คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
แก้เขาไม่ได้ คุณบอกปากเปียกปากแฉะยังไง ถ้าเขาไม่มี "ทัศนคติ" ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริหารการเงิน เขาจะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลย สุดท้ายจะเป็นคุณเองที่เหนื่อย และถ้าคุณจะเข้าไปจัดการให้ มันก็จะอิหรอบเดิมคือ "ทัศนคติ" เกี่ยวกับการเงินเขามันไม่ถูกต้อง และเขาก็จะทำพลาดไปเรื่อยๆ ให้คุณมาคอยตามแก้อยู่ดี จากประสบการณ์คนรอบตัวคือเห็นมาเยอะมากอิแบบนี้ เราว่าคุณเองก็กำลังเดินตามอยู่นะ...
สิ่งที่คุณทำได้ มีสองทางคือ อยู่ห่างๆ แล้วปล่อยเขาแก้ปัญหาไป แต่ก็นั่นแหล่ะ อนาคตคุณกับเขามันจะมองแทบไม่เห็น ถามตัวเองได้เลยทุกวันนี้คุณก็มองไม่เห็นใช่หรือไม่ และไม่รู้เมื่อไหร่จะเห็นด้วย กับอีกทางคือ อุ้มไปให้สุดตัว จนกว่าเขาจะสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเงินได้ ซึ่งไม่รู้ว่าคุณจะเหนื่อยจนท้อไปก่อน หรือเขาจะเข้าใจ อันนี้ก้ค่อดวัดดวงสุดๆ
แต่ถ้าจากที่คุณเล่ามานี่ ส่วนตัวเราไม่ไปต่อนะ เหตุผลคือ รายได้แค่ 14k ยังใช้เงินไม่รู้จักประหยัดอีก พวกนี้พื้นฐานการออมคือไม่มี เพราะการออมคือเบสิคสุดของเรื่องการบริหารการเงินแล้ว ใครไม่มีความตระหนักตรงนี้ เราไม่เอาแน่นอน
ส่วนตัวมีความเชื่อนี้นะคือ คนรักมันควรทัศนคติเรื่องเงินใกล้เคียงกัน มันถึงจะสร้างไปด้วยกันได้ ไม่งั้นคือคนมีเงินมากกว่าคือ เดอะแบก แบกคนรักอย่างเดียวไม่พอ ต้องไปแบกครอบครัวเขาด้วย ซึ่งไม่รู้จะหาเรื่องใส่ตัวไปทำไม
แต่ก็แล้วแต่ จขกท แหล่ะ บางทีความรักมันก็บังตา เรื่องเงินมันก็กลายเป็นเรื่องรอง จนวันนึงมันเริ่มกินเงินของเราไปเรื่อยๆนี่แหล่ะ วันนั้นถึงจะเข้าใจสัจธรรมโลกใบนี้ได้เอง.... ว่านอกจากจะเสียเงินแล้วยังเสียเวลาอีกด้วย...
แนะนำได้เท่านี้ค่ะ
สิ่งที่คุณทำได้ มีสองทางคือ อยู่ห่างๆ แล้วปล่อยเขาแก้ปัญหาไป แต่ก็นั่นแหล่ะ อนาคตคุณกับเขามันจะมองแทบไม่เห็น ถามตัวเองได้เลยทุกวันนี้คุณก็มองไม่เห็นใช่หรือไม่ และไม่รู้เมื่อไหร่จะเห็นด้วย กับอีกทางคือ อุ้มไปให้สุดตัว จนกว่าเขาจะสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเงินได้ ซึ่งไม่รู้ว่าคุณจะเหนื่อยจนท้อไปก่อน หรือเขาจะเข้าใจ อันนี้ก้ค่อดวัดดวงสุดๆ
แต่ถ้าจากที่คุณเล่ามานี่ ส่วนตัวเราไม่ไปต่อนะ เหตุผลคือ รายได้แค่ 14k ยังใช้เงินไม่รู้จักประหยัดอีก พวกนี้พื้นฐานการออมคือไม่มี เพราะการออมคือเบสิคสุดของเรื่องการบริหารการเงินแล้ว ใครไม่มีความตระหนักตรงนี้ เราไม่เอาแน่นอน
ส่วนตัวมีความเชื่อนี้นะคือ คนรักมันควรทัศนคติเรื่องเงินใกล้เคียงกัน มันถึงจะสร้างไปด้วยกันได้ ไม่งั้นคือคนมีเงินมากกว่าคือ เดอะแบก แบกคนรักอย่างเดียวไม่พอ ต้องไปแบกครอบครัวเขาด้วย ซึ่งไม่รู้จะหาเรื่องใส่ตัวไปทำไม
แต่ก็แล้วแต่ จขกท แหล่ะ บางทีความรักมันก็บังตา เรื่องเงินมันก็กลายเป็นเรื่องรอง จนวันนึงมันเริ่มกินเงินของเราไปเรื่อยๆนี่แหล่ะ วันนั้นถึงจะเข้าใจสัจธรรมโลกใบนี้ได้เอง.... ว่านอกจากจะเสียเงินแล้วยังเสียเวลาอีกด้วย...
แนะนำได้เท่านี้ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
หากวินัยทางการเงินของแฟนยังไม่ดีในสายตาเรา เราควรเข้าไปก้าวก่ายหรือไม่ครับ?
ทุกวันนี้ส่วนตัวไม่มีปัญหาด้านการเงิน มีเงินเก็บ มีสภาพคล่องพอสำหรับ 2 คน แต่ส่วนตัวรู้สึกว่า money literacy ของแฟนควรได้รับการแก้ไขอย่างรุนแรงครับ เนื่องจากเขาเป็นคนติดใช้เงินซื้อของ บางครั้งเราก็มองว่าเป็นสิ่งที่เข้าใจได้เช่นเครื่องสำอาง แต่ก็มีนิสัยติดเทรนด์ครับ อยากได้ตามกระแสบ้าง สอนให้พิจารณาว่าสิ่งไหนคือ need สิ่งไหนคือ want ก็ทำได้ดีพอสมควร บางอย่างก็รอเป็นเดือน ๆ ถ้ายังอยากได้จึงจะซื้อ ข้อนี้ผ่านครับ แต่อยากให้มีวินัยการเงินมากกว่านี้ เช่นเก็บเดือนละ 10% ก่อนใช้ หรือ minimum ที่ 1,000 บาท แล้วไม่ยุ่งกับเงินส่วนนั้นอีกเลย เราซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายด้านอาหาร ทำกับข้าวทานเองบ้าง ซื้อบ้างในวันที่เราขี้เกียจทำ ค่าเช่าบ้านก็จ่ายให้ จริง ๆ เคยคุยเรื่องหารกันแล้วแต่เขาจะขาดสภาพคล่องครับ เราเลยมองผ่านไปเพราะก่อนหน้านี้อยู่คนละที่เราก็จ่ายเต็มได้สบาย ที่เหลือไม่ยุ่งครับ ให้จัดการเอาเอง แต่แฟนเป็นคนไม่วางแผน แผนการเงินส่วนบุคคลเราต้องเป็นคนทำให้ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำตามได้หรือไม่ ทำได้แค่เป็นไกด์ให้เฉย ๆ แต่ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะมีความสนใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินเลย เปิด The money coach ให้ฟังคลอ ๆ เวลาทานข้าวก็ไม่ฟังไม่สนใจ หาซื้อหนังสืออ่านง่าย ๆ มาอ่านก็ไม่อ่าน (มีแต่เราคนเดียวที่อ่าน) แม้แต่วางแผนชีวิตว่าอีก 5 ปีข้างหน้าเห็นตัวเองอยู่ในจุดไหนยังตอบไม่ได้ แม้แต่เรื่องอื่นเช่นการออกกำลังกายหรือให้เราสอนภาษาให้ ก็ทำได้แค่วันเดียว ไม่รู้จะบังคับยังไงเพราะกว่าเขาจะเลิกงานก็ค่ำ โซนที่พักอาศัยค่อนข้างเปลี่ยวครับ อีกอย่างคือยังรู้สึกว่ามีการใช้เงินที่เรามองว่ามันไม่จำเป็นอยู่ เช่นในช่วงนี้คนกลับมาฮิตชาเขียวแบบชง ก็ซื้อมาทำทุกวันครับ ตกแก้วละประมาณ 20 บาท ส่วนตัวรู้สึกว่าราคาไม่ได้แรง แต่สิ้นเปลืองเพราะเวลาซื้อทีจ่ายเงินเป็นก้อนใหญ่ครับ กลับกันเราไม่ชอบการชอปปิ้งมากเพราะมองว่าสิ้นเปลือง (ทุกอย่างที่ขึ้นต้นว่าการชอปปิ้ง เรารู้สึกว่าได้ยินแล้วจะตั้งแง่ขึ้นมาก่อนทันที) ไม่ชอบเดินห้างเดินตลาดเพราะเป็นคนเดินไว ไม่ชอบคนเยอะ เวลาเจอคนเดินเรียงแถวช้า ๆ แล้วอึดอัด หงุดหงิดครับ นี่คือสิ่งที่เราต่างกัน
ปัจจุบันนี้เรากำลังเจรจากับบริษัทเจ้าหนี้ให้อยู่ครับ เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมโดยไม่กระทบสภาพคล่องของเขา เพราะเขาไม่กล้าคุยเอง แทบจะสนิทกับเจ้าหน้าที่แล้ว ทราบเพียงแต่ว่าเขาก็เครียดเรื่องหนี้เหมือนกัน เราอยากให้เขาปิดหนี้ก่อนที่ก้อนใหม่ก็คือ กยศ. จะตามมา ไม่ให้สร้างหนี้เพิ่ม แต่บางครั้งก็มีไปยืมคนอื่นมาทำนู่นนี่ เช่นจัดงานวันเกิดให้เรา ซึ่งก็รู้สึกว่ามันไม่จำเป็นครับ แค่ทานข้าวด้วยกันก็โอเคแล้ว ทำไมต้องไปสร้างหนี้มาให้ตัวเองเพิ่มอีก แต่ไม่มีแพลนจะเอาเงินตัวเองไปใช้หนี้ให้แฟนนะครับ ให้รับผิดชอบตัวเอง แต่มองว่าถ้าเขาไม่รีบแก้ไข มันจะกลายมาเป็นลูกโซ่หาเราต่อไปในอนาคตครับ
ควรแก้ที่ทัศนคติของเรา แล้วปล่อยเขาบริหารเอง หรือควรแก้เขาครับ ถ้าจะแก้เขา เราทำยังไงได้บ้าง ขอบคุณครับ