เริ่มจาก จขกท.เองเลย ถ้าที่สุดเลยก็คงจะเป็นการ
เปลี่ยนงานโดยไม่มีเงินเก็บ
คือ ณ ตอนนั้น มีเงินสำรองในรูปแบบของบัตรกดเงินสดนะคะ แต่คิดว่าจะไม่ใช้จนถึงที่สุด แล้วก็ดีใจมากที่ผ่านมาแบบไม่ต้องพึ่งพิงมันได้
อีกก้อนคือเงินฝากประจำ ซึ่ง มันถอนออกมาไม่ได้ ถ้าถอนคือมีส่วนที่ต้องเสียด้วย เพราะเค้า advance ดอกเบี้ยจากเงินฝากให้เราก่อน ถ้าปิดปุ๊บ ขาดทุนแน่ ตัวผลประโยชน์ก็จะเสีย
การเปลี่ยนงานใหม่ครั้งนั้น ส่วนตัวรู้สึกพลาดในช่วงวันที่เริ่มงาน เพราะที่เก่าเค้าขอเวลาเพิ่มอีก 1 สัปดาห์ ส่วนที่ใหม่บอกว่า เค้าขอเป็นรอบเริ่มงาน ไม่1ก็16 ของเดือน เราก็เลย อะ งั้นอยู่จนถึง 15 ไปเริ่มใหม่ 16
สรุปว่าในรอบสิ้นเดือนนั้น การตัดรอบเงินเดือนของที่เก่า มันจะไปได้อีกทีก็คือสิ้นเดือนถัดไป ส่วนที่ใหม่ ก็จะได้แค่ครึ่งเดือน (ดีนะที่นี่ตัด 1ชนสิ้นเดือน)
ณ ตอนนั้น เราได้เงินเดือนครึ่งเดียวค่ะ เงินเก็บก็ไม่มี สรุปได้รวมอยู่ที่ 11,875 (12500 บาท - ประกันสังคม) หักประกันสังคมแล้ว
จริงๆ งานเรามันจะมีค่าอื่นๆนอกเหนือเงินเดือนด้วยนะ แต่เค้าจะเริ่มให้ในเดือนถัดไป
สตาร์ทชีวิตที่ 11,875 บาท ใช้ชีวิตอีก 30 วัน (รอบวันจ่ายเงินไม่ตรงกับที่เดิมด้วย)
้เดือนที่เปลี่ยนมาน่ะ ไม่เป็นไรหรอก แต่เดือนถัดไปหลังจากรับเงินเดือนแรกมาเนี่ยล่ะ
เริ่มจากมาเริ่มคำนวณค่าใช้จ่ายฟิก
โอเค...ทำงานทั้งหมด 22 วัน
- จ่ายค่าห้องรวมน้ำไฟ และเน็ตมือถือ ตียอดกลมๆอยู่ที่ 8000บาท
- เหลือทั้งหมด 3875 บาท!!
ณ จุดนั้นเข้าใจคนรายได้หลัก 1x,xxx เลยค่ะว่าต้องสู้ชีวิตแค่ไหน แวบแรกคือ
"กดเงินสดดีมัย เดี๋ยวค่อยทำคืน 12 งวดแล้วก็โปะเอา"
แต่คิดไปคิดมามันเป็นสิ่งที่เลือกเอง ชาเล้นจ์ดูสักทีก็ดีเหมือนกัน
- ทำงาน 22 วัน ค่ารถถูกที่สุดคือเที่ยวละ 8บาท = วันละ 16 บาท
: รวมค่ารถ 352 บาท
ทั้งนี้ทั้งนั้น ห้ามตื่นสายเลยแม้แต่วันเดียว เพราะการเดินทางไปทำงาน จากคอนโดไปป้ายรถเมล์ประมาณ 1 กม. และยังต้องเผื่อการจราจรรถติดอีก ดีที่มันอยู่ห่างจากที่พักไม่มากนัก
- ค่าของใช้เข้าห้อง 500 บาท
: อันนี้คือลำบากจริง จัดสรรยากมาก ปกติให้งบตัวเองเยอะกว่านี้ แต่มันไฟลท์บังคับ เดือนนั้นคือซื้อไว้ได้แค่ ผ้าอนามัย สบู่ก้อน แชมพู ครีมนวดผม ทิชชู่ ผงซักฟอก (ปกติใช้เป็นน้ำ 🥺)
หลายๆอย่างที่ซื้อมาคือต้องเปลี่ยนเกรดไปโดยปริยายเลย
- อาหาร
: ต้องใช้ชีวิต 30 วัน จะมากินมาม่าอย่างเดียวก็น่าจะแย่ วันๆนึงเราเดินทางไปทำงาน ก็ต้องเดินอย่างน้อย 3 กม.ไปกลับละ แถมขากลับขึ้นสะพานลอยด้วยนะ
เราก็เลยแบ่งงบเป็น
- ข้าวสาร 200 บ. (ยังไงก็ขอเป็นข้าวหอม)
- ไข่ไก่ 30 ฟอง 150 บ.
- น้ำแพ็ค 600 มล. น่าจะ 60 บาทได้ตอนนั้น
(อันนี้เราซื้อรอบเดียว นอกนั้น เราเอาขวดไปกินที่ทำงานค่ะ 😂)
- น้ำปลา 30 บาท
- น้ำมันพืช 50 บาท
- น้ำจิ้มสุกี้ จำได้ว่าซื้อเป็นแพคมาเพราะถูกกว่า ไม่เกิน 180 บาทได้สามขวด
ทั้งหมดนี้อ้างอิงราคาจาก 7-11 หมดเลย เพราะเราใช้วิธีจ่ายเงินผ่านแอพให้เซเว่นมาส่งที่คอนโด เราก็จะมีหน้าที่แค่หยิบมันขึ้นลิฟต์ไปไว้ห้อง ดูทรงแล้วน่าจะขนกลับมาจากห้างเองลำบากอยู่
ส่วนผัก เราจะใช้วิธีแวะตลาดก่อนกลับ ซื้อมาสัปดาห์ละ 30 บาท ส่วนใหญ่จะใช้ผักบุ้ง 1 กก. 25 บาท เพราะกะไว้แล้วว่าจะเอามากินกับน้ำจิ้มสุกี้ที่ซื้อมา กับไข่
รวมๆ ค่าอาหาร หมดไปไม่เกิน 800 บาท
รวมค่ารถ ค่าของเข้าห้อง ค่าอาหาร ประมาณ 1652 บาท
งบคงเหลือ อยู่ที่ประมาณ 2223 บาท
**อันนี้เราบอกไว้ก่อน เราไม่ได้จำแม่นขนาดนั้น แค่เราจำวิธีคิด ณ ตอนนั้นได้ 😂 แต่ใกล้เคียงเกิน 98% ละ
ตลอดเดือน สิ่งที่เราทำคือ
วันทำงาน
- เช้า : กินกาแฟฟรี
- เที่ยง : กินข้าวกับไข่ต้มและผักบุ้ง
- เย็น : กินข้าวกับผักบุ้ง
สาเหตุที่เอาไข่ไปไว้มื้อเที่ยง เพราะเรากินได้แค่วันละใบ และช่วงเที่ยงมันน่าจะต้องการโปรตีนมากที่สุด
วันหยุด
- ก็เหมือนกันกับวันทำงาน แค่เราไม่กินกาแฟ มันเปลือง 😂 ดื่มน้ำตอนเช้าและตลอดวันเอา
ทีนี้ในงบคงเหลือ 2000 กว่าบาทนี้ เรายังมีค่าใช้จ่ายแฝงคือ
- ต้องไปธุระที่นนทบุรี (เซ็นทรัลเวสเกต) ซึ่งถ้าเป็นปกติ เรายอมจ่ายค่าแกร๊บอะค่ะ เที่ยวละ 200 ก็ไม่ติด แต่ด้วยสภาพ ณ ตอนนั้น เราจำเป็นต้องเดินโลกว่าๆ เพื่อไปขึ้น MRT ห้วยขวางไปบางใหญ่ แล้วเดินอีกโลเพื่อไปห้าง แล้วก็ย้อนกลับมาแบบเดิม
ค่าใช้จ่ายรวมทั้งวัน 80 บาท (พกข้าวไปกินเองด้วยนะ สู้สุดๆ)
- ค่าซ่อมจอมือถือ 1500 บาท (จริงๆเค้าลดให้จาก 1800 ด้วย)
้หน้าซีดกันเลยทีเดียว แต่มันจำเป็นอะ ก็เลยต้องยอมจ่าย
- ธุระแถวสยามอีก ทุกสัปดาห์
: ค่ารถไปกลับวันละ 16 บาท ปริมาณความเหนื่อยพอๆกันกับที่ไปทำงาน ซึ่งยังพอรับไหว เหนื่อยน้อยกว่าไปเวสเกตแหละ
- วันหยุดก่อนเงินเดือนออก มีนัดเกี่ยวกับเรื่องงานกับที่ทำงานอีกที่พระราม9
: ค่ารถไปกลับ 16 บาท ความเหนื่อย อันนี้เหนื่อยพอกับไปเวสเกตเลยค่ะ
รวมทั้งเดือน จากเด็กที่ติดสบาย เราใช้ชีวิตแบบ
- ต้องเดินไกลเพื่อไปนั่งรถเมล์ไปทำงานทุกวัน
- ตื่นไม่ต่ำกว่าตี 5 แม้แต่วันเดียว (พระเจ้า! คอนโดอยู่ห้วยขวาง ที่ทำงานอยู่สุทธิสาร แล้วเข้างาน 8.30 น. แต่ความกลัวสายตั้งแต่เดือนแรก)
- ทำอาหารกินเองทุกวัน
- งดพบปะสังสรรค์เพื่อนตลอดเดือน
- ไม่ได้ซื้อกาแฟหรือขนมสักแก้วเดียว ยกเว้นวันสุดท้ายก่อนเงินเดือนจะออก ที่ได้ซื้อกาแฟเซเว่นและก็กินข้าวตามสั่งมื้อละ 50 บาท และนั่งแกร๊บกลับห้อง
สรุปก่อนเงินเดือนออก เหลือประมาณ 400 กว่าบาท
เอ้อ มันก็ยังจะเหลือให้เนอะ 😂
ความภูมิใจของเรื่องนี้คือ
- เราไม่ต้องเป็นหนี้สักบาทเดียว ไม่ต้องขอใครด้วย
- เราเองก็ขยันทุกวันได้เหมือนกันนะ
- เราไม่ใช่ลูกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อนะ (แต่เงินเดือนกลับมาก็ขอใช้ชีวิตแบบเดิมเถอะ แค่เก็บเงินหน่อย)
ความตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้คือ
- อย่างน้อยเรามีบัตรอะ เราคำนวณบัตรเป็น อย่างน้อยที่สุดเรามั่นใจว่าการทำบัตรไว้แต่ตอนนั้น มันโคตรจะดีเลย ถ้าเกิดสะดุดล้มจริงๆ ขึ้นมา เราก็มีทางเลือกจะไม่เป็นหนี้อยู่ดี
ข้อคิดเตือนใจตัวเองจากเรื่องนี้
- พอมันผ่านสถานการณ์แบบนี้มา แน่นอนว่าเรื่องเงินสำคัญมาก งานก็เช่นกัน ถ้างานไม่มั่นคงล่ะก็ เราจะไม่ปกติสุขแน่ๆ
เพราะฉะนั้นในช่วงก่อนผ่านโปร เราก็มีความระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้นพอสมควร และตั้งใจเก็บเงินจริงจังมากขึ้น
คำเตือนสำหรับเพื่อนๆที่จะเริ่มงานใหม่
- ถ้าเค้าเลือกคุณแล้วและคุณมีอำนาจต่อรอง พิจารณาเรื่องรอบเริ่มงานดีๆ นะคะ อย่างของเรานี่ถ้าย้อนกลับไปได้ เราจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนใหม่เลย ตอนนั้นเรากลัวว่าเค้าจะไม่เอาเราถ้าให้รอนาน
แต่ฝ่ายบุคคลบอกว่า
"พี่เลือกหนูแล้ว และก็ให้คำมั่นสัญญาแล้วไงด้วยการเซ็นต์สัญญา พี่รอหนูได้อีกแค่ครึ่งเดือน ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็น่าจะบอกกันหน่อย ไม่ได้อยากให้ลำบากเลย มันคุยกันได้"
ก็นะ แทนที่จะได้เต็มเดือนเดือนนี้ แล้วอีกเดือนที่แหว่งอยู่จากการตัดรอบที่เก่าก็จะได้ในรอบถัดไป
แต่ก็ดีนะ ประสบการณ์ครั้งนี้เรียนรู้อะไรมากขึ้นเยอะเลย แม้มันจะเป็นช่วงเหมือนตกสวรรค์ในระยะเวลาสั้นๆ ที่พ่อแม่และเพื่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังลำบากอยู่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เราคงจะไม่ลืม
แล้วคุณล่ะ มีอะไรอยากเล่าสู่กันฟังก่อนสิ้นปีมั้ยคะ
ใกล้จะหมดปี 2024 แล้ว มาแชร์ประสบการณ์ "...ที้สุดของชีวิต" กันหน่อยดีมั้ยคะ
เปลี่ยนงานโดยไม่มีเงินเก็บ
คือ ณ ตอนนั้น มีเงินสำรองในรูปแบบของบัตรกดเงินสดนะคะ แต่คิดว่าจะไม่ใช้จนถึงที่สุด แล้วก็ดีใจมากที่ผ่านมาแบบไม่ต้องพึ่งพิงมันได้
อีกก้อนคือเงินฝากประจำ ซึ่ง มันถอนออกมาไม่ได้ ถ้าถอนคือมีส่วนที่ต้องเสียด้วย เพราะเค้า advance ดอกเบี้ยจากเงินฝากให้เราก่อน ถ้าปิดปุ๊บ ขาดทุนแน่ ตัวผลประโยชน์ก็จะเสีย
การเปลี่ยนงานใหม่ครั้งนั้น ส่วนตัวรู้สึกพลาดในช่วงวันที่เริ่มงาน เพราะที่เก่าเค้าขอเวลาเพิ่มอีก 1 สัปดาห์ ส่วนที่ใหม่บอกว่า เค้าขอเป็นรอบเริ่มงาน ไม่1ก็16 ของเดือน เราก็เลย อะ งั้นอยู่จนถึง 15 ไปเริ่มใหม่ 16
สรุปว่าในรอบสิ้นเดือนนั้น การตัดรอบเงินเดือนของที่เก่า มันจะไปได้อีกทีก็คือสิ้นเดือนถัดไป ส่วนที่ใหม่ ก็จะได้แค่ครึ่งเดือน (ดีนะที่นี่ตัด 1ชนสิ้นเดือน)
ณ ตอนนั้น เราได้เงินเดือนครึ่งเดียวค่ะ เงินเก็บก็ไม่มี สรุปได้รวมอยู่ที่ 11,875 (12500 บาท - ประกันสังคม) หักประกันสังคมแล้ว
จริงๆ งานเรามันจะมีค่าอื่นๆนอกเหนือเงินเดือนด้วยนะ แต่เค้าจะเริ่มให้ในเดือนถัดไป
สตาร์ทชีวิตที่ 11,875 บาท ใช้ชีวิตอีก 30 วัน (รอบวันจ่ายเงินไม่ตรงกับที่เดิมด้วย)
้เดือนที่เปลี่ยนมาน่ะ ไม่เป็นไรหรอก แต่เดือนถัดไปหลังจากรับเงินเดือนแรกมาเนี่ยล่ะ
เริ่มจากมาเริ่มคำนวณค่าใช้จ่ายฟิก
โอเค...ทำงานทั้งหมด 22 วัน
- จ่ายค่าห้องรวมน้ำไฟ และเน็ตมือถือ ตียอดกลมๆอยู่ที่ 8000บาท
- เหลือทั้งหมด 3875 บาท!!
ณ จุดนั้นเข้าใจคนรายได้หลัก 1x,xxx เลยค่ะว่าต้องสู้ชีวิตแค่ไหน แวบแรกคือ
"กดเงินสดดีมัย เดี๋ยวค่อยทำคืน 12 งวดแล้วก็โปะเอา"
แต่คิดไปคิดมามันเป็นสิ่งที่เลือกเอง ชาเล้นจ์ดูสักทีก็ดีเหมือนกัน
- ทำงาน 22 วัน ค่ารถถูกที่สุดคือเที่ยวละ 8บาท = วันละ 16 บาท
: รวมค่ารถ 352 บาท
ทั้งนี้ทั้งนั้น ห้ามตื่นสายเลยแม้แต่วันเดียว เพราะการเดินทางไปทำงาน จากคอนโดไปป้ายรถเมล์ประมาณ 1 กม. และยังต้องเผื่อการจราจรรถติดอีก ดีที่มันอยู่ห่างจากที่พักไม่มากนัก
- ค่าของใช้เข้าห้อง 500 บาท
: อันนี้คือลำบากจริง จัดสรรยากมาก ปกติให้งบตัวเองเยอะกว่านี้ แต่มันไฟลท์บังคับ เดือนนั้นคือซื้อไว้ได้แค่ ผ้าอนามัย สบู่ก้อน แชมพู ครีมนวดผม ทิชชู่ ผงซักฟอก (ปกติใช้เป็นน้ำ 🥺)
หลายๆอย่างที่ซื้อมาคือต้องเปลี่ยนเกรดไปโดยปริยายเลย
- อาหาร
: ต้องใช้ชีวิต 30 วัน จะมากินมาม่าอย่างเดียวก็น่าจะแย่ วันๆนึงเราเดินทางไปทำงาน ก็ต้องเดินอย่างน้อย 3 กม.ไปกลับละ แถมขากลับขึ้นสะพานลอยด้วยนะ
เราก็เลยแบ่งงบเป็น
- ข้าวสาร 200 บ. (ยังไงก็ขอเป็นข้าวหอม)
- ไข่ไก่ 30 ฟอง 150 บ.
- น้ำแพ็ค 600 มล. น่าจะ 60 บาทได้ตอนนั้น
(อันนี้เราซื้อรอบเดียว นอกนั้น เราเอาขวดไปกินที่ทำงานค่ะ 😂)
- น้ำปลา 30 บาท
- น้ำมันพืช 50 บาท
- น้ำจิ้มสุกี้ จำได้ว่าซื้อเป็นแพคมาเพราะถูกกว่า ไม่เกิน 180 บาทได้สามขวด
ทั้งหมดนี้อ้างอิงราคาจาก 7-11 หมดเลย เพราะเราใช้วิธีจ่ายเงินผ่านแอพให้เซเว่นมาส่งที่คอนโด เราก็จะมีหน้าที่แค่หยิบมันขึ้นลิฟต์ไปไว้ห้อง ดูทรงแล้วน่าจะขนกลับมาจากห้างเองลำบากอยู่
ส่วนผัก เราจะใช้วิธีแวะตลาดก่อนกลับ ซื้อมาสัปดาห์ละ 30 บาท ส่วนใหญ่จะใช้ผักบุ้ง 1 กก. 25 บาท เพราะกะไว้แล้วว่าจะเอามากินกับน้ำจิ้มสุกี้ที่ซื้อมา กับไข่
รวมๆ ค่าอาหาร หมดไปไม่เกิน 800 บาท
รวมค่ารถ ค่าของเข้าห้อง ค่าอาหาร ประมาณ 1652 บาท
งบคงเหลือ อยู่ที่ประมาณ 2223 บาท
**อันนี้เราบอกไว้ก่อน เราไม่ได้จำแม่นขนาดนั้น แค่เราจำวิธีคิด ณ ตอนนั้นได้ 😂 แต่ใกล้เคียงเกิน 98% ละ
ตลอดเดือน สิ่งที่เราทำคือ
วันทำงาน
- เช้า : กินกาแฟฟรี
- เที่ยง : กินข้าวกับไข่ต้มและผักบุ้ง
- เย็น : กินข้าวกับผักบุ้ง
สาเหตุที่เอาไข่ไปไว้มื้อเที่ยง เพราะเรากินได้แค่วันละใบ และช่วงเที่ยงมันน่าจะต้องการโปรตีนมากที่สุด
วันหยุด
- ก็เหมือนกันกับวันทำงาน แค่เราไม่กินกาแฟ มันเปลือง 😂 ดื่มน้ำตอนเช้าและตลอดวันเอา
ทีนี้ในงบคงเหลือ 2000 กว่าบาทนี้ เรายังมีค่าใช้จ่ายแฝงคือ
- ต้องไปธุระที่นนทบุรี (เซ็นทรัลเวสเกต) ซึ่งถ้าเป็นปกติ เรายอมจ่ายค่าแกร๊บอะค่ะ เที่ยวละ 200 ก็ไม่ติด แต่ด้วยสภาพ ณ ตอนนั้น เราจำเป็นต้องเดินโลกว่าๆ เพื่อไปขึ้น MRT ห้วยขวางไปบางใหญ่ แล้วเดินอีกโลเพื่อไปห้าง แล้วก็ย้อนกลับมาแบบเดิม
ค่าใช้จ่ายรวมทั้งวัน 80 บาท (พกข้าวไปกินเองด้วยนะ สู้สุดๆ)
- ค่าซ่อมจอมือถือ 1500 บาท (จริงๆเค้าลดให้จาก 1800 ด้วย)
้หน้าซีดกันเลยทีเดียว แต่มันจำเป็นอะ ก็เลยต้องยอมจ่าย
- ธุระแถวสยามอีก ทุกสัปดาห์
: ค่ารถไปกลับวันละ 16 บาท ปริมาณความเหนื่อยพอๆกันกับที่ไปทำงาน ซึ่งยังพอรับไหว เหนื่อยน้อยกว่าไปเวสเกตแหละ
- วันหยุดก่อนเงินเดือนออก มีนัดเกี่ยวกับเรื่องงานกับที่ทำงานอีกที่พระราม9
: ค่ารถไปกลับ 16 บาท ความเหนื่อย อันนี้เหนื่อยพอกับไปเวสเกตเลยค่ะ
รวมทั้งเดือน จากเด็กที่ติดสบาย เราใช้ชีวิตแบบ
- ต้องเดินไกลเพื่อไปนั่งรถเมล์ไปทำงานทุกวัน
- ตื่นไม่ต่ำกว่าตี 5 แม้แต่วันเดียว (พระเจ้า! คอนโดอยู่ห้วยขวาง ที่ทำงานอยู่สุทธิสาร แล้วเข้างาน 8.30 น. แต่ความกลัวสายตั้งแต่เดือนแรก)
- ทำอาหารกินเองทุกวัน
- งดพบปะสังสรรค์เพื่อนตลอดเดือน
- ไม่ได้ซื้อกาแฟหรือขนมสักแก้วเดียว ยกเว้นวันสุดท้ายก่อนเงินเดือนจะออก ที่ได้ซื้อกาแฟเซเว่นและก็กินข้าวตามสั่งมื้อละ 50 บาท และนั่งแกร๊บกลับห้อง
สรุปก่อนเงินเดือนออก เหลือประมาณ 400 กว่าบาท
เอ้อ มันก็ยังจะเหลือให้เนอะ 😂
ความภูมิใจของเรื่องนี้คือ
- เราไม่ต้องเป็นหนี้สักบาทเดียว ไม่ต้องขอใครด้วย
- เราเองก็ขยันทุกวันได้เหมือนกันนะ
- เราไม่ใช่ลูกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อนะ (แต่เงินเดือนกลับมาก็ขอใช้ชีวิตแบบเดิมเถอะ แค่เก็บเงินหน่อย)
ความตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้คือ
- อย่างน้อยเรามีบัตรอะ เราคำนวณบัตรเป็น อย่างน้อยที่สุดเรามั่นใจว่าการทำบัตรไว้แต่ตอนนั้น มันโคตรจะดีเลย ถ้าเกิดสะดุดล้มจริงๆ ขึ้นมา เราก็มีทางเลือกจะไม่เป็นหนี้อยู่ดี
ข้อคิดเตือนใจตัวเองจากเรื่องนี้
- พอมันผ่านสถานการณ์แบบนี้มา แน่นอนว่าเรื่องเงินสำคัญมาก งานก็เช่นกัน ถ้างานไม่มั่นคงล่ะก็ เราจะไม่ปกติสุขแน่ๆ
เพราะฉะนั้นในช่วงก่อนผ่านโปร เราก็มีความระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้นพอสมควร และตั้งใจเก็บเงินจริงจังมากขึ้น
คำเตือนสำหรับเพื่อนๆที่จะเริ่มงานใหม่
- ถ้าเค้าเลือกคุณแล้วและคุณมีอำนาจต่อรอง พิจารณาเรื่องรอบเริ่มงานดีๆ นะคะ อย่างของเรานี่ถ้าย้อนกลับไปได้ เราจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนใหม่เลย ตอนนั้นเรากลัวว่าเค้าจะไม่เอาเราถ้าให้รอนาน
แต่ฝ่ายบุคคลบอกว่า
"พี่เลือกหนูแล้ว และก็ให้คำมั่นสัญญาแล้วไงด้วยการเซ็นต์สัญญา พี่รอหนูได้อีกแค่ครึ่งเดือน ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็น่าจะบอกกันหน่อย ไม่ได้อยากให้ลำบากเลย มันคุยกันได้"
ก็นะ แทนที่จะได้เต็มเดือนเดือนนี้ แล้วอีกเดือนที่แหว่งอยู่จากการตัดรอบที่เก่าก็จะได้ในรอบถัดไป
แต่ก็ดีนะ ประสบการณ์ครั้งนี้เรียนรู้อะไรมากขึ้นเยอะเลย แม้มันจะเป็นช่วงเหมือนตกสวรรค์ในระยะเวลาสั้นๆ ที่พ่อแม่และเพื่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังลำบากอยู่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เราคงจะไม่ลืม
แล้วคุณล่ะ มีอะไรอยากเล่าสู่กันฟังก่อนสิ้นปีมั้ยคะ