0.
โชคชะตากำหนด ชีวิตเราลิขิต
เข้าสู่ EP. 5 ของการเดินทางกระทู้สุดท้ายใน seires "ย้อนอดีตไปกับ hard disk ลูกเก่า" นี้แล้ว เราจะพาทุกท่านขึ้นจากใต้สุดไปยังภาคเหนือสุดตะเข็บชายแดนดินแดนขวานทองเพื่อไปพบกับธรรมชาติ...ในธรรมชาติ หลังจาก "โชคชะตากำหนด" ให้ถูกทาบทามไปเป็นช่างภาพและนักเขียน (จำเป็น) ให้บริษัทแห่งหนึ่งที่ไปทำโครงการ CSR ประจำปี ซึ่งเป็นปีที่ 13 แล้ว แต่เนื่องจากตัวจริงเขาติดธุระกะทันหัน เพื่อนเราเลยเสนอยื่นโอกาสมาให้ได้ไปทดลองทำอะไรใหม่ ๆ ก็ตามสูตร "เรานั้นลิขิตชีวิตตัวเอง" ลางาน 5 วันแบบเรื่องค่าตัวที่ได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
อาจเป็นเพราะชื่อของจังหวัดและสถานที่ ๆ จะไปนั้นมันตรงกับ "bucket list" ที่ตั้งใจอยากจะไปเยือนให้ได้สักครั้งอยู่แล้ว ทำให้การตัดสินใจไม่ยากมากนัก เอาหละครับถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าเป็นในโทรศัพท์ก็น่าจะเกินบรรทัดที่ 8 แล้ว หากคุณอ่านเกิน 8 บรรทัดแสดงว่าบรรทัดต่อไปคือ บรรทัดที่ เก้า งั้นเรามาเริ่มเดินทางไปพร้อม ๆ กันเลย...แล้วเราก็ได้พบกันสักทีนะ "แม่ฮ่องสอน"
เราเลือกมาถึงสถานที่รวมพลก่อนวันนัดหนึ่งวัน ทำให้มีเวลาว่างพอจะเดินทอดน่องชมบรรยากาศบริเวณรอบ ๆ พื้นที่อยู่บ้าง การเดินไปตามตรอกซอกซอยคนเดียวเงียบ ๆ ทำให้เราได้เพลิดเพลินกับการมองโน่นนี่ที่เป็นสถาปัตยกรรม วิถีชีวิตของบ้านในเมืองนั้น ๆ ยิ่งในยามเช้าบอกได้คำเดียวว่าที่นี่ slow life ไม่แพ้ที่ใดที่เคยไปมา กลิ่นของไม้ฟืนที่จุดหุ้งหาอาหารในตอนเช้าสำหรับบางครัวเรือน และความเย็นของอากาศที่แทรกเข้ามาในโพรงจมูกช่างเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย
แดดสาย ๆ ของวันแม้มันจะร้อนแบบแสบ ๆ แต่ความเย็นทำให้เราไม่เหนียวตัวแบบในเมืองกรุง เราเลือก google map นำทางและออกแรงจากสองเท้าที่จะพาเราไปพบกับความสงบ บางทีการได้อยู่กับตัวเองในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยมันสร้างพลังงานบางอย่างอย่างบอกไม่ถูก เหมือนได้จุดไฟทางความคิดไอเดียต่าง ๆ อย่างไม่รู้ตัว สถานที่วันนี้เราจะเดินไปเช็คอินก็จะมี พิพิธภัณฑ์แม่สะเรียง ด้านตรงข้ามกันคือ วัดจอมแจ้ง และเดินต่อไปตามถนนอีกประมาณ 2 กิโลกว่า ๆ เพื่อที่จะได้ไปไหว้พระพุทธรูปหลวงพ่อโต พระพุทธรัตนมิ่งมงคล แห่งวัดจอมทอง ความเหน็ดเหนื่อยเป็นเรื่องของร่างกาย ไม่ใช่หัวใจ...
i. วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า
ที่นี่ ๆ อำเภอแม่สะเรียงจังหวัดแม่ฮ่องสอน เช้าวันที่ลมเย็นหอบเอาอุณหภูมิประมาณ 18 องศามาปะทะผิวกาย เรากำลังจะเดินทางกับผู้คนแปลกหน้าแบบ 100 % คาราวานยานเหล็ก 4x4 เคลื่อนที่มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ในผืนป่าและขุนเขาที่ห่างไกลออกไปภายในนั้นยังมีอีกหลายชีวิตที่ดำรงชีพอยู่
ที่หมายของเราคือ ตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ชาวบ้านแถบนี้ส่วนมากเป็นชนเผ่าปกาเกอะญอ และไทใหญ่ อยู่ห่างจากตัวเมืองแม่สะเรียงประมาณ 98 กิโลเมตร และที่นั่นคือ "โรงเรียนบ้านเสาหิน จังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางสุดหฤโหดที่เราจะบุกป่าฝ่าดงไปยังจุดหมาย ตามถนนที่บางช่วงเป็นหน้าผาสูงชัน บ้างตอนต้องขับตัดลำธารและข้ามลำน้ำอีกกว่า 30 ลำห้วย รถคันหน้าพาเอาฝุ่นแดงส้มปลิวฟุ้งคลุ้งไปทั่วตลอดทาง “แม้ฝุ่นที่พรางตาแต่ไม่อาจกั้นเจตนาของหัวใจ” เส้นทางลาดชันของภูเขาที่เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงมาพร้อมกับโค้งที่เลี้ยวลดคดเคี้ยววกวนไปมาจนหัวโยกคอนไปตามทาง
ภารกิจหลักในครั้งนี้ของเรานั้นคือ การนำอุปกรณ์การเรียนและของใช้ที่เตรียมมาไปมอบยังศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านวาทูที่อยู่ถัดขึ้นไปจากเสาหินอีก 40 กว่ากิโลเมตร และทำการปรับปรุงสนามเด็กเล่น ทาสีอาคารเรียนใหม่ ที่โรงเรียนบ้านเสาหินแห่งนี้ นอกจากนั้นคือนำอาหารกลางวันไปเลี้ยงน้อง ๆ และชาวบ้าน และที่ขาดไม่ได้สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นจะมีกินไม่มีหมด คือความรู้เกี่ยวกับการเกษตรและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างง่าย ๆ ไปเผยแพร่
กิจกรรมในตอนเย็น มีการแจกสิ่งของที่ได้รวบรวมจากกำลังแบ่งปันของพี่น้องสมาชิกที่ร่วมระดมบริจาคทั้งเสื้อผ้า และของใช้อื่น ๆ ที่ยังสภาพดีมาให้เด็ก ๆ และชาวบ้านในย่านนี้ และอีกหนึ่งกิจกรรมคือการมอบทุนการศึกษาให้นักเรียนโรงเรียนบ้านเสาหิน และโรงเรียนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงที่เข้ามาร่วมกิจกรรมอีกด้วย
เราเตรียม อาหารทะเลสดใหม่ขึ้นมาเสิร์ฟให้เป็นมื้อเย็นสำหรับนักเรียน และชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้น และเมนูทีเด็ดไม่แพ้กันอย่างเมนูหม่าล่าย่างร้อน ๆ จากเตาที่ต่อแถวรอคิวกันยาวเยียดจนทีมงานย่างกันจนหน้าเป็นมัน หลังจากความชุลมุนเสร็จสิ้นด้วยความอิ่มหนำสำราญ สุขกายสบายใจทั้งผู้ให้และผู้รับเป็นที่เรียบร้อย กิจกรรมต่อไปเป็นไฮไลท์ของค่ำคืนนี้ น้อง ๆ นักเรียน จะตอบแทนพวกเราด้วยการแสดงประจำถิ่นรอบกองไฟ สร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากผู้ชม
เช้าวันใหม่ “งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา คงเหลือไว้เพียงเรื่องราวที่จะยังติดตึงตราอยู่ในความทรงจำ” คุณครูและเด็ก ๆ ร่วมตั้งแถวถ่ายรูปหมู่ร่วมกับพวกเราชาวคณะเป็นที่ระลึกและอยู่โบกมือลา ส่งพวกเราจนรถยนต์คันสุดท้ายได้ผ่านพ้นไป
ii. อุ้มผาง 1,219 โค้ง
"สิ่งที่กินมาเริ่มทำท่าจะจากไป 1,219 โค้งที่เป็นโค้งจริง ๆ" แม่สอดสู่อุ้มผางสถานที่ที่ถูกขนานนามว่า “
ดินแดนแห่งดอยลอยฟ้า” ปะตูด่านหน้าของ “
น้ำตกทีลอซู” หลังจากตัวโยกซ้ายทีขวาทีอยู่เป็นพัน ๆ โค้ง ก็ถึงที่พักด้วยท้องที่ปลอดโปร่งคอโล่งสบาย ประจวบเหมาะกับแต้มบุญเราก็ยังมีมากพออยู่เพราะวันที่เรามาถึง ช่วงนี้ที่นี่มีเทศกาล “งานแผ่นดินดอยลอยฟ้า อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก” ที่จะจัดขึ้นปีละครั้งพอดี งานก็จะมีลักษณะคล้ายๆ งานวัดที่มีของกินทั้งแบบทั่วไป และพื้นเมือง มาออกร้านเป็นแถวยาวตลอดแนวถนนตั้งแต่ช่วงเย็น พอช่วงหัวค่ำหน่อยก็จะมีเวทีการแสดงร้องเพลงของคนพื้นเมืองและการประกวดนางงามแบบต่าง ๆ ตลอดงานมีแสงสีเสียงครบครันกันเลยทีเดียว
iii. ทีลอซู
โปรแกรมสำคัญ หลังจากเลือก size ชูชีพที่ถูกใจ รถกระบะก็พาเราไปยังจุดที่จะเริ่มต้นการเดินทางทางน้ำ แพยางถูกปล่อยจากต้นน้ำเคลื่อนที่ไปตามกระแสน้ำไหลที่เชียวบ้าง เบาบ้าง เข้าป่าบ้างตามแต่พี่คนคัดท้าย สองข้างทางเป็นภูเขาและป่าไม้สูงใหญ่ หนึ่งในจุดไฮไลท์ของการล่องแพครั้งนี้คือการไปถ่ายรูปคู่กับนางเอกของงาน “น้ำตกสายรุ้ง” ละอองน้ำที่ตกลงมาจากภูเขากระทบกับแสงอาทิตย์เกิดการหักเหเป็นรุ้งกินน้ำ 2 สายในม่านน้ำตกสวยงามมาก ๆ
ระหว่างทางมีจุดพักแวะจิบน้ำขิง แช่บ่อน้ำร้อน (เขาว่าอุณหภูมิประมาณ 40 องศาเลยทีเดียว) และสามารถรองท้องกินพวกหมูย่าง ไก่ย่าง ไข่ปิ้งที่ชาวบ้านมีจำหน่ายในราคาไม่แพงได้อีกด้วย การล่องแพใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงนานพอที่เราสามารถดื่มด่ำกับธรรมชาติสองข้างทาง เสียงสายน้ำไหลชโลมจิตใจ เสียงหัวเราะสนุกสนานหยอกล้อคอยแซวกันเมื่อแพยางของกลุ่มสมาชิกพายมาพบกันระหว่างทาง เราว่าเราก็เข้ากับคนอื่นได้ง่ายเหมือนกันนะ
หลังจากแพยางพาเรามาขึ้นที่ฝั่งบริเวณ หน่วยพิทักษ์ป่าผาเลือด เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เราจะต้องเดินทางต่อด้วยรถยนต์แบบขับเคลื่อน 4 ล้อต่อไปอีกเกือบ 30 นาทีเพื่อไปยังที่หมายสำคัญ เพื่อพบกับพระเอกของเรา “น้ำตกทีลอซู” น้ำตกที่ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในประเทศไทย สวยเป็นอันดับที่ 2 ของภูมิภาคเอเชีย และติดอันดับ 1 ใน 6 ของโลก เป็นยังไงหละครับดูยิ่งใหญ่อลังการไหมหละ
รถจอดส่งเราที่ทางเข้าน้ำตกทีลอซูแล้ว แต่ก็ยังต้องเดินเท้าไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติต่ออีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร พื้นทางเดินปูด้วยแผ่นปูนจึงเดินง่ายสะดวกสบาย ตลอดสองข้างทางมีพันธุ์ไม้นานาพรรณสูงชะลูดอยู่ทำให้อากาศเย็นสบายร่มรื่น ระยะทางยิ่งเข้าใกล้เสียงน้ำตกยิ่งดังชัดเร่งเล้าปลุกใจขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อถึงจุดหมายปลายทางของเรา "ภาพเบื้องหน้าช่างสมกับคำลำลือจริง ๆ" ความยิ่งใหญ่สวยงามสุดตระการตาคุ้มค่ากับการได้มาเห็นด้วยตาของเราเอง น้ำตกที่มีจำนวน 5 ชั้น เราสามารถไปเล่นได้บริเวณชั้น 2 น้ำที่เย็นจับใจ เหมือนอยากจะหยุดความรู้สึกห้วงเวลานี้ไว้แล้วไม่ต้องกลับไปทำงาน...
[CR] เฮือนถิ่นแม่ฮ่องสอน ชมน้ำตกทีลอซู ดูพระอาทิตย์อย่างไร้คู่ที่ดอยหัวหมด จังหวัดตาก
เข้าสู่ EP. 5 ของการเดินทางกระทู้สุดท้ายใน seires "ย้อนอดีตไปกับ hard disk ลูกเก่า" นี้แล้ว เราจะพาทุกท่านขึ้นจากใต้สุดไปยังภาคเหนือสุดตะเข็บชายแดนดินแดนขวานทองเพื่อไปพบกับธรรมชาติ...ในธรรมชาติ หลังจาก "โชคชะตากำหนด" ให้ถูกทาบทามไปเป็นช่างภาพและนักเขียน (จำเป็น) ให้บริษัทแห่งหนึ่งที่ไปทำโครงการ CSR ประจำปี ซึ่งเป็นปีที่ 13 แล้ว แต่เนื่องจากตัวจริงเขาติดธุระกะทันหัน เพื่อนเราเลยเสนอยื่นโอกาสมาให้ได้ไปทดลองทำอะไรใหม่ ๆ ก็ตามสูตร "เรานั้นลิขิตชีวิตตัวเอง" ลางาน 5 วันแบบเรื่องค่าตัวที่ได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
อาจเป็นเพราะชื่อของจังหวัดและสถานที่ ๆ จะไปนั้นมันตรงกับ "bucket list" ที่ตั้งใจอยากจะไปเยือนให้ได้สักครั้งอยู่แล้ว ทำให้การตัดสินใจไม่ยากมากนัก เอาหละครับถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าเป็นในโทรศัพท์ก็น่าจะเกินบรรทัดที่ 8 แล้ว หากคุณอ่านเกิน 8 บรรทัดแสดงว่าบรรทัดต่อไปคือ บรรทัดที่ เก้า งั้นเรามาเริ่มเดินทางไปพร้อม ๆ กันเลย...แล้วเราก็ได้พบกันสักทีนะ "แม่ฮ่องสอน"
ที่นี่ ๆ อำเภอแม่สะเรียงจังหวัดแม่ฮ่องสอน เช้าวันที่ลมเย็นหอบเอาอุณหภูมิประมาณ 18 องศามาปะทะผิวกาย เรากำลังจะเดินทางกับผู้คนแปลกหน้าแบบ 100 % คาราวานยานเหล็ก 4x4 เคลื่อนที่มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ในผืนป่าและขุนเขาที่ห่างไกลออกไปภายในนั้นยังมีอีกหลายชีวิตที่ดำรงชีพอยู่
ที่หมายของเราคือ ตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ชาวบ้านแถบนี้ส่วนมากเป็นชนเผ่าปกาเกอะญอ และไทใหญ่ อยู่ห่างจากตัวเมืองแม่สะเรียงประมาณ 98 กิโลเมตร และที่นั่นคือ "โรงเรียนบ้านเสาหิน จังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางสุดหฤโหดที่เราจะบุกป่าฝ่าดงไปยังจุดหมาย ตามถนนที่บางช่วงเป็นหน้าผาสูงชัน บ้างตอนต้องขับตัดลำธารและข้ามลำน้ำอีกกว่า 30 ลำห้วย รถคันหน้าพาเอาฝุ่นแดงส้มปลิวฟุ้งคลุ้งไปทั่วตลอดทาง “แม้ฝุ่นที่พรางตาแต่ไม่อาจกั้นเจตนาของหัวใจ” เส้นทางลาดชันของภูเขาที่เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงมาพร้อมกับโค้งที่เลี้ยวลดคดเคี้ยววกวนไปมาจนหัวโยกคอนไปตามทาง
ภารกิจหลักในครั้งนี้ของเรานั้นคือ การนำอุปกรณ์การเรียนและของใช้ที่เตรียมมาไปมอบยังศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านวาทูที่อยู่ถัดขึ้นไปจากเสาหินอีก 40 กว่ากิโลเมตร และทำการปรับปรุงสนามเด็กเล่น ทาสีอาคารเรียนใหม่ ที่โรงเรียนบ้านเสาหินแห่งนี้ นอกจากนั้นคือนำอาหารกลางวันไปเลี้ยงน้อง ๆ และชาวบ้าน และที่ขาดไม่ได้สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นจะมีกินไม่มีหมด คือความรู้เกี่ยวกับการเกษตรและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างง่าย ๆ ไปเผยแพร่
กิจกรรมในตอนเย็น มีการแจกสิ่งของที่ได้รวบรวมจากกำลังแบ่งปันของพี่น้องสมาชิกที่ร่วมระดมบริจาคทั้งเสื้อผ้า และของใช้อื่น ๆ ที่ยังสภาพดีมาให้เด็ก ๆ และชาวบ้านในย่านนี้ และอีกหนึ่งกิจกรรมคือการมอบทุนการศึกษาให้นักเรียนโรงเรียนบ้านเสาหิน และโรงเรียนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงที่เข้ามาร่วมกิจกรรมอีกด้วย
เราเตรียม อาหารทะเลสดใหม่ขึ้นมาเสิร์ฟให้เป็นมื้อเย็นสำหรับนักเรียน และชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้น และเมนูทีเด็ดไม่แพ้กันอย่างเมนูหม่าล่าย่างร้อน ๆ จากเตาที่ต่อแถวรอคิวกันยาวเยียดจนทีมงานย่างกันจนหน้าเป็นมัน หลังจากความชุลมุนเสร็จสิ้นด้วยความอิ่มหนำสำราญ สุขกายสบายใจทั้งผู้ให้และผู้รับเป็นที่เรียบร้อย กิจกรรมต่อไปเป็นไฮไลท์ของค่ำคืนนี้ น้อง ๆ นักเรียน จะตอบแทนพวกเราด้วยการแสดงประจำถิ่นรอบกองไฟ สร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากผู้ชม
เช้าวันใหม่ “งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา คงเหลือไว้เพียงเรื่องราวที่จะยังติดตึงตราอยู่ในความทรงจำ” คุณครูและเด็ก ๆ ร่วมตั้งแถวถ่ายรูปหมู่ร่วมกับพวกเราชาวคณะเป็นที่ระลึกและอยู่โบกมือลา ส่งพวกเราจนรถยนต์คันสุดท้ายได้ผ่านพ้นไป
ii. อุ้มผาง 1,219 โค้ง
"สิ่งที่กินมาเริ่มทำท่าจะจากไป 1,219 โค้งที่เป็นโค้งจริง ๆ" แม่สอดสู่อุ้มผางสถานที่ที่ถูกขนานนามว่า “ดินแดนแห่งดอยลอยฟ้า” ปะตูด่านหน้าของ “น้ำตกทีลอซู” หลังจากตัวโยกซ้ายทีขวาทีอยู่เป็นพัน ๆ โค้ง ก็ถึงที่พักด้วยท้องที่ปลอดโปร่งคอโล่งสบาย ประจวบเหมาะกับแต้มบุญเราก็ยังมีมากพออยู่เพราะวันที่เรามาถึง ช่วงนี้ที่นี่มีเทศกาล “งานแผ่นดินดอยลอยฟ้า อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก” ที่จะจัดขึ้นปีละครั้งพอดี งานก็จะมีลักษณะคล้ายๆ งานวัดที่มีของกินทั้งแบบทั่วไป และพื้นเมือง มาออกร้านเป็นแถวยาวตลอดแนวถนนตั้งแต่ช่วงเย็น พอช่วงหัวค่ำหน่อยก็จะมีเวทีการแสดงร้องเพลงของคนพื้นเมืองและการประกวดนางงามแบบต่าง ๆ ตลอดงานมีแสงสีเสียงครบครันกันเลยทีเดียว
ระหว่างทางมีจุดพักแวะจิบน้ำขิง แช่บ่อน้ำร้อน (เขาว่าอุณหภูมิประมาณ 40 องศาเลยทีเดียว) และสามารถรองท้องกินพวกหมูย่าง ไก่ย่าง ไข่ปิ้งที่ชาวบ้านมีจำหน่ายในราคาไม่แพงได้อีกด้วย การล่องแพใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงนานพอที่เราสามารถดื่มด่ำกับธรรมชาติสองข้างทาง เสียงสายน้ำไหลชโลมจิตใจ เสียงหัวเราะสนุกสนานหยอกล้อคอยแซวกันเมื่อแพยางของกลุ่มสมาชิกพายมาพบกันระหว่างทาง เราว่าเราก็เข้ากับคนอื่นได้ง่ายเหมือนกันนะ
หลังจากแพยางพาเรามาขึ้นที่ฝั่งบริเวณ หน่วยพิทักษ์ป่าผาเลือด เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เราจะต้องเดินทางต่อด้วยรถยนต์แบบขับเคลื่อน 4 ล้อต่อไปอีกเกือบ 30 นาทีเพื่อไปยังที่หมายสำคัญ เพื่อพบกับพระเอกของเรา “น้ำตกทีลอซู” น้ำตกที่ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในประเทศไทย สวยเป็นอันดับที่ 2 ของภูมิภาคเอเชีย และติดอันดับ 1 ใน 6 ของโลก เป็นยังไงหละครับดูยิ่งใหญ่อลังการไหมหละ
รถจอดส่งเราที่ทางเข้าน้ำตกทีลอซูแล้ว แต่ก็ยังต้องเดินเท้าไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติต่ออีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร พื้นทางเดินปูด้วยแผ่นปูนจึงเดินง่ายสะดวกสบาย ตลอดสองข้างทางมีพันธุ์ไม้นานาพรรณสูงชะลูดอยู่ทำให้อากาศเย็นสบายร่มรื่น ระยะทางยิ่งเข้าใกล้เสียงน้ำตกยิ่งดังชัดเร่งเล้าปลุกใจขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อถึงจุดหมายปลายทางของเรา "ภาพเบื้องหน้าช่างสมกับคำลำลือจริง ๆ" ความยิ่งใหญ่สวยงามสุดตระการตาคุ้มค่ากับการได้มาเห็นด้วยตาของเราเอง น้ำตกที่มีจำนวน 5 ชั้น เราสามารถไปเล่นได้บริเวณชั้น 2 น้ำที่เย็นจับใจ เหมือนอยากจะหยุดความรู้สึกห้วงเวลานี้ไว้แล้วไม่ต้องกลับไปทำงาน...
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้