก โดยน้อง
เอ ถูกชักจูงจากคนใกล้ชิดว่าถ้าเป็นไปนักฟุตบอลจะได้เงิน ซึ่งแก๊งจีนเทาสามารถรู้ว่าผู้เสียหายอยากเป็นอะไรในอนาคต โดยจะหลอกเด็กอายุ 20 ปีขึ้นไป ถ้าอายุต่ำกว่านี้จะกลายเป็นเรื่องการค้ามนุษย์ที่ผิดกฎหมาย ซึ่งน้องเอ มีอายุ 21 ปีอยากเป็นนักฟุตบอล ซึ่งแก๊งจีนเทา รู้ว่าน้องอยากเป็นนักฟุตบอล จึงให้คนใกล้ชิดมาพูดหว่านล้อมน้อง
เอ ว่าถ้าไปเป็นนักฟุตบอลจะได้เงินเท่านี้ ไปต่างประเทศจะได้เงินเท่านี้ เป็นการสร้างแรงจูงใจให้น้อง
เอหลงเชื่อ
“
เหตุการณ์นี้เหยียบจมูกผมมากเพราะมีการนำรถตู้มารับถึงซอยสุขสวัสดิ์ 14 ซึ่งไม่ใช่แค่น้องเอ คนเดียว ซึ่งมีเด็กคนอื่นๆอีก 4 คนรวมเป็น 5 คน โดยน้องเอ เล่าให้ฟังว่าวันแรกที่ถูกรับไปเขาให้ไปซ้อมฟุตบอลที่จังหวัดหนึ่ง ซึ่งเป็นทางผ่านไปปอยเปต พอวันรุ่งขึ้นเขาให้ขึ้นรถแล้วเดินทางต่อ ซึ่งน้องไม่ทราบว่าไปไหน มารู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่ปอยเปตแล้ว น้องเล่าให้ฟังอีกว่าหลังจากนั้นเขาบอกว่าให้เตรียมตัวเดี๋ยววันที่.. จะพาออกไปเปิดบัญชีให้ขยันทำงาน แต่น้องพยายามอ้างว่ามีญาติผู้ใหญ่ป่วยอยู่ที่ไทย ขอกลับบ้านได้หรือไม่ ทางนั้นเหมือนจะใจดี โดยบอกว่าวันที่ 11 ม.ค.จะพากลับ ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ โดยผมได้บอกกับน้องเอว่าให้สับขาหลอกให้เก่ง อยู่ให้เป็น เหมือนกับที่เราเล่นฟุตบอล อย่างไรพี่จะพากลับมาให้ได้” นาย
ไชยามพวาน กล่าว
นาย
ไชยามพวาน กล่าวต่อว่า วันนี้เรารู้พิกัดแล้ว เพราะน้องบอกว่าอยู่ในตึกอาคาร 18 ชั้น ซึ่งน้องพยายามถ่ายภาพให้เห็นในตัวอาคาร และยังมีคนไทยอีกหลายคน ซึ่งมีทั้งคนที่สมัครใจและถูกหลอกมาทำงาน ซึ่งตนได้ประสานงานกับสน.บางมด รวมทั้งประสานกับตม.อำเภออรัญประเทศ จ.สระแก้ว รวมทั้งฝั่งปอยเปต โดยพยายามประสานทุกทางเพื่อหาวิธีพาน้องเอ กลับบ้าน อย่างไรก็ตามตนอยากฝากถึงพ่อแม่อย่าโทษเด็ก เพราะเขาแค่อยากหาเงินเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง แต่ด้วยกลไกของจีนเทามีมากขึ้นทวีคูณ และอยากจะบอกกับน้องๆว่าไม่มีอะไรได้เงินมาฟรีและเร็วขนาดนั้น นอกจากเป็นสีเทาๆและอย่าพึ่งเชื่อใจใครว่าไปทำงานต่างประเทศแล้วจะปลอดภัย ขอให้ถามทางหน่วยงานราชการก่อนว่าปลอดภัยจริงหรือไม่ เพราะต่อจากนี้เราไม่รู้ว่าจะมีเด็กกี่คนที่จะต้องขึ้นรถตู้แบบน้องเอ ไป
“
ผมตั้งใจแล้วว่าจะขึ้นไปดูเอง โดยวันจันทร์ที่ 13 ม.ค.จะไปนั่งเฝ้าที่อ.อรัญประเทศ เพื่อที่จะนำหลักฐานมาให้นายกฯ และอยากรู้ว่าที่ให้เปิดบัญชีธนาคารในตลาดโรงเกลือเปิดได้อย่างไร ผมอยากเห็นหน้าจีนเทาที่นำเด็กมา ถ้ามันจะยิงผมก็ยิงตรงนั้นเลย และขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม รวมทั้งรมว.ดิจิทัลฯว่าเรื่องนี้ควรเป็นวาระแห่งชาติ ถ้าไม่เกิดขึ้นกับตัวเองคงไม่เข้าใจ เพื่อให้แก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนโดยเร็ว” นาย
ไชยามพวาน กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านาย
ไชยามพวาน ได้เปิดคลิบที่น้อง
เอ วีดีโอคอลเข้ามาขอความช่วยเหลือ และแจ้งพิกัดว่าอยู่อาคารไหนที่ปอยเปต
กสม.ร่อนแถลงการณ์ห่วง อดีตนายกฯ ปราศรัย พาดพิงเชื้อชาติ หวั่นถูกขยายความรุนแรง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4993220
กสม.ร่อนแถลงการณ์ห่วง อดีตนายกฯ ปราศรัย พาดพิงเชื้อชาติ หวั่นถูกขยายความรุนแรง
เมื่อวันที่ 10 มกราคม ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นาย
วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏข่าวและกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปราศรัยของ อดีตนายกรัฐมนตรี ลักษณะเหยียดเชื้อชาติและสีผิวของคนแอฟริกัน กสม. ในฐานะสถาบันสิทธิมนุษยชนระดับชาติ มีความห่วงกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อการกระทำดังกล่าวอันเป็นการลดทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มชนอื่น ซึ่งขัดต่อหลักการสำคัญของอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับ โดยเฉพาะอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (CERD) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและรัฐบาลมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม
นาย
วสันต์ กล่าวต่อว่า การปราศรัยดังกล่าว แม้จะเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่เมื่อคำนึงถึงสถานะทางสังคมของผู้พูดซึ่งเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองและมีอิทธิพลต่อสังคม การสื่อสารอันเป็นการเหยียดและด้อยค่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นจึงเป็นการกระทำที่ไม่สมควรยิ่ง เพราะพื้นฐานความคิดที่ว่าคนเชื้อชาติหนึ่งเชื้อชาติใดเหนือกว่าชนเชื้อชาติอื่น อาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติระหว่างมนุษย์และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสัมพันธ์และสันติภาพระหว่างชาติ ดังจะเห็นได้จากบทเรียนในอดีตของมนุษยชาติซึ่งการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเชื้อชาติ สีผิว และเผ่าพันธุ์ ได้ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและนำมาซึ่งความสูญเสียครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง อันเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้
นาย
วสันต์ กล่าวอีกว่า กสม. เห็นว่าขณะที่รัฐบาลไทยในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญา CERD มีหน้าที่ต้องจัดให้มีนโยบายและการปฏิบัติที่นำไปสู่การขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติทุกรูปแบบรวมทั้งส่งเสริมความเข้าใจระหว่างคนทุกชนชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ไทยเพิ่งได้รับเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญ คือ การเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council – HRC) วาระปี 2568 – 2570 นี้ บุคคลสาธารณะและผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมืองของไทยจึงต้องเป็นแบบอย่างที่ดีและร่วมส่งเสริมให้สังคมตระหนักและเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่นโดยไม่แบ่งแยกและเลือกปฏิบัติต่อกันด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ สีผิว หรือสถานะทางสังคมอื่นใด รวมทั้งไม่สื่อสารในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อกลุ่มคนอื่น ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและสร้างสรรค์บนพื้นฐานของการเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของคนทุกคน
JJNY : คนไทยตายมากกว่าเกิด│แฉ พฤติการณ์แก๊งคอล ใช้คนใกล้ชิดหลอกเหยื่อทำงาน│กสม.ร่อนแถลงการณ์│ไฟป่าแอลเอยังคุมไม่ได้
https://brandinside.asia/thai-birth-rate-lower-break-the-record/
รู้หรือไม่ ปี 2567 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกันแล้วที่คนไทย ‘ตาย’ มากกว่า ‘เกิด’ โดยมีเด็กเกิดใหม่เพียง 462,240 คน ต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี หรือแทบจะเรียกได้ว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ในช่วงปี 2506-2526 ประเทศไทยมีประชากรเกิดใหม่ปีละกว่า 1 ล้านคน แต่นับตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา จำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยก็ลดลงเรื่อยๆ แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่ต่ำว่า 5 แสนคน
เด็กเกิดน้อย โครงสร้างประชากรเปลี่ยน กระทบเศรษฐกิจสังคม
บทความ ‘จำนวนเด็กไทยเกิดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สวนทางนโยบายมีลูกเพื่อชาติ’ ของ รศ.ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า ‘เด็กเกิดน้อย’ จะกระทบกับ ‘โครงสร้างประชากร’ เพราะจะทำให้ ‘สัดส่วนผู้สูงวัย’ เพิ่มขึ้น
ตอนปี 2548 ไทยเข้าสู่ ‘สังคมสูงวัย’ (10% ของประชากร)
ตอนปี 2567 ไทยเข้าสู่ ‘สังคมสูงวัย’ อย่างสมบูรณ์ (20% ของประชากร)
นอกจากนั้น ข้อมูลจากกรมอนามัยยังสะท้อนว่า 60 ปีข้างหน้าจะเหลือ ‘ประชากรไทย’ อยู่แค่ 33 ล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของสถิติ 66 ล้านคนในปัจจุบัน ซึ่งใกล้เคียงกับคาดการณ์ของศาสตราจาร์เกียรติคุณ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ ที่ปรึกษาอาวุโส สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ที่ประเมินว่า ถ้าไม่มีนโยบายประชากรใดๆ ในที่สุดไทยจะเหลือประชากร 29 ล้านคน และจะลดลงไปเรื่อยๆ
เมื่อโครงสร้างประชากรเปลี่ยน เด็กเกิดน้อย คนแก่มาก ย่อมกระทบต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมไทย ตั้งแต่คนลดลง รูปแบบครอบครัวเปลี่ยน ขาดกำลังแรงงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ
คนไทยยังเป็นโสด ไม่อยากมีลูก
กรมอนามัย บอกว่า ที่มาของเด็กไทยเกิดน้อยมาจาก 4 สาเหตุหลัก คือ
ยังเป็นโสด ไม่อยากมีลูก มีลูกยาก และอยากมีลูก แต่กฎหมายไม่เอื้อให้มีลูก
• คนไทยยังเป็นโสด ข้อมูลจากสภาพัฒน์บอกว่า 40.5% ของคนไทยวัยเจริญพันธุ์ยังเป็นโสด
• คนไทยไม่อยากมีลูก ข้อมูลจากนิด้าโพลบอกว่า 44% ของคนไทยไม่อยากมีลูก เพราะภาระค่าใช้จ่ายสูงและห่วงสังคมไม่เหมาะให้เด็กเติบโต
• คนไทยมีลูกยาก ข้อมูลจากกรมอนามัยบอกว่า 10-15% ของคู่สมรสไทยประสบภาวะมีบุตรยาก
• คนไทยอยากมีลูก แต่กฎหมายไม่เอื้อ ข้อมูลจากกรมอนามัยบอกว่า ก่อนหน้านี้ยังไม่มีกฎหมายสมรมเท่าเทียมและยังไม่มีการปรับกฎหมายเกี่ยวกับการรับบุตรบุญธรรมและการอุ้มบุญ
คนไทยมอง ‘เด็กเกิดน้อย’ เป็นวิกฤต แต่คนแต่งงานแล้วก็ยังไม่อยากมีลูก
จากการสำรวจของสถาบันวิจัยประชากรและสังคมพบว่า 71% ของคนไทยเห็นด้วยว่าจำนวนเด็กเกิดน้อยเป็นวิกฤตของประเทศ แต่กลับมีเพียง 44% เท่านั้นที่เห็นด้วยกับนโยบายส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากขึ้น
ที่สำคัญ คือ มีคู่สมรสไทยแค่ 33% เท่านั้นที่ยืนยันว่าจะ ‘มีลูก’ จึงอาจเป็นสัญญาณการเกิดที่น้อยลงอีก
ถ้าแบ่งตามอายุจะพบว่า Gen X คือ กลุ่มที่มีแนวโน้มจะมีลูกมากที่สุด (60%) ขณะที่กลุ่ม Gen Z อยู่ในลำดับรองลงมา (55%) และ Gen Y เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะมีลูกน้อยที่สุด (44%)
สถิติทั้งหมดยังคงสวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนให้ประชากรไทย ‘มีลูกเพื่อชาติ’ ตัวอย่างเช่นการให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ปีแบบถ้วนหน้า แต่ผู้ตอบแบบสำรวจครึ่งหนึ่งเท่านั้ที่มองว่านโยบายนี้จะช่วยให้คนไทยมีลูกมากขึ้น
ประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น (49%) ที่เห็นด้วยว่าเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดจะช่วยส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากขึ้น แทนการจ่ายให้กับครอบครัวรายได้น้อย ทำให้เห็นว่าแค่นโยบายนี้อย่างเดียว ไม่น่าทำให้คนไทยมีลูกเพิ่มขึ้นตามนโยบายรัฐบาล
• คนเกิดน้อยทั่วโลก แต่สิงคโปร์จำนวนประชากรเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งแรก
• แม้ประชากรไม่เพิ่มขึ้น แต่ญี่ปุ่นแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลนได้ ทำให้คนต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์
• เด็กไทยเกิดน้อย จนโรงเรียนรัฐ-โรงเรียนเอกชนทยอยปิด แต่โรงเรียนนานาชาติกลับโตพุ่ง เพราะพ่อแม่กำลังจ่ายสูงเพิ่ม-ชอบหลักสูตรนานาชาติมากกว่า
• บ้านพักคนชราไทยไม่พอ คนแก่ 7 แสนต้องการคนดูแล แต่คนที่จ่ายไหวมีแค่แสนเดียว
แฉ พฤติการณ์แก๊งคอล ใช้คนใกล้ชิดหลอกเหยื่อทำงาน ส่งรถรับถึงบ้าน โผล่ตึก 18 ชั้นปอยเปต
https://www.matichon.co.th/politics/news_4993371
“ปูอัด”แฉแกงค์จีนเทาเหยียบจมูกถึงถิ่น “หลอกเด็ก”ใช้ความฝันเป็นข้ออ้างหลอกไปเล่นฟุตบอล แต่กลับกลายเป็นคอลเซนเตอร์ เตรียมไปนั่งเฝ้าที่ โรงเกลือ ท้าไม่กลัวอยากยิงก็เชิญ จี้ “นายกฯ”ทำเป็นวาระแห่งชาติ
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 10 มกราคม ที่รัฐสภา นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ส.ส.กทม.พรรคไทยก้าวหน้า แถลงว่า วันนี้ปฏิเสธไมได้ว่าแกงค์คอลเซนเตอร์เข้ามาอยู่พื้นที่แล้ว โดยล่าสุดมีการหลอกเด็กจากเขตบางขุนเทียน จอมทอง ไปอยู่ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา และบังเอิญเมื่อวันที่ 9 มกราคม ตนได้ไปที่สน.บางมด ซึ่งพ่อแม่ของเด็กก็ได้ไปแจ้งความว่าถูกหลอกมาแล้ว 2 วัน ในจังหวะนั้นเด็กคนดังกล่าวสมมติชื่อ “น้องเอ” ได้แอบวีดีโอคอลเข้ามาหาพ่อแม่ ซึ่งตนก็ได้พูดคุยกับน้องเอ ด้วย เนื่องจากเป็นเด็กที่อยู่ในพื้นที่ของตน
จากการพูดคุยพบว่าการหลอกของแก๊งจีนเทามีการพัฒนาไปมาก โดยน้องเอ ถูกชักจูงจากคนใกล้ชิดว่าถ้าเป็นไปนักฟุตบอลจะได้เงิน ซึ่งแก๊งจีนเทาสามารถรู้ว่าผู้เสียหายอยากเป็นอะไรในอนาคต โดยจะหลอกเด็กอายุ 20 ปีขึ้นไป ถ้าอายุต่ำกว่านี้จะกลายเป็นเรื่องการค้ามนุษย์ที่ผิดกฎหมาย ซึ่งน้องเอ มีอายุ 21 ปีอยากเป็นนักฟุตบอล ซึ่งแก๊งจีนเทา รู้ว่าน้องอยากเป็นนักฟุตบอล จึงให้คนใกล้ชิดมาพูดหว่านล้อมน้องเอ ว่าถ้าไปเป็นนักฟุตบอลจะได้เงินเท่านี้ ไปต่างประเทศจะได้เงินเท่านี้ เป็นการสร้างแรงจูงใจให้น้องเอหลงเชื่อ
“เหตุการณ์นี้เหยียบจมูกผมมากเพราะมีการนำรถตู้มารับถึงซอยสุขสวัสดิ์ 14 ซึ่งไม่ใช่แค่น้องเอ คนเดียว ซึ่งมีเด็กคนอื่นๆอีก 4 คนรวมเป็น 5 คน โดยน้องเอ เล่าให้ฟังว่าวันแรกที่ถูกรับไปเขาให้ไปซ้อมฟุตบอลที่จังหวัดหนึ่ง ซึ่งเป็นทางผ่านไปปอยเปต พอวันรุ่งขึ้นเขาให้ขึ้นรถแล้วเดินทางต่อ ซึ่งน้องไม่ทราบว่าไปไหน มารู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่ปอยเปตแล้ว น้องเล่าให้ฟังอีกว่าหลังจากนั้นเขาบอกว่าให้เตรียมตัวเดี๋ยววันที่.. จะพาออกไปเปิดบัญชีให้ขยันทำงาน แต่น้องพยายามอ้างว่ามีญาติผู้ใหญ่ป่วยอยู่ที่ไทย ขอกลับบ้านได้หรือไม่ ทางนั้นเหมือนจะใจดี โดยบอกว่าวันที่ 11 ม.ค.จะพากลับ ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ โดยผมได้บอกกับน้องเอว่าให้สับขาหลอกให้เก่ง อยู่ให้เป็น เหมือนกับที่เราเล่นฟุตบอล อย่างไรพี่จะพากลับมาให้ได้” นายไชยามพวาน กล่าว
นายไชยามพวาน กล่าวต่อว่า วันนี้เรารู้พิกัดแล้ว เพราะน้องบอกว่าอยู่ในตึกอาคาร 18 ชั้น ซึ่งน้องพยายามถ่ายภาพให้เห็นในตัวอาคาร และยังมีคนไทยอีกหลายคน ซึ่งมีทั้งคนที่สมัครใจและถูกหลอกมาทำงาน ซึ่งตนได้ประสานงานกับสน.บางมด รวมทั้งประสานกับตม.อำเภออรัญประเทศ จ.สระแก้ว รวมทั้งฝั่งปอยเปต โดยพยายามประสานทุกทางเพื่อหาวิธีพาน้องเอ กลับบ้าน อย่างไรก็ตามตนอยากฝากถึงพ่อแม่อย่าโทษเด็ก เพราะเขาแค่อยากหาเงินเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง แต่ด้วยกลไกของจีนเทามีมากขึ้นทวีคูณ และอยากจะบอกกับน้องๆว่าไม่มีอะไรได้เงินมาฟรีและเร็วขนาดนั้น นอกจากเป็นสีเทาๆและอย่าพึ่งเชื่อใจใครว่าไปทำงานต่างประเทศแล้วจะปลอดภัย ขอให้ถามทางหน่วยงานราชการก่อนว่าปลอดภัยจริงหรือไม่ เพราะต่อจากนี้เราไม่รู้ว่าจะมีเด็กกี่คนที่จะต้องขึ้นรถตู้แบบน้องเอ ไป
“ผมตั้งใจแล้วว่าจะขึ้นไปดูเอง โดยวันจันทร์ที่ 13 ม.ค.จะไปนั่งเฝ้าที่อ.อรัญประเทศ เพื่อที่จะนำหลักฐานมาให้นายกฯ และอยากรู้ว่าที่ให้เปิดบัญชีธนาคารในตลาดโรงเกลือเปิดได้อย่างไร ผมอยากเห็นหน้าจีนเทาที่นำเด็กมา ถ้ามันจะยิงผมก็ยิงตรงนั้นเลย และขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม รวมทั้งรมว.ดิจิทัลฯว่าเรื่องนี้ควรเป็นวาระแห่งชาติ ถ้าไม่เกิดขึ้นกับตัวเองคงไม่เข้าใจ เพื่อให้แก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนโดยเร็ว” นายไชยามพวาน กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายไชยามพวาน ได้เปิดคลิบที่น้องเอ วีดีโอคอลเข้ามาขอความช่วยเหลือ และแจ้งพิกัดว่าอยู่อาคารไหนที่ปอยเปต
กสม.ร่อนแถลงการณ์ห่วง อดีตนายกฯ ปราศรัย พาดพิงเชื้อชาติ หวั่นถูกขยายความรุนแรง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4993220
กสม.ร่อนแถลงการณ์ห่วง อดีตนายกฯ ปราศรัย พาดพิงเชื้อชาติ หวั่นถูกขยายความรุนแรง
เมื่อวันที่ 10 มกราคม ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏข่าวและกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปราศรัยของ อดีตนายกรัฐมนตรี ลักษณะเหยียดเชื้อชาติและสีผิวของคนแอฟริกัน กสม. ในฐานะสถาบันสิทธิมนุษยชนระดับชาติ มีความห่วงกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อการกระทำดังกล่าวอันเป็นการลดทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มชนอื่น ซึ่งขัดต่อหลักการสำคัญของอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับ โดยเฉพาะอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (CERD) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและรัฐบาลมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม
นายวสันต์ กล่าวต่อว่า การปราศรัยดังกล่าว แม้จะเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่เมื่อคำนึงถึงสถานะทางสังคมของผู้พูดซึ่งเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองและมีอิทธิพลต่อสังคม การสื่อสารอันเป็นการเหยียดและด้อยค่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นจึงเป็นการกระทำที่ไม่สมควรยิ่ง เพราะพื้นฐานความคิดที่ว่าคนเชื้อชาติหนึ่งเชื้อชาติใดเหนือกว่าชนเชื้อชาติอื่น อาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติระหว่างมนุษย์และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสัมพันธ์และสันติภาพระหว่างชาติ ดังจะเห็นได้จากบทเรียนในอดีตของมนุษยชาติซึ่งการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเชื้อชาติ สีผิว และเผ่าพันธุ์ ได้ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและนำมาซึ่งความสูญเสียครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง อันเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้
นายวสันต์ กล่าวอีกว่า กสม. เห็นว่าขณะที่รัฐบาลไทยในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญา CERD มีหน้าที่ต้องจัดให้มีนโยบายและการปฏิบัติที่นำไปสู่การขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติทุกรูปแบบรวมทั้งส่งเสริมความเข้าใจระหว่างคนทุกชนชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ไทยเพิ่งได้รับเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญ คือ การเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council – HRC) วาระปี 2568 – 2570 นี้ บุคคลสาธารณะและผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมืองของไทยจึงต้องเป็นแบบอย่างที่ดีและร่วมส่งเสริมให้สังคมตระหนักและเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่นโดยไม่แบ่งแยกและเลือกปฏิบัติต่อกันด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ สีผิว หรือสถานะทางสังคมอื่นใด รวมทั้งไม่สื่อสารในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อกลุ่มคนอื่น ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและสร้างสรรค์บนพื้นฐานของการเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของคนทุกคน