เคยไหมที่ทำงานไปวันๆ ไม่มีเป้าหมายในชีวิต มีเงินเก็บแต่แทบไม่ได้ใช้ มีเวลาแต่ก็ไม่มีใครให้ไปเที่ยวด้วย
เราผ่านชีวิต first jobber มาแบบนั้น เรียนจบมา ทำงานหาเงินไปเรื่อยๆจนกระทั้งจะเข้าสู่ปีที่สี่ เริ่มมีความรู้สึกอยากตื่นน้อยลง
แรกๆก็คิดว่าการเกลียดวันจันทร์ การเศร้าซึมในคืนวันอาทิตย์เป็นเรื่องปกติของวัยทำงานทุกคน ซึ่งก็อาจจะจริง...
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะรับมือกับมันได้ หากสถานการณ์มันแย่และยากต่อการจัดการ ทางออกที่เราหาได้ในตอนนั้นคือการออกมาพัก
ประกอบกับความไม่มั่นใจในสายงานที่ทำอยู่ ว่าจริงๆแล้วเราอยากจะทำมันไปตลอดทั้งชีวิตนี้ไหม ฉะนั้นการให้เวลาตัวเอง
เพื่อหาคำตอบว่าอยากจะทำอะไรกันแน่ ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี พอคิดได้แบบนั้นก็แจ้งขอลาออก แต่ไม่ได้ใจเด็ดกระทำการโดยไร้แผน
คำนวณจากเงินเก็บที่มี คาดว่าจะพักนานได้เป็นปี (worst case ไม่เกินหนึ่งปี เพราะแพลนพักแปบเดียวและจะเริ่มหางานใหม่)
หลังจากลาออก แรกๆ ทุกอย่างดีมาก อะไรที่เคยเครียดก็หายไป อะไรที่อยากทำก็ได้ทำ มีไปเที่ยว ไม่ต้องรอใครไปเป็นเพื่อแล้วจัดโซโล่ทริป
ได้ดูคอนเสิร์ต ปั่นดูซีรีส์ อ่านนิยายที่คั่งค้าง รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปแล้วเกือบสามสี่เดือน ตอนนั้นเองมีเพื่อนแนะนำงาน(คล้ายเดิม)มา
แต่ตอนนั้นลังเล เพราะยังไม่ได้คำตอบเลยว่า อยากจะทำในสายงานเดิมหรือกลับไปทำงานในสายที่เรียนมา เลยเลือกทิ้งโอกาสนั้นไปก่อน
จากนั้นก็เริ่มเรียนคอร์สออนไลน์ เข้า bootcamp ทั้งเพื่อเพิ่มสกิลและปัดฝุ่นสกิลเดิม จนเวลาผ่านไปหกเดือนได้
โชคดีที่ระหว่างที่เราออกมาพักได้เจอกลุ่มเพื่อนๆ อยู่ตลอด ไม่มีเพื่อนคนไหนมองสิ่งที่เราเลือกว่าแปลกหรือผิดเลย
ทุกคนซัพพอร์ต สนับสนุนเป็นกำลังใจเสมอ ทำให้รู้สึกว่าการเดินทางของเราครั้งนั้นมัน comform และ secure มากๆ
จนถึงจุดนึงเรามีความกล้าและความมั่นใจมากขึ้นในทางสายงานนี้ จากนั้นก็พยายามสรุปข้อมูลที่ได้เรียน
จัดทำไฟล์ที่พอจะเป็นพอร์ท เอาลงในเว็บ ปรับแก้ resume และสมัครแอคเคาท์ในแอพหางานต่างๆ โดยใช้เวลาประมาณห้าหกเดือน
(เราไม่ได้ทำแบบเอาเป็นเอาตาย ค่อยๆทำค่อยๆแก้ เลยใช้เวลาเยอะ แอบรู้สึดผิดในจุดนี้ น่าจะเคร่งเรื่องเวลากว่านี้อีกหน่อย)
และเราพึ่งจะมาเริ่มสมัครงานใหม่แบบจริงๆจังๆในช่วงก่อนนี้ ซึ่งมันผิดคาดมาก และยากกว่าที่คิดไว้เยอะ
อาจเพราะงานแรกเราได้มาแบบไวมาก (สมัคร สัมภาษณ์ เซ็นสัญญา ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์แล้วเริ่มทำงานเลย 5555)
ไม่ได้เตรียมใจว่าการหางานครั้งที่สองมันจะยากมากขนาดนี้ จนระยะเวลาผ่านมาอีกครึ่งปีแล้ว
ในหลายๆที่ มีโทรมาบรีฟคอลบ้าง ส่ง assignment ให้ลองเทสบ้าง แต่ยังไม่มีที่ไหนเรียกให้สัมภาษณ์เลย
จนตอนนี้เราก็ยังส่งสมัครงานเรื่อยๆทั้งสายงานนี้และสายงานเดิมที่เคยมีประสบการณ์ เพราะเริ่มมีแรงกดดันจากที่บ้าน
ทำให้ตอนนี้ต้องหางานให้ได้โดยเร็ว มองย้อนกลับไปมันแปบเดียวมากจริงๆ แต่พอพูดในแง่ระยะเวลามันก็นานมากเหมือนกัน
หลายๆครั้งก็คิดว่าไม่น่าเลย ควรจะลาออกเมื่อได้งานใหม่ก่อน หรือแม้กระทั่งโอกาสดีที่ผ่านเข้ามาแล้วเลือกจะทิ้งไป
แต่แล้วยังไงล่ะ มันผ่านไปแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้ อย่างน้อยการที่เราต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆในตอนนี้ก็เกิดจากการที่เราเลือกเอง
คนเรามักจะเสียดายหรืออาลัยอาวรณ์กับทางเลือกอีกทางที่ไม่ได้เลือก แต่ถ้ามีมัลติเวิร์สจริงใช่ว่าทางนั้นจะดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ซะหน่อย
ใครอ่านมาถึงตรงนี้คงจะเริ่มสงสัยว่าแล้วเรามาเขียนกระทู้ทำไม 555555555 จริงๆเราแค่อยากจะแชร์เรื่องราวที่เจอมาเฉยๆ
เผื่อมีใครที่กำลังท้อในเรื่องหางาน หรือไม่มั่นใจในเรื่องไหนของชีวิตอยู่ เราเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังเจอเรื่องที่ผ่านไปยากเหมือนกัน
แต่จะพยายามผ่านไปให้ได้แบบทุกที ไม่รู้ว่ามันจบยังไงวันไหนเมื่อไร แต่เชื่อว่าวันนั้นมันจะมาถึงอย่างแน่นอน ;)
จากการตามหาฝัน รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคนว่างงานจะสองปีแล้ว (ซะงั้น)
เราผ่านชีวิต first jobber มาแบบนั้น เรียนจบมา ทำงานหาเงินไปเรื่อยๆจนกระทั้งจะเข้าสู่ปีที่สี่ เริ่มมีความรู้สึกอยากตื่นน้อยลง
แรกๆก็คิดว่าการเกลียดวันจันทร์ การเศร้าซึมในคืนวันอาทิตย์เป็นเรื่องปกติของวัยทำงานทุกคน ซึ่งก็อาจจะจริง...
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะรับมือกับมันได้ หากสถานการณ์มันแย่และยากต่อการจัดการ ทางออกที่เราหาได้ในตอนนั้นคือการออกมาพัก
ประกอบกับความไม่มั่นใจในสายงานที่ทำอยู่ ว่าจริงๆแล้วเราอยากจะทำมันไปตลอดทั้งชีวิตนี้ไหม ฉะนั้นการให้เวลาตัวเอง
เพื่อหาคำตอบว่าอยากจะทำอะไรกันแน่ ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี พอคิดได้แบบนั้นก็แจ้งขอลาออก แต่ไม่ได้ใจเด็ดกระทำการโดยไร้แผน
คำนวณจากเงินเก็บที่มี คาดว่าจะพักนานได้เป็นปี (worst case ไม่เกินหนึ่งปี เพราะแพลนพักแปบเดียวและจะเริ่มหางานใหม่)
หลังจากลาออก แรกๆ ทุกอย่างดีมาก อะไรที่เคยเครียดก็หายไป อะไรที่อยากทำก็ได้ทำ มีไปเที่ยว ไม่ต้องรอใครไปเป็นเพื่อแล้วจัดโซโล่ทริป
ได้ดูคอนเสิร์ต ปั่นดูซีรีส์ อ่านนิยายที่คั่งค้าง รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปแล้วเกือบสามสี่เดือน ตอนนั้นเองมีเพื่อนแนะนำงาน(คล้ายเดิม)มา
แต่ตอนนั้นลังเล เพราะยังไม่ได้คำตอบเลยว่า อยากจะทำในสายงานเดิมหรือกลับไปทำงานในสายที่เรียนมา เลยเลือกทิ้งโอกาสนั้นไปก่อน
จากนั้นก็เริ่มเรียนคอร์สออนไลน์ เข้า bootcamp ทั้งเพื่อเพิ่มสกิลและปัดฝุ่นสกิลเดิม จนเวลาผ่านไปหกเดือนได้
โชคดีที่ระหว่างที่เราออกมาพักได้เจอกลุ่มเพื่อนๆ อยู่ตลอด ไม่มีเพื่อนคนไหนมองสิ่งที่เราเลือกว่าแปลกหรือผิดเลย
ทุกคนซัพพอร์ต สนับสนุนเป็นกำลังใจเสมอ ทำให้รู้สึกว่าการเดินทางของเราครั้งนั้นมัน comform และ secure มากๆ
จนถึงจุดนึงเรามีความกล้าและความมั่นใจมากขึ้นในทางสายงานนี้ จากนั้นก็พยายามสรุปข้อมูลที่ได้เรียน
จัดทำไฟล์ที่พอจะเป็นพอร์ท เอาลงในเว็บ ปรับแก้ resume และสมัครแอคเคาท์ในแอพหางานต่างๆ โดยใช้เวลาประมาณห้าหกเดือน
(เราไม่ได้ทำแบบเอาเป็นเอาตาย ค่อยๆทำค่อยๆแก้ เลยใช้เวลาเยอะ แอบรู้สึดผิดในจุดนี้ น่าจะเคร่งเรื่องเวลากว่านี้อีกหน่อย)
และเราพึ่งจะมาเริ่มสมัครงานใหม่แบบจริงๆจังๆในช่วงก่อนนี้ ซึ่งมันผิดคาดมาก และยากกว่าที่คิดไว้เยอะ
อาจเพราะงานแรกเราได้มาแบบไวมาก (สมัคร สัมภาษณ์ เซ็นสัญญา ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์แล้วเริ่มทำงานเลย 5555)
ไม่ได้เตรียมใจว่าการหางานครั้งที่สองมันจะยากมากขนาดนี้ จนระยะเวลาผ่านมาอีกครึ่งปีแล้ว
ในหลายๆที่ มีโทรมาบรีฟคอลบ้าง ส่ง assignment ให้ลองเทสบ้าง แต่ยังไม่มีที่ไหนเรียกให้สัมภาษณ์เลย
จนตอนนี้เราก็ยังส่งสมัครงานเรื่อยๆทั้งสายงานนี้และสายงานเดิมที่เคยมีประสบการณ์ เพราะเริ่มมีแรงกดดันจากที่บ้าน
ทำให้ตอนนี้ต้องหางานให้ได้โดยเร็ว มองย้อนกลับไปมันแปบเดียวมากจริงๆ แต่พอพูดในแง่ระยะเวลามันก็นานมากเหมือนกัน
หลายๆครั้งก็คิดว่าไม่น่าเลย ควรจะลาออกเมื่อได้งานใหม่ก่อน หรือแม้กระทั่งโอกาสดีที่ผ่านเข้ามาแล้วเลือกจะทิ้งไป
แต่แล้วยังไงล่ะ มันผ่านไปแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้ อย่างน้อยการที่เราต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆในตอนนี้ก็เกิดจากการที่เราเลือกเอง
คนเรามักจะเสียดายหรืออาลัยอาวรณ์กับทางเลือกอีกทางที่ไม่ได้เลือก แต่ถ้ามีมัลติเวิร์สจริงใช่ว่าทางนั้นจะดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ซะหน่อย
ใครอ่านมาถึงตรงนี้คงจะเริ่มสงสัยว่าแล้วเรามาเขียนกระทู้ทำไม 555555555 จริงๆเราแค่อยากจะแชร์เรื่องราวที่เจอมาเฉยๆ
เผื่อมีใครที่กำลังท้อในเรื่องหางาน หรือไม่มั่นใจในเรื่องไหนของชีวิตอยู่ เราเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังเจอเรื่องที่ผ่านไปยากเหมือนกัน
แต่จะพยายามผ่านไปให้ได้แบบทุกที ไม่รู้ว่ามันจบยังไงวันไหนเมื่อไร แต่เชื่อว่าวันนั้นมันจะมาถึงอย่างแน่นอน ;)