เมื่อป้าๆ มนุษย์เงินเดือน วัย 50 กลางๆ อยากเห็นแสงเหนือสักครั้งในชีวิต ทริปนี้จึงเกิดขึ้น
.
ทริปล่าแสงเหนือครั้งนี้ ป้าๆ เดินทางเอง จองที่พักต่างๆ เอง ไปกันเองในกลุ่มเพื่อนสนิท ไม่ง้อทัวร์
การเดินทาง 14 วัน (1 - 14 พ.ย.67) รวมวันเดินทาง
ตั้งงบประมาณไว้ 120,000 ++ บาทไทย แต่ใช้ไปจริงๆ แค่ 97,000 บาท ไม่รวมช้อปปิ้ง
ไม่ใช่เพราะประหยัดอะไรหรอกนะ เพราะหิมะตก ฝนตก ตลอดการเดินทาง โปรแกรมหลายอย่างเลยต้องงดไป....ฮา
.
ก่อนอื่นขอแนะนำเส้นทางก่อนว่าป้าๆ ไปไหนกันบ้าง
คืน 1- 3 โลโฟเทน
คืน 4 Harstad
คืน 5 - 6 Senja Island
คืน 7 - 8 Sommaroy
คืน 9 - 10 Tromso
คืน 11 ออสโล
.
ขอเล่าวันแรกกับวันที่ 2 รวบเลยนะ เพราะวันแรกแค่ออกจากสุวรรณภูมิ
.
พวกเรานัดเจอกันประมาณ 3 ทุ่มของวันที่ 1 พ.ย. (เครื่องออก 00.15 น.วันที่ 2 พ.ย.) ดีนะที่นัดเจอกันเร็ว
วันนั้นเป็นวันศุกร์แห่งชาติ ที่ฝนตก รถติดมากวันหนึ่ง
แก๊งป้ามีทั้งหมด 9 คน
กำลังเช็คอิน ปรากฎว่าเพื่อนคนนึงหาพาสปอร์ตไม่เจอ มีลุ้นกันตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทาง
ปรากฎว่าทำหล่นในรถที่มาส่ง ดีนะ รถที่บ้านมาส่งเลยให้วนกลับมาก แต่กว่าจะมาถึง ลุ้นว่าจะทันไหม
กว่าจะได้เข้าไปด้านใน ก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว เดิน duty fee นิดหน่อย
และเราก็ได้มีส่วนฉลอง Gate เปิดใหม่ที่ต้องนั่งรถไฟฟ้าไปต่อ
.
เครื่องออกตามเวลา บินตรงกรุงเทพฯ Oslo ไม่อยากต่อเครื่อง ป้าๆ แก่แล้ว กลัวเหนื่อย
ออกจากสุวรรณภูมิ และเส้นทางบินของพวกเรา
ระหว่างทางมองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้าใสมาก ดาวเยอะ เห็นแสงกระพริบของเครื่องบินที่บินทางเดียวกันไกลๆ มีเพื่อนไปตลอดทาง มองลงไปข้างล่าง มืดบ้าง สว่างบ้าง ผ่านเมืองที่มีวิวไฟสวยๆ หลายเมือง ไม่รู้หรอกว่าที่ไหนบ้าง
แล้วก็ถึงออสโลเช้ามืด 06.50 ของวันที่ 2 พ.ย. (เวลาประเทศไทยก็ 12.50 น.) ใช้เวลาบิน 12 ชั่วโมง
จาก Oslo เราต้องต่อเครื่องไป Bodo เพื่อต่อเครื่องไป Svolvaer เมืองหลักของ Lofoten
.
จาก Gate ที่ลงเครื่อง เดินต่ออีกยาวไกล ว่าจะไปถึงสายพานกระเป๋า แต่มีป้ายบอกไปตลอดทางนะ และเมื่อไปถึงกระเป๋าก็ยังไม่มา เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันรอ จนกระเป๋ามาถึง รอจนกระเป๋าหมดสายพาน
เอ้า.......กระเป๋าหาย...!!
คิดคำนวนอยู่นานว่าถ้าหายจริงจะทำไงดี เสื้อผ้าที่อยู่ในเป้ที่ถือขึ้นเครื่องมีแค่ชุดเดียว กับแปรงสีฟันยาสีฟัน และอุปกรณ์แต่งหน้า ดีที่รองเท้ากันหนาวได้ใส่มา ใจร่มๆ เดินเล่นๆ สักพัก ก็พบว่า มันไปวางอยู่อีกสายพานหนึ่ง
คงมีคนหยิบผิด แล้วเอาไปวางทิ้งไว้ กว่าจะหาเจอ
จากนั้นก็ต้องมาจัดกระเป๋าใหม่ เพราะสายการบินไทย กับสายการบินในประเทศนอร์เวย์มีข้อกำหนดของน้ำหนักต่างกัน
การบินไทย โหลดใต้ได้ 2 ชิ้น รวม 25 กก. ถือขึ้นเครื่อง 2 ชิ้น 7 กก.
Norwegian Airline โหลดได้ชิ้นเดียว 23 กก. ถือขันเครื่อง 2 ชิ้น 8 กก.
ก็เลยต้องทำการรวบกระเป๋า
เสร็จแล้วก็ออกจาก โซนระหว่างประเทศ ต่อ Flight ในประเทศ เครื่องไป Bodo ออก 10.15 กว่าเราจะได้ออกมาจากระหว่างประเทศ ก็เกือบ 9.30 น.เพื่อมาต่อ Flight ในประเทศ สนามบินกว้างมาก หาที่เช็คอินไม่เจอ ทุกอย่างเป็นเครื่องหมด ไม่มีคนให้ถาม เดินงมๆ กันไป กว่าจะเข้าไปได้ ก็เกือบ 10 โมง มีลุ้นตลอดรายการ เครื่องไป Bodo เป็นเครื่องขนาดกลาง ประมาณแอร์เอเซียบินในประเทศบ้านเรา
ออกจากออสโล จะไป Bodo
จาก Oslo 10.15 ถึง Bodo ใช้เวลา 1 ชั่วโมงพอดิบพอดี 11.15 เวลาในประเทศไทย 17.15 ก็เริ่มหิว เพราะที่ออสโลเรารีบกันจนไม่ได้กินอะไรเลย
Bodo เป็นสนามบินเล็กๆ มีร้านกาแฟ ร้านขนม ไม่กี่ร้าน ที่นี่ได้ลองกินช้อกโกแลตร้อนแก้วแรก อร่อยนะ ซื้อแซนวิชกิน อืมมมมม อร่อยใช้ได้ ไปต่อที่ขนม ก็อร่อยอีก แต่ช้อคโกแลตหวานไปหน่อย ข้าวของช้อปปิ้ง ก็พวกเสื้อ หมวก ถุงมือ สวยๆ เยอะเลย แต่เพิ่งมาถึงวันแรก เลยยังไม่กล้าซื้อ กลัวจะเจอที่ถูกกว่าแล้วจะเสียใจ จนทุกวันนี้ เสียดายว่าทำไมไม่ซื้อ จะไปใหม่ก็คงไม่ใช่ ที่นี่ไม่ต้องย้ายกระเป๋า เพราะ Nowegian Air กับ Wideroe คือสายการบินเดียวกัน เค้าแยกกระเป๋าคนที่จะไป Lofoten ไว้ล็อตนึง แล้วยกย้ายไปท้งล็อตเลย ได้พักชั่วโมงนึง ก็เดินทางต่อ
เครื่องไป Lofoten ก็จะเล็กๆ หน่อย
ภายในเครื่องน่าจะมีแค่ 20 ที่นั่ง ก็เพิ่งเคยขึ้นเครื่องเล็กขนาดนี้ คือเหมือน บขส. ขึ้นไปมีที่ว่างตรงไหนก็นั่ง ไม่มีเลขที่นั่ง
พวกเรามัวแต่จิบกาแฟ กินแซนวิช เพราะหิว เลยขึ้นช้ากว่าคนอื่น ได้นั่งท้ายเครื่องจ้าาาา....
แต่วิวท้ายเครื่องก็สวยดีนะต้องคอยหลบท่อใบพัดกันหน่อย ไม่งั้นติดมาเต็มรูป
13.15 น. ก็มาถึงสนามบิน Svolvaer เมืองนี้ถือเป็นเมืองหลักของหมู่เกาะ Lofoten ซึ่งมีเกาะในสังกัดกว่า 20,000 เกาะ
หิมะ ก็มารับกันตั้งแต่สนามบินเลยจ้าาา
มาจากเมืองไทย ไม่ได้เตรียมอุปกรณ์กันหนาวแบบจัดเต็ม หมู่เกาะนี้ก็รับน้องใหม่แบบจัดเต็มกันเลยทีเดียว แต่ก็ไม่วายถ่ายรูปกันจนเจ้าหน้าที่สายการบินต้องมาไล่พวกเราเข้าข้างใน
มาถึงแล้วนะ Lofoten ในภาพเป็นสนามบิน Svolvaer ในวันฟ้าใส
รอกระเป๋าไม่นาน ก็ได้ออกมาข้างนอก
Svolvaer เป็นสนามบินเล็กๆ มีเที่ยวบินขึ้นลง วันละ 2 เที่ยว บ่าย 2 เค้าก็เลิกงานกันแล้ว อ่ะนะ คุณภาพชีวิตเค้าดีกันจริงๆ
.
รับกระเป๋าเสร็จแล้วก็ไปรับรถเช่าต่อ
ที่นี่เราเช่ารถของ Sixth เป็น Toyota verso รถตู้ 9 ที่นั่ง ขับกันเอง (ก่อนมา ไปทำใบขับขี่สากลกันมาแล้ว) รถมีที่วางของด้านหลัง เพราะความกลัวว่าจะไม่มีที่วางของ ทริปนี้จึงจำกัดทุกคนให้ถือกระเป๋าขนาด 20 นิ้ว 1 ใบ เป้ขนาดกลาง 1 ใบ และกระเป๋าติดตัว 1 ใบ เพราะเป้ยังสามารถวางที่เท้า หรือวางตักได้ ถ้าพื้นที่ไม่พอ
.
แผนกเฝ้ากระเป๋า ระหว่างรอเพื่อนไปเอารถ
รถคันนี้ ใช้ตลอดการเดินทาง จาก Lofoten ไป Tromso รวม 10 วัน
สรุปว่า ใช้พันที่พอดีเป๊ะ
ระหว่างรอรถ ก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
ไอ้ที่เตรียมมาเป็นเสื้อกันลม ก็ไม่คิดว่าจะจัดหนักกันขนาดนี้
หิมะตกตลอดการรอคอย การรับรถต้องใช้เอกสารมากมาย
เอกสารการจอง พาสปอร์ต ใบขับขี่สากล ต้องตัดเงินมัดจำจากบัตรเครดิต บัตรเครดิตที่ใช้ต้องเป็นบัตรของคนขับ
.
จัดของเสร็จ ก็ออกจากสนามบิน กว่าจะออกจากสนามบินได้ เค้าก็ปิดสนามบินไล่เรา ให้เราออกไปรอข้างนอก
.
แล้วก็ออกเดินทาง วิวระหว่างทางก็จะสวยๆ แบบหนาวๆ ตอนนี้ก็พากันรื้อค้นอุปกรณ์กันหนาวกันออกมา
จุดหมายแรกที่คิดจะแวะคือ Svolvaer Church แต่ไม่ได้แวะ เพราะหิมะตกหนัก เลยได้แค่วนดู
และไปต่อที่ประภาคารของเมือง
ลงไปถ่ายรูปนิดนึง หนาวจัด เลยขึ้นรถดีกว่า
หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการหาที่เที่ยว เราก็ไปต่อกันที่ Supermarket ในเมือง Svolvaer เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ อ่านตามรีวิว เค้าบอกว่า "ปิดทั้งเมือง" แต่จริงๆ ก็ปิดเฉพาะร้านเล็กๆ นะ ร้านใหญ่เค้าเปิด
ด้วยความกลัวอด และกลัวของแพง เพราะอ่านรีวิวมาว่าแพงมาก (ก็แพงจริงๆ นั่นแหละ) พวกเราเลยตุนของในซูเปอร์กันแบบกินได้หลายวันกันเลยทีเดียว
.
ระหว่างทางไปที่พัก ก็จะมีอุโมงค์เยอะหน่อย ที่นี่เค้าใช้สะพาน อุโมงค์ผ่านเขา มุดน้ำ เยอะมาก แต่ละอุโมงค์ยาวหลายร้อยเมตร ถนนแคบมาก ชนิดวิ่งสวนไม่ได้ ระหว่างทางจะมีที่ให้รอหลีกเป็นระยะ ถ้าเป็นเมืองเรา สงสัยลงไปต่อยกันแน่เลย
ถนนเค้าก็เหมือนกัน ไม่กว้างนัก แค่พอรถ 2 คันสวนกันได้ ยกเว้นในเมืองที่ถนนใหญ่หน่อย แต่เค้าก็หลบให้กันนะ
เสร็จแล้วก็ไปต่อที่ที่พัก
วันนี้เราพักที่ Work Away Holiday Base Lofoten จองผ่านเว็บ air bnb บ้านน่ารัก สะอาดเรียบร้อย สิ่งอำนวยความสะดวกครบ
น่าจะเป็นบ้านชาวประมงเดิม เอามารีโนเวท ทำเป็นที่พักนักท่องเที่ยว
ถึงที่พักประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ เดินสำรวจบ้าน ทำข้าวต้มกิน แล้วก็หลับเป็นตาย
การเดินทางจากสุวรรณภูมิถึงที่พักวันนี้ กินเวลาไป 26 ชั่วโมง
บ้านนี้มีห้องนั่งเล่น ถึง 3 ห้อง ทุกห้องสามารถมองวิวด้านนอกได้หมด แต่คนละมุม เหมาะกับการมาเป็นกลุ่มเล็กๆ
ห้องนอนใหญ่ 2 ห้อง ที่กว้างพอสมควรเลยหละ
ห้องนอนเล็ก 4 ห้อง นอนได้ห้องละ 2 คน
ห้องน้ำ 3 ห้อง เป็นห้องใหญ่ 1 ห้อง และห้องเล็ก 2 ห้อง
ห้องครัว ของครบ ตู้เย็น ไมโครเวฟ เตาอบ เตาไฟฟ้า ซิงค์ล้างจาน น้ำยาล้างจาก จานชามช้อน ตะเกียบ มีดสารพัดขนาด โต๊ะกินอาหาร มีพวกเครื่องปรุงที่กรุ๊ปก่อนๆ ทิ้งไว้ด้วย
ห้องนั่งเล่น ห้องใหญ่สุดในบ้าน
บ้านนี้มีเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า พร้อมผงซักฟอก บริการด้วย
เจ้าของใจดีด้วย ตอนที่พวกเราไปถึงยังไม่คุ้นกับการขับรถบนหิมะ เลยขับขึ้นเนินของบ้านไม่ได้ เจ้าของ (เค้าอยู่บ้านข้างๆ) ก็ออกมาขับให้
.
และวันนี้ก็จบลงด้วยความเหนื่อยอ่อนกับการเดินทาง พรุ่งนี้มาเล่าของวันต่อไป
โปรดติดตามตอนต่อไป
.
หรือติดตามเพิ่มเติมได้ในเพจ หลากหลาย by Artima
.
[CR] ล่าแสงเหนือ Day 1 : กรุงเทพฯ - โลโฟเทน
.
ทริปล่าแสงเหนือครั้งนี้ ป้าๆ เดินทางเอง จองที่พักต่างๆ เอง ไปกันเองในกลุ่มเพื่อนสนิท ไม่ง้อทัวร์
การเดินทาง 14 วัน (1 - 14 พ.ย.67) รวมวันเดินทาง
ตั้งงบประมาณไว้ 120,000 ++ บาทไทย แต่ใช้ไปจริงๆ แค่ 97,000 บาท ไม่รวมช้อปปิ้ง
ไม่ใช่เพราะประหยัดอะไรหรอกนะ เพราะหิมะตก ฝนตก ตลอดการเดินทาง โปรแกรมหลายอย่างเลยต้องงดไป....ฮา
.
ก่อนอื่นขอแนะนำเส้นทางก่อนว่าป้าๆ ไปไหนกันบ้าง
คืน 1- 3 โลโฟเทน
คืน 4 Harstad
คืน 5 - 6 Senja Island
คืน 7 - 8 Sommaroy
คืน 9 - 10 Tromso
คืน 11 ออสโล
.
ขอเล่าวันแรกกับวันที่ 2 รวบเลยนะ เพราะวันแรกแค่ออกจากสุวรรณภูมิ
.
พวกเรานัดเจอกันประมาณ 3 ทุ่มของวันที่ 1 พ.ย. (เครื่องออก 00.15 น.วันที่ 2 พ.ย.) ดีนะที่นัดเจอกันเร็ว
วันนั้นเป็นวันศุกร์แห่งชาติ ที่ฝนตก รถติดมากวันหนึ่ง
แก๊งป้ามีทั้งหมด 9 คน
กำลังเช็คอิน ปรากฎว่าเพื่อนคนนึงหาพาสปอร์ตไม่เจอ มีลุ้นกันตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทาง
ปรากฎว่าทำหล่นในรถที่มาส่ง ดีนะ รถที่บ้านมาส่งเลยให้วนกลับมาก แต่กว่าจะมาถึง ลุ้นว่าจะทันไหม
กว่าจะได้เข้าไปด้านใน ก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว เดิน duty fee นิดหน่อย
และเราก็ได้มีส่วนฉลอง Gate เปิดใหม่ที่ต้องนั่งรถไฟฟ้าไปต่อ
.
เครื่องออกตามเวลา บินตรงกรุงเทพฯ Oslo ไม่อยากต่อเครื่อง ป้าๆ แก่แล้ว กลัวเหนื่อย
ออกจากสุวรรณภูมิ และเส้นทางบินของพวกเรา
ระหว่างทางมองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้าใสมาก ดาวเยอะ เห็นแสงกระพริบของเครื่องบินที่บินทางเดียวกันไกลๆ มีเพื่อนไปตลอดทาง มองลงไปข้างล่าง มืดบ้าง สว่างบ้าง ผ่านเมืองที่มีวิวไฟสวยๆ หลายเมือง ไม่รู้หรอกว่าที่ไหนบ้าง
แล้วก็ถึงออสโลเช้ามืด 06.50 ของวันที่ 2 พ.ย. (เวลาประเทศไทยก็ 12.50 น.) ใช้เวลาบิน 12 ชั่วโมง
จาก Oslo เราต้องต่อเครื่องไป Bodo เพื่อต่อเครื่องไป Svolvaer เมืองหลักของ Lofoten
.
จาก Gate ที่ลงเครื่อง เดินต่ออีกยาวไกล ว่าจะไปถึงสายพานกระเป๋า แต่มีป้ายบอกไปตลอดทางนะ และเมื่อไปถึงกระเป๋าก็ยังไม่มา เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันรอ จนกระเป๋ามาถึง รอจนกระเป๋าหมดสายพาน
เอ้า.......กระเป๋าหาย...!!
คิดคำนวนอยู่นานว่าถ้าหายจริงจะทำไงดี เสื้อผ้าที่อยู่ในเป้ที่ถือขึ้นเครื่องมีแค่ชุดเดียว กับแปรงสีฟันยาสีฟัน และอุปกรณ์แต่งหน้า ดีที่รองเท้ากันหนาวได้ใส่มา ใจร่มๆ เดินเล่นๆ สักพัก ก็พบว่า มันไปวางอยู่อีกสายพานหนึ่ง
คงมีคนหยิบผิด แล้วเอาไปวางทิ้งไว้ กว่าจะหาเจอ
จากนั้นก็ต้องมาจัดกระเป๋าใหม่ เพราะสายการบินไทย กับสายการบินในประเทศนอร์เวย์มีข้อกำหนดของน้ำหนักต่างกัน
การบินไทย โหลดใต้ได้ 2 ชิ้น รวม 25 กก. ถือขึ้นเครื่อง 2 ชิ้น 7 กก.
Norwegian Airline โหลดได้ชิ้นเดียว 23 กก. ถือขันเครื่อง 2 ชิ้น 8 กก.
ก็เลยต้องทำการรวบกระเป๋า
เสร็จแล้วก็ออกจาก โซนระหว่างประเทศ ต่อ Flight ในประเทศ เครื่องไป Bodo ออก 10.15 กว่าเราจะได้ออกมาจากระหว่างประเทศ ก็เกือบ 9.30 น.เพื่อมาต่อ Flight ในประเทศ สนามบินกว้างมาก หาที่เช็คอินไม่เจอ ทุกอย่างเป็นเครื่องหมด ไม่มีคนให้ถาม เดินงมๆ กันไป กว่าจะเข้าไปได้ ก็เกือบ 10 โมง มีลุ้นตลอดรายการ เครื่องไป Bodo เป็นเครื่องขนาดกลาง ประมาณแอร์เอเซียบินในประเทศบ้านเรา
ออกจากออสโล จะไป Bodo
จาก Oslo 10.15 ถึง Bodo ใช้เวลา 1 ชั่วโมงพอดิบพอดี 11.15 เวลาในประเทศไทย 17.15 ก็เริ่มหิว เพราะที่ออสโลเรารีบกันจนไม่ได้กินอะไรเลย
Bodo เป็นสนามบินเล็กๆ มีร้านกาแฟ ร้านขนม ไม่กี่ร้าน ที่นี่ได้ลองกินช้อกโกแลตร้อนแก้วแรก อร่อยนะ ซื้อแซนวิชกิน อืมมมมม อร่อยใช้ได้ ไปต่อที่ขนม ก็อร่อยอีก แต่ช้อคโกแลตหวานไปหน่อย ข้าวของช้อปปิ้ง ก็พวกเสื้อ หมวก ถุงมือ สวยๆ เยอะเลย แต่เพิ่งมาถึงวันแรก เลยยังไม่กล้าซื้อ กลัวจะเจอที่ถูกกว่าแล้วจะเสียใจ จนทุกวันนี้ เสียดายว่าทำไมไม่ซื้อ จะไปใหม่ก็คงไม่ใช่ ที่นี่ไม่ต้องย้ายกระเป๋า เพราะ Nowegian Air กับ Wideroe คือสายการบินเดียวกัน เค้าแยกกระเป๋าคนที่จะไป Lofoten ไว้ล็อตนึง แล้วยกย้ายไปท้งล็อตเลย ได้พักชั่วโมงนึง ก็เดินทางต่อ
เครื่องไป Lofoten ก็จะเล็กๆ หน่อย
ภายในเครื่องน่าจะมีแค่ 20 ที่นั่ง ก็เพิ่งเคยขึ้นเครื่องเล็กขนาดนี้ คือเหมือน บขส. ขึ้นไปมีที่ว่างตรงไหนก็นั่ง ไม่มีเลขที่นั่ง
พวกเรามัวแต่จิบกาแฟ กินแซนวิช เพราะหิว เลยขึ้นช้ากว่าคนอื่น ได้นั่งท้ายเครื่องจ้าาาา....
แต่วิวท้ายเครื่องก็สวยดีนะต้องคอยหลบท่อใบพัดกันหน่อย ไม่งั้นติดมาเต็มรูป
13.15 น. ก็มาถึงสนามบิน Svolvaer เมืองนี้ถือเป็นเมืองหลักของหมู่เกาะ Lofoten ซึ่งมีเกาะในสังกัดกว่า 20,000 เกาะ
หิมะ ก็มารับกันตั้งแต่สนามบินเลยจ้าาา
มาจากเมืองไทย ไม่ได้เตรียมอุปกรณ์กันหนาวแบบจัดเต็ม หมู่เกาะนี้ก็รับน้องใหม่แบบจัดเต็มกันเลยทีเดียว แต่ก็ไม่วายถ่ายรูปกันจนเจ้าหน้าที่สายการบินต้องมาไล่พวกเราเข้าข้างใน
มาถึงแล้วนะ Lofoten ในภาพเป็นสนามบิน Svolvaer ในวันฟ้าใส
รอกระเป๋าไม่นาน ก็ได้ออกมาข้างนอก
Svolvaer เป็นสนามบินเล็กๆ มีเที่ยวบินขึ้นลง วันละ 2 เที่ยว บ่าย 2 เค้าก็เลิกงานกันแล้ว อ่ะนะ คุณภาพชีวิตเค้าดีกันจริงๆ
.
รับกระเป๋าเสร็จแล้วก็ไปรับรถเช่าต่อ
ที่นี่เราเช่ารถของ Sixth เป็น Toyota verso รถตู้ 9 ที่นั่ง ขับกันเอง (ก่อนมา ไปทำใบขับขี่สากลกันมาแล้ว) รถมีที่วางของด้านหลัง เพราะความกลัวว่าจะไม่มีที่วางของ ทริปนี้จึงจำกัดทุกคนให้ถือกระเป๋าขนาด 20 นิ้ว 1 ใบ เป้ขนาดกลาง 1 ใบ และกระเป๋าติดตัว 1 ใบ เพราะเป้ยังสามารถวางที่เท้า หรือวางตักได้ ถ้าพื้นที่ไม่พอ
.
แผนกเฝ้ากระเป๋า ระหว่างรอเพื่อนไปเอารถ
รถคันนี้ ใช้ตลอดการเดินทาง จาก Lofoten ไป Tromso รวม 10 วัน
สรุปว่า ใช้พันที่พอดีเป๊ะ
ระหว่างรอรถ ก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
ไอ้ที่เตรียมมาเป็นเสื้อกันลม ก็ไม่คิดว่าจะจัดหนักกันขนาดนี้
หิมะตกตลอดการรอคอย การรับรถต้องใช้เอกสารมากมาย
เอกสารการจอง พาสปอร์ต ใบขับขี่สากล ต้องตัดเงินมัดจำจากบัตรเครดิต บัตรเครดิตที่ใช้ต้องเป็นบัตรของคนขับ
.
จัดของเสร็จ ก็ออกจากสนามบิน กว่าจะออกจากสนามบินได้ เค้าก็ปิดสนามบินไล่เรา ให้เราออกไปรอข้างนอก
.
แล้วก็ออกเดินทาง วิวระหว่างทางก็จะสวยๆ แบบหนาวๆ ตอนนี้ก็พากันรื้อค้นอุปกรณ์กันหนาวกันออกมา
จุดหมายแรกที่คิดจะแวะคือ Svolvaer Church แต่ไม่ได้แวะ เพราะหิมะตกหนัก เลยได้แค่วนดู
และไปต่อที่ประภาคารของเมือง
ลงไปถ่ายรูปนิดนึง หนาวจัด เลยขึ้นรถดีกว่า
หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการหาที่เที่ยว เราก็ไปต่อกันที่ Supermarket ในเมือง Svolvaer เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ อ่านตามรีวิว เค้าบอกว่า "ปิดทั้งเมือง" แต่จริงๆ ก็ปิดเฉพาะร้านเล็กๆ นะ ร้านใหญ่เค้าเปิด
ด้วยความกลัวอด และกลัวของแพง เพราะอ่านรีวิวมาว่าแพงมาก (ก็แพงจริงๆ นั่นแหละ) พวกเราเลยตุนของในซูเปอร์กันแบบกินได้หลายวันกันเลยทีเดียว
.
ระหว่างทางไปที่พัก ก็จะมีอุโมงค์เยอะหน่อย ที่นี่เค้าใช้สะพาน อุโมงค์ผ่านเขา มุดน้ำ เยอะมาก แต่ละอุโมงค์ยาวหลายร้อยเมตร ถนนแคบมาก ชนิดวิ่งสวนไม่ได้ ระหว่างทางจะมีที่ให้รอหลีกเป็นระยะ ถ้าเป็นเมืองเรา สงสัยลงไปต่อยกันแน่เลย
ถนนเค้าก็เหมือนกัน ไม่กว้างนัก แค่พอรถ 2 คันสวนกันได้ ยกเว้นในเมืองที่ถนนใหญ่หน่อย แต่เค้าก็หลบให้กันนะ
เสร็จแล้วก็ไปต่อที่ที่พัก
วันนี้เราพักที่ Work Away Holiday Base Lofoten จองผ่านเว็บ air bnb บ้านน่ารัก สะอาดเรียบร้อย สิ่งอำนวยความสะดวกครบ
น่าจะเป็นบ้านชาวประมงเดิม เอามารีโนเวท ทำเป็นที่พักนักท่องเที่ยว
ถึงที่พักประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ เดินสำรวจบ้าน ทำข้าวต้มกิน แล้วก็หลับเป็นตาย
การเดินทางจากสุวรรณภูมิถึงที่พักวันนี้ กินเวลาไป 26 ชั่วโมง
บ้านนี้มีห้องนั่งเล่น ถึง 3 ห้อง ทุกห้องสามารถมองวิวด้านนอกได้หมด แต่คนละมุม เหมาะกับการมาเป็นกลุ่มเล็กๆ
ห้องนอนใหญ่ 2 ห้อง ที่กว้างพอสมควรเลยหละ
ห้องนอนเล็ก 4 ห้อง นอนได้ห้องละ 2 คน
ห้องน้ำ 3 ห้อง เป็นห้องใหญ่ 1 ห้อง และห้องเล็ก 2 ห้อง
ห้องครัว ของครบ ตู้เย็น ไมโครเวฟ เตาอบ เตาไฟฟ้า ซิงค์ล้างจาน น้ำยาล้างจาก จานชามช้อน ตะเกียบ มีดสารพัดขนาด โต๊ะกินอาหาร มีพวกเครื่องปรุงที่กรุ๊ปก่อนๆ ทิ้งไว้ด้วย
ห้องนั่งเล่น ห้องใหญ่สุดในบ้าน
บ้านนี้มีเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า พร้อมผงซักฟอก บริการด้วย
เจ้าของใจดีด้วย ตอนที่พวกเราไปถึงยังไม่คุ้นกับการขับรถบนหิมะ เลยขับขึ้นเนินของบ้านไม่ได้ เจ้าของ (เค้าอยู่บ้านข้างๆ) ก็ออกมาขับให้
.
และวันนี้ก็จบลงด้วยความเหนื่อยอ่อนกับการเดินทาง พรุ่งนี้มาเล่าของวันต่อไป
โปรดติดตามตอนต่อไป
.
หรือติดตามเพิ่มเติมได้ในเพจ หลากหลาย by Artima
.
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้