แต่งกับสามีมา 2 ปี มีลูกด้วยกัน 1 คน ปรึกษาเรื่องลูกว่าจะมีอีกคนดีไหม ห่างกันกี่ปีดี จะให้ลูกเรียนที่ไหน ไม่เคยได้คำตอบเลยค่ะ เขาจะตอบแค่แล้วแต่แม่เลย เป็นที่ปรึกษาไม่เคยได้ เราคิดเองไปดูโรงเรียนเอง ตัดสินใจเองหมด
สามีชอบขอซื้ออันนั้นอันนี้ที่เรามองว่าไม่มีประโยชน์ เช่น ลำโพงบลูทูธ ของแต่งรถ เคยบอกแล้วว่า เรามีลูกแล้วนะ ค่าใช้จ่ายมันเพิ่มขึ้น เก็บเงินบ้าง แต่เขาก็ยังรบเร้าอยากซื้อนั่นนี่ บางทีเขาก็พยายามเก็บเงินซื้อเอง แต่เราก็อยากให้เขาเก็บเงินไว้ให้ลูกบ้าง ตอนนี้กลายเป็นเราคนเดียวที่เตรียมเงิน เก็บเงินไว้ให้ลูก
(ไม่ได้รวมกระเป๋าเงินกันนะคะ ของใครของมัน เพราะสามีรายได้น้อยกว่า แค่ลำพังค่าใช้จ่ายส่วนตัวแต่ละเดือนของเขาก็จะไม่พอแล้วเราเลยไม่เอาเงินของเขามารวมค่ะ เขาก็จะมาขอเงินจากเราบ้างเวลาเงินไม่พอ)
เวลาสามีไปสังสรรค์กับเพื่อน ก็ชอบทำให้เราเป็นห่วง ชอบดื่มแล้วขับ เราห้ามเราพูดจนปากแฉะ ไปต่อไม่เคยบอก ไม่เคยกลับตรงเวลา คนคอยเหนื่อยใจจะรอแล้วค่ะ
มองหน้าลูกแล้วก็ได้แต่คิดว่า ที่จริงไม่มีพ่อ แม่ก็ดูแลหนูได้ อาจจะสบายใจกว่าด้วยซ้ำ สามีไม่เคยรู้และไม่เคยถามเลยว่าค่าใช้จ่ายของลูกมีอะไรบ้างเท่าไหร่ เหมือนเราเป็นหัวหน้าครอบครัว ที่มีลูกชายคนโต(สามี)กับลูกสาวคนเล็ก
ถ้าสามีเราทำตัวเหมือนเป็นลูกอีกคน เราควรหย่าดีไหม
สามีชอบขอซื้ออันนั้นอันนี้ที่เรามองว่าไม่มีประโยชน์ เช่น ลำโพงบลูทูธ ของแต่งรถ เคยบอกแล้วว่า เรามีลูกแล้วนะ ค่าใช้จ่ายมันเพิ่มขึ้น เก็บเงินบ้าง แต่เขาก็ยังรบเร้าอยากซื้อนั่นนี่ บางทีเขาก็พยายามเก็บเงินซื้อเอง แต่เราก็อยากให้เขาเก็บเงินไว้ให้ลูกบ้าง ตอนนี้กลายเป็นเราคนเดียวที่เตรียมเงิน เก็บเงินไว้ให้ลูก
(ไม่ได้รวมกระเป๋าเงินกันนะคะ ของใครของมัน เพราะสามีรายได้น้อยกว่า แค่ลำพังค่าใช้จ่ายส่วนตัวแต่ละเดือนของเขาก็จะไม่พอแล้วเราเลยไม่เอาเงินของเขามารวมค่ะ เขาก็จะมาขอเงินจากเราบ้างเวลาเงินไม่พอ)
เวลาสามีไปสังสรรค์กับเพื่อน ก็ชอบทำให้เราเป็นห่วง ชอบดื่มแล้วขับ เราห้ามเราพูดจนปากแฉะ ไปต่อไม่เคยบอก ไม่เคยกลับตรงเวลา คนคอยเหนื่อยใจจะรอแล้วค่ะ
มองหน้าลูกแล้วก็ได้แต่คิดว่า ที่จริงไม่มีพ่อ แม่ก็ดูแลหนูได้ อาจจะสบายใจกว่าด้วยซ้ำ สามีไม่เคยรู้และไม่เคยถามเลยว่าค่าใช้จ่ายของลูกมีอะไรบ้างเท่าไหร่ เหมือนเราเป็นหัวหน้าครอบครัว ที่มีลูกชายคนโต(สามี)กับลูกสาวคนเล็ก