รถประจำทาง มุมมองที่สี่ (1)

กระทู้สนทนา
รถประจำทาง
 
              มุมมองที่สี่ (1)
 
              ถึงแม้ดวงอาทิตย์จะลาลับจากขอบฟ้าไปได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ถนนหนทางรวมถึงสิ่งปลูกสร้างสูงใหญ่ในแบบเมืองซึ่งดูดซับเก็บกักความร้อนมาตลอดทั้งวัน ยังคงแผ่ไอระอุออกมาต่อเนื่องอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน

              และนั่นก็ทำให้สภาพอากาศซึ่งควรจะเย็นสบายมากกว่านี้ ไม่ได้มีอุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างที่มันควรจะเป็น

              เหล่าบรรดาหลอดแสงจันทร์และหลอดฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งเรียงรายกระจายตัวเกลื่อนกลาดไปทั่วท้องถนน ตามตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ รวมถึงอาคารบ้านเรือนสองข้างทาง เริ่มทำหน้าที่ของมันแทนพลังงานจากภายนอกโลก ด้วยการเรืองแสงและปลดปล่อยความสว่างจากภายในตัวของมันเองออกมา

              แมลงกลางคืนหลากชนิดเริ่มขยับปีกอย่างเริงร่า โบยบินฉวัดเฉวียน วนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่แค่เพียงรอบ ๆ แสงไฟดวงน้อย โดยที่พวกมันไม่ได้รับรู้เลยว่าความสว่างไสวที่พวกมันหลงใหลอยู่ในขณะนี้นั้น ที่จริงแล้วก็แค่สิ่งลวงตาที่เกิดขึ้นเพราะน้ำมือและมันสมองอันปราดเปรื่องของมนุษย์เท่านั้น

              หลงผิดคิดว่าที่กำลังเห็นคือแสงนวลเย็นตาของดวงจันทร์และหมู่ดาว เข้าใจไปเองว่าที่ตรงนั้นคือจุดหมายปลายทางแห่งความสุข ซึ่งปรารถนาและหมายจะไขว่คว้ามาครอบครอง ทว่าแท้จริงแล้วมันกลับกลายเป็นกับดักสุดแสนอันตราย ที่ล่อลวงให้ต้องตกไปสู่เงื้อมมือของเหล่านักล่าจนถูกกินโดยไม่รู้ตัวในท้ายที่สุด

              ฉันก็คงเหมือนกับแมลงพวกนั้น จะต่างกันบ้างก็ตรงที่ฉันรู้...รู้ดีอยู่แล้วว่าแสงไฟสว่างไสวระยิบระยับงดงามเหล่านั้นเป็นเพียงภาพมายาลวงตา รู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นทางที่กำลังเหยียบย่างก้าวเดินไปจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง

              รู้ดีอยู่แล้วแท้ ๆ...ว่าตรงสุดท้ายของปลายทางเส้นนั้นจะได้พบเจอกันอะไร และจะเป็นเช่นไร แต่ฉันก็ยังคงเลือกที่จะเหยียบและเดินลงไปบนเส้นทางนั้นอยู่ดี

              ความร้อนจากเปลวแดดในช่วงเย็นบรรเทาเบาบางลงไปบ้างแล้ว แต่ความร้อนรุ่มในใจของฉันยังไม่คลายลงไปเลยสักนิด ทั้ง ๆ ที่พยายามสะกดข่มเอาไว้อย่างเต็มที่แล้ว แต่มันก็ยังคงคุกรุ่นอยู่อย่างนี้และรอคอยเวลาที่จะเดือดปะทุขึ้นมาอยู่ร่ำไป

              บรรยากาศหนักหน่วงคล้ายก่อตัวรวมกันเป็นก้อนอากาศหนาแน่นอยู่รอบกาย กดดันบีบรัดทุกสัดส่วนจนรู้สึกได้ถึงความอึดอัดแม้กระทั่งแค่จะพยายามจะหายใจ ฉันรู้สึกหงุดหงิดคล้ายกับคนประสาทเสียอยู่ตลอดทุกเวลา จนถึงวินาทีนี้ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าจุดเดือดในใจของตนเองกำลังต่ำลงไปจนถึงระดับที่ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว

              ถ้าหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ตะกอนขุ่นมัวซึ่งเคยตกทับถมอยู่ที่ตรงก้นบึ้งของอารมณ์มาตลอดระยะเวลานานแสนนาน ก็คงถูกปั่นกวนให้ลอยฟุ้งจนปิดกั้นบดบังฉนวนที่เรียกว่าความสงบเยือกเย็น รวมถึงเหตุและผลในใจทั้งหมดไปอย่างแน่นอน

              และเมื่อถึงตอนนั้น...ทุกอย่างก็คงระเบิดออกมา
 

         ฉันกำลังยืนรอรถเมล์อยู่ที่ป้ายรอรถประจำทางหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ถึงแม้จะยังมีที่นั่งรอเหลือว่างแต่ก็เลือกที่จะยืนรออยู่แบบนี้ อารมณ์ของฉันไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะมานั่งทอดถอนอารมณ์ เอ้อระเหยรอรถ มองดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยอย่างที่เคยทำตามปกติ

              ชะเง้อมองดูรถเมล์คันแล้วคันเล่าที่กำลังแล่นเข้ามาจอดเทียบ แล้วเฝ้าหวังว่ามันจะเป็นสายที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่ออยู่

              ตรวจสอบเวลาจากบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ เผลอถอนหายใจออกมาอย่างคนที่กำลังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยหน่วงหนักในอก ก่อนจะรีบปรับท่าทีให้กลับมาดูเหมือนคนกำลังสบาย ๆ ในแบบที่ดูเหมือนไม่ยี่หระ ไม่สนไม่แคร์สิ่งใด ๆ รอบกายตามเดิม

              ทั้งที่อันที่จริงแล้วในใจร้อนรนคล้ายคนจะเป็นบ้า ด้วยเพราะกำลังถูกแผดเผาจนมอดไหม้ ไปด้วยเปลวไฟแห่งโทสะอันไม่อาจระงับยับยั้ง

              และทั้งหมดทั้งปวงนี้ก็เป็นเพราะว่าเขา ชายคนที่เฝ้าตามติดฉันทุกฝีก้าวราวกับเป็นเงาหรือเจ้ากรรมนายเวรจนน่าหงุดหงิดรำคาญใจ เขาคนที่กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ ห่างจากฉันในระยะไม่กี่ก้าวคนนี้คนเดียว ที่ทำให้ฉันเป็นและรู้สึกเดือดดาลได้มากมายถึงขนาดนี้

              ไม่ต้องหันไปมองฉันก็จินตนาการถึงแววตาดุดันขุ่นเคืองของเขาออก แน่นอนว่าตอนนี้เขาเองก็คงกำลังไม่สบอารมณ์อย่างหนักเหมือนกัน แม้ไม่ได้แสดงอาการโหวกเหวกโวยวายเหมือนกับที่ทำทุกครั้งออกมา แต่ในใจก็คงกำลังโมโหใกล้ระเบิดเต็มทีแล้ว

              อุตส่าห์เสียเวลาง้อมาตั้งนานสองนาน แต่ฉันก็ยังทำเมินทำเฉยเมย ไม่สนใจแม้แค่จะหันไปมองเลยสักนิด น่ารำคาญชะมัด...นี่ละคงเป็นสิ่งที่กำลังอยู่ในความคิดของเขาเวลานี้

              “เรารู้ว่าเราผิด เราก็ขอโทษแล้วไง จะเอาอะไรอีก”

              เห็นไหม แค่คำพูด ท่าทาง น้ำเสียง ก็คนละเรื่องกับสิ่งที่เขาพยายามบอกว่ากำลังง้อฉันแล้ว

              ห้าครั้ง สิบครั้ง ไม่สิ...ตลอดทางเขาพูดประโยคทำนองนี้มาเกินยี่สิบครั้งได้แล้วมั้ง แต่ถ้าจะนับตั้งแต่วันแรกที่เราสองคนตัดสินใจที่จะเริ่มคบหาดูใจกัน ฉันว่าคงจะหลายร้อยหลายพันครั้งเลยทีเดียว

              บ่อยเสียจนกลายเป็นคำพูดติดปากซึ่งเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างอัตโนมัติเมื่อทำอะไรผิด เป็นคำขอโทษที่ไม่ผ่านกระบวนการคิดและไร้ซึ่งความสำนึกผิดจากใจใด ๆ เลยแม้สักน้อยนิด

              “บอกมาสิ จะเอาอะไรอีก ไม่บอกแล้วเราจะรู้ได้อย่างไร หืม”

              พูดโดยใช้เสียงอ่อนเสียงหวาน พลางพยายามเกาะแกะพะเน้าพะนอ ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่ใจอ่อน เบี่ยงตัวหลบ สะบัดมือให้พ้นจากการเกาะแขนกุมมือของเขา ทำท่าทีให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจะไม่อดทน หรือลดราวาศอกใด ๆ ให้อีกต่อไป

              “ยกโทษให้เราอีกสักครั้งเถอะนะ ถือเสียว่าเราขอร้องละกัน”

              เขายังไม่ละความพยายาม คอยเดินวนเวียนดักหน้าดักหลังให้อยู่ในระยะสายตาตลอดเวลา ทำเสียงออดอ้อนหนักเข้าไปอีกจนเกินปกติ ฟังแล้วน่าขนลุกสะอิดสะเอียนชะมัด ทำไมน่ะหรือ...ก็เพราะว่าฉันรู้จักเขาดีชนิดที่เรียกว่าหมดเปลือกก็คงพอได้

              และก็เพราะว่ารู้นั่นละ ฉันเลยยิ่งรู้สึกรับไม่ได้เข้าไปใหญ่กับการแสดงออกแบบนี้ของเขา ในเมื่อเขาไม่เคยเป็น ไม่เคยใกล้เคียงกับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่อย่างในตอนนี้เลยสักครั้ง

              “นะ...ยกโทษให้เราเถอะนะ”

              ฉันถอนหายใจหนักออกมาให้ได้เห็นชัด ๆ เอาแบบที่ไม่ต้องตีความอะไรให้ลึกซึ้งหรือคิดให้เป็นอื่นไปได้อีก จากนั้นจึงตามด้วยการเปะปาก ซึ่งนี่ก็ไม่ได้มีความหมายอื่นใดแอบแฝงเช่นเดิม นอกจากเพื่อความสะใจของตัวเองล้วน ๆ

              ยกโทษให้อย่างนั้นหรือ...นี่มันกี่ครั้งกี่หนเข้าไปแล้วกับไอ้คำขอโทษแบบขอไปทีอย่างนี้ กี่ครั้งกี่หนเข้าไปแล้วที่ฉันยอมใจอ่อนจนสุดท้ายก็ต้องมาอ่อนใจ ยอมยกโทษให้อภัยกับเรื่องเดิม ๆ เพื่อที่จะต้องมาเจอปัญหาเดิม ๆ ในวันข้างหน้า

              หลังจากบอกว่าให้อภัย เขาก็จะแสร้งทำเป็นฉีกยิ้มสดใสราวดีใจนักหนา ก่อนจะออกปากสัญญาว่าต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีก จะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม พร้อมด้วยคำพูดสวยหรูสารพัดเพื่อวาดวิมานในอากาศให้ได้เห็น

              แล้วสุดท้ายทุกอย่างก็จะวนกลับมาตรงที่เดิม ยังจุดที่วิมานในอากาศพังทลายลงในพริบตาจนไม่เหลือชิ้นดี และทุกสิ่งก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม โดยที่ไม่ได้มีอะไรคืบหน้าหรือเปลี่ยนแปลงไปเลยสักอย่าง

              ใช่...มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร และตอนนี้ฉันก็รู้สึกแค่เพียงว่าไม่อยากมองหน้า ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากฟัง ไม่อยากตอบ ไม่อยากต้องเหนื่อยใจ และไม่อยากสนแม้เรื่องเล็กน้อยอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเขาอีกแล้ว

              ไม่รู้สิ บอกไม่ถูกเหมือนกัน มันคงเป็นอารมณ์เหนื่อยหน่าย เป็นความรู้สึกที่แบบว่า...ระอาเต็มทนแล้วกับการที่ต้องคอยเฝ้าจับตาดู ติดตาม จับผิดคน ๆ หนึ่งอยู่ตลอดเวลา แถมใครที่ว่าคนนั้นก็ดันเป็นประเภทที่ไม่คิดถึง ไม่สนใจคนข้าง ๆ เลยสักนิด

              กะล่อนปลิ้นปล้อน จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน อวดดีถือดี ไม่เคยยอมรับ ไม่เคยยอมเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

              หากว่าฉันไม่หลอกตัวเองจนเกินไป ก็ต้องยอมรับว่า ตัวเองก็เป็นคนที่อารมณ์ก็ค่อนไปทางร้อนสักนิดอยู่เหมือนกัน อืม...บางทีอาจจะมากกว่านั้น แต่นั่นก็ทำให้หลายต่อหลายครั้งเราสองคนต้องมาทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

              ทว่าก็มีอยู่ไม่น้อยที่มันไม่ใช่เรื่องไม่เป็นเรื่องนี่สิ

              ทำไมคนบางคนถึงได้คิดว่าการที่ต้องบ่นต้องดุด่าใครคนอื่นอยู่บ่อย ๆ เป็นเรื่องสนุกนะ ก็รู้ ๆ กันอยู่แล้วไหมว่าอันที่จริงไม่มีใครอยากทำแบบนั้นหรอก ใครบ้างอยากทำให้ตัวเองดูเป็นคนร้ายกาจ อยากทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกให้คนอื่นเอาไปนินทา เอาไปใช้เป็นหัวข้อพาดพิงคุยเล่นให้ได้หัวเราะขบขันในวงเหล้ากัน

              ไม่มีใช่ไหมล่ะ...ถ้าอย่างนั้นก็อย่าคิดว่าคนบ่นคนด่าจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยสิ

              ที่พ่นคำพูดแสนร้ายกาจซึ่งไม่ควรพูด สบถคำหยาบคายที่ไม่ควรสบถออกมา นั่นก็เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังโมโห กำลังระงับยับยั้งสติควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้น...แล้วใครกันล่ะที่ทำให้พวกเขาต้องรู้สึกและเป็นแบบนั้น

              แต่นั่นก็ยังไม่เท่าไหร่หรอกนะ เพราะที่ทำให้รู้สึกแย่และน่าโมโหกว่านั้นมาก ก็คือไม่ว่าจะพูดจะบ่นหรือแม้กระทั่งจะด่าอะไรออกไป คนฟังก็ยังลอยหน้าลอยตาทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ฟังแบบขอไปทีเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่รู้ร้อนรู้หนาวหรือคิดจะเก็บเอาไปคิดสักนิดเลยสักครั้ง

              บอกตามตรงเลยว่าสำหรับฉัน การเลือกที่จะยืนนิ่ง ๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมตอบโต้หรือแสดงอาการอะไรสักอย่างออกมาเลย แทนที่จะทำให้อารมณ์เย็นลง มันกลับยิ่งให้ผลตรงกันข้ามเสียมากกว่า เพราะฉันจะยิ่งโมโหหนักขึ้นและหนักขึ้นไปอีกหลายเท่า

              และก็นั่นละ...ทั้งหมดที่ว่ามานั้นก็ทำให้ทุกอย่างของพวกเราสองคนเดินทางมาสู่จุดนี้ จุดที่ฉันรู้สึกเหนื่อยหน่ายเกินกว่าแม้แค่จะขยับปากพูดอะไรออกไปสักคำ เบื่อถึงขนาดที่แม้แค่จะเหลียวมองไปยังใบหน้าซึ่งเคยหลงใหลสักวินาทีก็ยังทนไม่ไหว
 

              ครู่หนึ่ง...รถเมล์สีเพี้ยนจากการบิดเบือนของแสง ก็แล่นฝ่าบรรยากาศแสงสียามราตรีมาแต่ไกล แสงสว่างบริเวณป้ายบอกหมายเลขสายที่ตรงด้านบนกระจกหน้าติด ๆ ดับ ๆ เป็นจังหวะ ทำให้ต้องใช้สายตาเพ่งมองว่าเป็นหมายเลขเดียวกันกับที่ฉันกำลังรออยู่แน่ ๆ

              ไฟเลี้ยวสีส้มติดสว่างกะพริบถี่ยิบ รถเมล์หักเลี้ยวเบี่ยงตัวเพื่อเข้าสู่ช่องเลนซ้ายสุด ความเร็วค่อย ๆ ชะลอลงทีละน้อย จนกระทั่งจอดสนิทที่ป้ายรอรถประจำทาง ตรงจุดที่ฉันกำลังยืนรออยู่ด้วยความกระวนกระวายใจอย่างพอดิบพอดี

              สภาพรถสาธารณะกลางเก่ากลางใหม่ซึ่งค่อนไปทางเก่าเสียมากกว่า สีตัวถังในบางจุดหลุดร่อนออกเป็นแผ่นเผยให้เห็นสนิมเกาะกินเนื้อโลหะผุพัง

              ภาพสาวสวยจากป้ายโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมความงามชื่อดังที่ติดอยู่ตรงด้านข้างของตัวถัง ใบหน้าของเธอถูกแต่งเติมเพิ่มความสวยด้วยปากกาเคมีโดยคนมือบอน อีกทั้งดวงตาคู่งามที่ถูกเจาะจนเป็นรูกลวงโบ๋ในขณะที่ริมฝีปากสีแดงฉ่ำกำลังฉีกยิ้มกว้างอย่างร่าเริงสดใส ดูอย่างไรก็น่ากลัวจนรู้สึกชวนขนลุกพิกล

              นึกดูเล่น ๆ ว่าถ้าฉันกำลังยืนรออยู่คนเดียวที่ป้ายรอรถป้ายนี้ แล้วรถเมล์คันนี้ก็แล่นมาเทียบจอดตอนใกล้เที่ยงคืน บางทีฉันอาจจะเปลี่ยนใจไม่กล้าขึ้นก็เป็นได้นะ

              เอาเถอะ...นั่นก็แค่เรื่องสมมติน่ะ เพราะความจริงที่ฉันกำลังทำในเวลานี้ก็คือการก้าวเท้าฉับ ๆ อย่างรีบร้อน เพื่อพาตัวเองให้ขึ้นไปอยู่บนรถเมล์ผีสิงคันนี้โดยเร็วที่สุด โดยที่แทบจะไม่รอให้มันจอดสนิทเลยด้วยซ้ำ

              ไม่มีเหตุผลหรือความคิดอะไรซับซ้อนมากไปกว่า แค่อยากหนีไปให้พ้น ๆ จากหน้าเขา พาตัวเองออกจากสภาพบรรยากาศแย่ ๆ ที่กำลังเป็นอยู่เท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่