ยาฟรีบัตรทอง ถูกขายออนไลน์ สปสช. ลั่นเอาผิดคนละเมิดสิทธิ สังคมตั้งคำถามถึงจริยธรรม-อนาคตระบบสาธารณสุขไทย
"ยาฟรี แต่ภาษีเรานะครับ" - ประโยคสั้นๆ ที่คุณหมออนุชิต นิยมปัทมะ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย พร้อมภาพยาพ่นจมูกแก้ภูมิแพ้ที่ถูกนำไปขายต่อในโลกออนไลน์ กำลังจุดชนวนคำถามใหญ่เกี่ยวกับความยั่งยืนของระบบสวัสดิการสุขภาพไทย
เมื่อสำรวจในกลุ่ม "คุณแม่โคราช" พบการโพสต์ขายยาพ่นจมูกแก้ภูมิแพ้ที่ได้จากสิทธิบัตรทองในราคา 350-450 บาท พร้อมส่งฟรี ในขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 590-790 บาทต่อขวด การขายยาราคาถูกเช่นนี้ไม่เพียงผิดกฎหมาย แต่ยังทำร้ายระบบสาธารณสุขในหลายมิติ
ในมิติผู้ป่วย การนำยาไปขายต่อเท่ากับเป็นการ "ตัดโอกาส" ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ยาจริงๆ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ห่างไกล และเมื่อยากลายเป็น "สินค้าออนไลน์" ย่อมไม่มีหลักประกันด้านคุณภาพและความปลอดภัย ผู้ซื้อไม่มีทางรู้ว่ายาผ่านการเก็บรักษาอย่างถูกต้องหรือไม่
ในมิติระบบสาธารณสุข พฤติกรรมเช่นนี้ "บิดเบือน" ระบบการกระจายยาและการประเมินความต้องการที่แท้จริง "สิ้นเปลือง" งบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน และ "เพิ่มภาระ" ให้บุคลากรทางการแพทย์โดยไม่จำเป็น เพราะต้องจ่ายยาให้ผู้ที่อาจไม่ได้ต้องการใช้ยาจริง
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. ย้ำชัดว่า "ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าถูกออกแบบให้เป็นหลักประกันและสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้กับประชาชน" การนำยาไปขายต่อจึงไม่เพียงผิดกฎหมาย แต่ยังเป็นการทำลายระบบสวัสดิการที่เป็นความภาคภูมิใจของประเทศ
ล่าสุด สปสช. ได้ออกมาตรการเด็ดขาดเพื่อจัดการกับปัญหานี้ โดยจะเร่งตรวจสอบความผิดปกติของการเบิกจ่ายยา โดยเฉพาะยาพ่นจมูกแก้ภูมิแพ้ที่กำลังเป็นข่าว หากพบว่ามีการนำยาไปขายต่อจริง จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างถึงที่สุด พร้อมเปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสการกระทำผิด
สถานการณ์นี้นำมาสู่คำถามสำคัญที่สังคมไทยต้องร่วมกันขบคิด ระบบสวัสดิการสุขภาพที่เคยเป็น "โมเดลต้นแบบ" ที่นานาชาติยกย่องจะดำรงความยั่งยืนได้อย่างไร หากยังมีผู้ไม่หวังดีใช้ช่องว่างของระบบแสวงหาผลประโยชน์เช่นนี้
เมื่อยารักษาโรคถูกนำไปขายต่อในโลกออนไลน์ เราจะมั่นใจได้อย่างไรในคุณภาพและความปลอดภัยของยาที่ผ่านการเปลี่ยนมือ อีกทั้ง "ความเห็นแก่ตัว" ของคนเพียงไม่กี่กลุ่มอาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนนโยบายที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้สิทธิทั้งระบบ ซึ่งหมายถึงประชาชนหลายสิบล้านคนที่พึ่งพาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านี้
ในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังพยายามเพิ่มการเข้าถึงบริการด้วยการขยายจุดบริการ "30 บาทรักษาทุกที่" ไปยังห้างสรรพสินค้า แต่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง การเพิ่มระบบตรวจสอบการใช้สิทธิ และที่สำคัญคือการสร้างจิตสำนึกร่วมในการใช้และดูแลรักษาระบบสวัสดิการของเรา
ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องร่วมกันเป็น "เจ้าของ" และ "ผู้พิทักษ์" ระบบสวัสดิการสุขภาพไทย เพราะนี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของ "ยาฟรี" แต่เป็นเรื่องของ "อนาคตระบบสุขภาพ" ที่จะส่งผลต่อคนไทยทุกคน ร่วมกันแจ้งเบาะแสการกระทำผิดไปยัง สปสช. เพื่อปกป้องระบบสวัสดิการที่มีค่านี้ให้อยู่คู่สังคมไทยตลอดไป
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่นี่
https://www.tnnthailand.com/news/tnnexclusive/184107/
"ยาฟรีภาษีเรา" วิกฤตศรัทธาระบบสุขภาพไทย: เมื่อสวัสดิการกลายเป็นสินค้า ยาฟรีบัตรทอง ถูกขายออนไลน์
ยาฟรีบัตรทอง ถูกขายออนไลน์ สปสช. ลั่นเอาผิดคนละเมิดสิทธิ สังคมตั้งคำถามถึงจริยธรรม-อนาคตระบบสาธารณสุขไทย
"ยาฟรี แต่ภาษีเรานะครับ" - ประโยคสั้นๆ ที่คุณหมออนุชิต นิยมปัทมะ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย พร้อมภาพยาพ่นจมูกแก้ภูมิแพ้ที่ถูกนำไปขายต่อในโลกออนไลน์ กำลังจุดชนวนคำถามใหญ่เกี่ยวกับความยั่งยืนของระบบสวัสดิการสุขภาพไทย
เมื่อสำรวจในกลุ่ม "คุณแม่โคราช" พบการโพสต์ขายยาพ่นจมูกแก้ภูมิแพ้ที่ได้จากสิทธิบัตรทองในราคา 350-450 บาท พร้อมส่งฟรี ในขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 590-790 บาทต่อขวด การขายยาราคาถูกเช่นนี้ไม่เพียงผิดกฎหมาย แต่ยังทำร้ายระบบสาธารณสุขในหลายมิติ
ในมิติผู้ป่วย การนำยาไปขายต่อเท่ากับเป็นการ "ตัดโอกาส" ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ยาจริงๆ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ห่างไกล และเมื่อยากลายเป็น "สินค้าออนไลน์" ย่อมไม่มีหลักประกันด้านคุณภาพและความปลอดภัย ผู้ซื้อไม่มีทางรู้ว่ายาผ่านการเก็บรักษาอย่างถูกต้องหรือไม่
ในมิติระบบสาธารณสุข พฤติกรรมเช่นนี้ "บิดเบือน" ระบบการกระจายยาและการประเมินความต้องการที่แท้จริง "สิ้นเปลือง" งบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน และ "เพิ่มภาระ" ให้บุคลากรทางการแพทย์โดยไม่จำเป็น เพราะต้องจ่ายยาให้ผู้ที่อาจไม่ได้ต้องการใช้ยาจริง
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. ย้ำชัดว่า "ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าถูกออกแบบให้เป็นหลักประกันและสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้กับประชาชน" การนำยาไปขายต่อจึงไม่เพียงผิดกฎหมาย แต่ยังเป็นการทำลายระบบสวัสดิการที่เป็นความภาคภูมิใจของประเทศ
ล่าสุด สปสช. ได้ออกมาตรการเด็ดขาดเพื่อจัดการกับปัญหานี้ โดยจะเร่งตรวจสอบความผิดปกติของการเบิกจ่ายยา โดยเฉพาะยาพ่นจมูกแก้ภูมิแพ้ที่กำลังเป็นข่าว หากพบว่ามีการนำยาไปขายต่อจริง จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างถึงที่สุด พร้อมเปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสการกระทำผิด
สถานการณ์นี้นำมาสู่คำถามสำคัญที่สังคมไทยต้องร่วมกันขบคิด ระบบสวัสดิการสุขภาพที่เคยเป็น "โมเดลต้นแบบ" ที่นานาชาติยกย่องจะดำรงความยั่งยืนได้อย่างไร หากยังมีผู้ไม่หวังดีใช้ช่องว่างของระบบแสวงหาผลประโยชน์เช่นนี้
เมื่อยารักษาโรคถูกนำไปขายต่อในโลกออนไลน์ เราจะมั่นใจได้อย่างไรในคุณภาพและความปลอดภัยของยาที่ผ่านการเปลี่ยนมือ อีกทั้ง "ความเห็นแก่ตัว" ของคนเพียงไม่กี่กลุ่มอาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนนโยบายที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้สิทธิทั้งระบบ ซึ่งหมายถึงประชาชนหลายสิบล้านคนที่พึ่งพาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านี้
ในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังพยายามเพิ่มการเข้าถึงบริการด้วยการขยายจุดบริการ "30 บาทรักษาทุกที่" ไปยังห้างสรรพสินค้า แต่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง การเพิ่มระบบตรวจสอบการใช้สิทธิ และที่สำคัญคือการสร้างจิตสำนึกร่วมในการใช้และดูแลรักษาระบบสวัสดิการของเรา
ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องร่วมกันเป็น "เจ้าของ" และ "ผู้พิทักษ์" ระบบสวัสดิการสุขภาพไทย เพราะนี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของ "ยาฟรี" แต่เป็นเรื่องของ "อนาคตระบบสุขภาพ" ที่จะส่งผลต่อคนไทยทุกคน ร่วมกันแจ้งเบาะแสการกระทำผิดไปยัง สปสช. เพื่อปกป้องระบบสวัสดิการที่มีค่านี้ให้อยู่คู่สังคมไทยตลอดไป
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่นี่ https://www.tnnthailand.com/news/tnnexclusive/184107/