ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดเผย ประชาชนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่ากรุงเทพฯ สามารถเพิ่มความน่าอยู่ขึ้นได้อย่างมาก หากแก้ไขปัญหาด้านการขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ ราคายุติธรรม และเชื่อมโยงทุกพื้นที่อย่างแท้จริง พร้อมเรียกร้องให้ศึกษาโมเดลจากสิงคโปร์ที่จัดการระบบขนส่งได้เป็นแบบอย่างของโลก
ค่าเดินทางในกรุงเทพฯ: ฝันร้ายของคนหาเช้ากินค่ำ
สำหรับชาวกรุงเทพฯ การเดินทางในเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายและราคาถูก โดยเฉพาะระบบรถไฟฟ้า BTS และ MRT ซึ่งเป็นทางเลือกหลักของคนเมือง ราคาค่าโดยสารกลับเป็นปัญหาที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง
“ลองคิดดูค่ะ ถ้าต้องจ่าย 40-50 บาทต่อเที่ยว แล้วถ้าไปกลับก็ตก 80-100 บาทต่อวัน นี่แค่เดินทางนะ ไหนจะค่ากิน ค่าอยู่ ค่าอื่น ๆ อีก” นางสาววิภาวี พนักงานออฟฟิศในย่านอโศก กล่าว พร้อมบอกว่าราคาค่าเดินทางของรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ถือว่าแพงเกินไปเมื่อเทียบกับรายได้ขั้นต่ำ
เปรียบเทียบกับประเทศสิงคโปร์ที่ประชาชนสามารถเดินทางได้ทั่วทั้งเมืองในราคาประมาณ 20-30 บาทต่อเที่ยว และยังมีระบบบัตรเดียวที่ใช้ได้กับทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ และเรือโดยสาร ความสะดวกสบายเช่นนี้กลับยังเป็นเรื่องไกลเกินฝันสำหรับคนกรุงเทพฯ
ระบบเชื่อมต่อที่ขาดหาย: กรุงเทพฯ ยังห่างไกลคำว่า “เมืองน่าอยู่”
แม้จะมีโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง แต่ปัญหา “การเชื่อมต่อ” ระหว่างระบบขนส่งยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญในกรุงเทพฯ ผู้โดยสารที่ต้องการเปลี่ยนเส้นทางมักพบว่าต้องเดินไกลข้ามสะพานลอย หรือเสียค่าบัตรใหม่เมื่อต้องเปลี่ยนจาก BTS เป็น MRT
“ทุกวันนี้แค่เปลี่ยนสถานีจากสุขุมวิทไปเพชรบุรียังต้องเสียค่าเดินทางเพิ่มอีก ทั้งที่ควรจะเชื่อมกันอย่างไร้รอยต่อ มันทำให้คนส่วนใหญ่ยังต้องหันกลับไปใช้รถยนต์ส่วนตัว เพราะขนส่งสาธารณะยังไม่ตอบโจทย์” นายเกรียงศักดิ์ ผู้ใช้งานรถไฟฟ้าเป็นประจำ กล่าว
เรียนรู้จากสิงคโปร์: ขนส่งสาธารณะที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้
ประเทศสิงคโปร์ซึ่งถือเป็นต้นแบบของการจัดการระบบขนส่งสาธารณะ สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรัฐบาลลงทุนในการพัฒนาระบบขนส่งทั้งโครงสร้างพื้นฐานและนโยบาย เช่น การกำหนดเพดานราคาค่าโดยสารให้สอดคล้องกับรายได้ประชาชน การสนับสนุนบัตรโดยสารแบบเดียวที่ใช้ได้ทุกระบบ และการจัดระบบเส้นทางให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
“กรุงเทพฯ ควรส่งคนไปดูงานที่สิงคโปร์เยอะ ๆ ค่ะ แล้วกลับมาทำให้ได้แบบเขา อย่ามัวแต่สร้างโครงการใหญ่ ๆ แล้วปล่อยให้ประชาชนต้องจ่ายแพง ๆ เพื่อเดินทางแค่ 2-3 สถานี” นางสาวชลิตา นักศึกษาในกรุงเทพฯ กล่าว
ถึงเวลาปฏิรูปขนส่งสาธารณะกรุงเทพฯ หรือยัง?
ประชาชนยังคงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาด้านขนส่งสาธารณะอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เพิ่มเส้นทางรถไฟฟ้า แต่ต้องทำให้ระบบขนส่งมีราคาย่อมเยา เชื่อมโยงถึงกันได้ง่าย และครอบคลุมพื้นที่นอกเขตเมืองมากขึ้น
เพราะในท้ายที่สุด หากกรุงเทพฯ ไม่สามารถทำให้ประชาชนเข้าถึงขนส่งสาธารณะได้อย่างเท่าเทียม ปัญหาจราจรติดขัดและมลพิษทางอากาศก็จะยังคงอยู่ และคำว่า “เมืองน่าอยู่” ก็อาจเป็นเพียงคำฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของคนกรุงเทพฯ เท่านั้น
“หรือกรุงเทพฯ จะไม่พร้อมเป็นเมืองที่ทุกคนอยากอยู่ เพราะค่าเดินทางที่เอื้อมไม่ถึง?”
โพลชี้ ! ประชาชนเซ็งกรุงเทพฯ เรื่องแก้ปัญหาขนส่งสาธารณะ ลั่น ความน่าอยู่จะพุ่ง! แนะศึกษาสิงคโปร์
ค่าเดินทางในกรุงเทพฯ: ฝันร้ายของคนหาเช้ากินค่ำ
สำหรับชาวกรุงเทพฯ การเดินทางในเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายและราคาถูก โดยเฉพาะระบบรถไฟฟ้า BTS และ MRT ซึ่งเป็นทางเลือกหลักของคนเมือง ราคาค่าโดยสารกลับเป็นปัญหาที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง
“ลองคิดดูค่ะ ถ้าต้องจ่าย 40-50 บาทต่อเที่ยว แล้วถ้าไปกลับก็ตก 80-100 บาทต่อวัน นี่แค่เดินทางนะ ไหนจะค่ากิน ค่าอยู่ ค่าอื่น ๆ อีก” นางสาววิภาวี พนักงานออฟฟิศในย่านอโศก กล่าว พร้อมบอกว่าราคาค่าเดินทางของรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ถือว่าแพงเกินไปเมื่อเทียบกับรายได้ขั้นต่ำ
เปรียบเทียบกับประเทศสิงคโปร์ที่ประชาชนสามารถเดินทางได้ทั่วทั้งเมืองในราคาประมาณ 20-30 บาทต่อเที่ยว และยังมีระบบบัตรเดียวที่ใช้ได้กับทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ และเรือโดยสาร ความสะดวกสบายเช่นนี้กลับยังเป็นเรื่องไกลเกินฝันสำหรับคนกรุงเทพฯ
ระบบเชื่อมต่อที่ขาดหาย: กรุงเทพฯ ยังห่างไกลคำว่า “เมืองน่าอยู่”
แม้จะมีโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง แต่ปัญหา “การเชื่อมต่อ” ระหว่างระบบขนส่งยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญในกรุงเทพฯ ผู้โดยสารที่ต้องการเปลี่ยนเส้นทางมักพบว่าต้องเดินไกลข้ามสะพานลอย หรือเสียค่าบัตรใหม่เมื่อต้องเปลี่ยนจาก BTS เป็น MRT
“ทุกวันนี้แค่เปลี่ยนสถานีจากสุขุมวิทไปเพชรบุรียังต้องเสียค่าเดินทางเพิ่มอีก ทั้งที่ควรจะเชื่อมกันอย่างไร้รอยต่อ มันทำให้คนส่วนใหญ่ยังต้องหันกลับไปใช้รถยนต์ส่วนตัว เพราะขนส่งสาธารณะยังไม่ตอบโจทย์” นายเกรียงศักดิ์ ผู้ใช้งานรถไฟฟ้าเป็นประจำ กล่าว
เรียนรู้จากสิงคโปร์: ขนส่งสาธารณะที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้
ประเทศสิงคโปร์ซึ่งถือเป็นต้นแบบของการจัดการระบบขนส่งสาธารณะ สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรัฐบาลลงทุนในการพัฒนาระบบขนส่งทั้งโครงสร้างพื้นฐานและนโยบาย เช่น การกำหนดเพดานราคาค่าโดยสารให้สอดคล้องกับรายได้ประชาชน การสนับสนุนบัตรโดยสารแบบเดียวที่ใช้ได้ทุกระบบ และการจัดระบบเส้นทางให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
“กรุงเทพฯ ควรส่งคนไปดูงานที่สิงคโปร์เยอะ ๆ ค่ะ แล้วกลับมาทำให้ได้แบบเขา อย่ามัวแต่สร้างโครงการใหญ่ ๆ แล้วปล่อยให้ประชาชนต้องจ่ายแพง ๆ เพื่อเดินทางแค่ 2-3 สถานี” นางสาวชลิตา นักศึกษาในกรุงเทพฯ กล่าว
ถึงเวลาปฏิรูปขนส่งสาธารณะกรุงเทพฯ หรือยัง?
ประชาชนยังคงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาด้านขนส่งสาธารณะอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เพิ่มเส้นทางรถไฟฟ้า แต่ต้องทำให้ระบบขนส่งมีราคาย่อมเยา เชื่อมโยงถึงกันได้ง่าย และครอบคลุมพื้นที่นอกเขตเมืองมากขึ้น
เพราะในท้ายที่สุด หากกรุงเทพฯ ไม่สามารถทำให้ประชาชนเข้าถึงขนส่งสาธารณะได้อย่างเท่าเทียม ปัญหาจราจรติดขัดและมลพิษทางอากาศก็จะยังคงอยู่ และคำว่า “เมืองน่าอยู่” ก็อาจเป็นเพียงคำฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของคนกรุงเทพฯ เท่านั้น
“หรือกรุงเทพฯ จะไม่พร้อมเป็นเมืองที่ทุกคนอยากอยู่ เพราะค่าเดินทางที่เอื้อมไม่ถึง?”