หากวินัยทางการเงินของแฟนยังไม่ดีในสายตาเรา เราควรเข้าไปก้าวก่ายหรือไม่ครับ?

สวัสดีครับ ปัจจุบันอายุ 23 ปี เพิ่งเรียนจบและทำงานกันทั้งคู่ครับ เงินเดือนเราประมาณ 30-50k แล้วแต่จำนวน case และกำลังหางานเสริมมาเพิ่มสภาพคล่องและเงิบเก็บเรื่อย ๆ ไม่มีภาระใด ๆ และตั้งใจจะไม่สร้างภาระหนี้นอกจากหนี้ดี (เช่น OPM; Other people's money) ฐานะทางบ้านค่อนข้างดี (ธนาคาร+ครู+สอนพิเศษ+อสังหาฯ) วางแผนเกษียณเรียบร้อยครับ ในขณะที่แฟนเงินเดือน 14k ไม่รวม OT ทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ เท่าที่ทราบคือทางบ้านมีแม่หาเงินคนเดียวเป็นแม่บ้าน มีภาระหนี้ 2k ต่อเดือน (ค่ารถ) และมีหนี้เสีย 100k ที่ถูกขายให้บริษัทจัดการสินทรัพย์เรียบร้อยแล้วครับ

ทุกวันนี้ส่วนตัวไม่มีปัญหาด้านการเงิน มีเงินเก็บ มีสภาพคล่องพอสำหรับ 2 คน แต่ส่วนตัวรู้สึกว่า money literacy ของแฟนควรได้รับการแก้ไขอย่างรุนแรงครับ เนื่องจากเขาเป็นคนติดใช้เงินซื้อของ บางครั้งเราก็มองว่าเป็นสิ่งที่เข้าใจได้เช่นเครื่องสำอาง แต่ก็มีนิสัยติดเทรนด์ครับ อยากได้ตามกระแสบ้าง สอนให้พิจารณาว่าสิ่งไหนคือ need สิ่งไหนคือ want ก็ทำได้ดีพอสมควร บางอย่างก็รอเป็นเดือน ๆ ถ้ายังอยากได้จึงจะซื้อ ข้อนี้ผ่านครับ แต่อยากให้มีวินัยการเงินมากกว่านี้ เช่นเก็บเดือนละ 10% ก่อนใช้ หรือ minimum ที่ 1,000 บาท แล้วไม่ยุ่งกับเงินส่วนนั้นอีกเลย เราซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายด้านอาหาร ทำกับข้าวทานเองบ้าง ซื้อบ้างในวันที่เราขี้เกียจทำ ค่าเช่าบ้านก็จ่ายให้ จริง ๆ เคยคุยเรื่องหารกันแล้วแต่เขาจะขาดสภาพคล่องครับ เราเลยมองผ่านไปเพราะก่อนหน้านี้อยู่คนละที่เราก็จ่ายเต็มได้สบาย ที่เหลือไม่ยุ่งครับ ให้จัดการเอาเอง แต่แฟนเป็นคนไม่วางแผน แผนการเงินส่วนบุคคลเราต้องเป็นคนทำให้ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำตามได้หรือไม่ ทำได้แค่เป็นไกด์ให้เฉย ๆ แต่ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะมีความสนใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินเลย เปิด The money coach ให้ฟังคลอ ๆ เวลาทานข้าวก็ไม่ฟังไม่สนใจ หาซื้อหนังสืออ่านง่าย ๆ มาอ่านก็ไม่อ่าน (มีแต่เราคนเดียวที่อ่าน) แม้แต่วางแผนชีวิตว่าอีก 5 ปีข้างหน้าเห็นตัวเองอยู่ในจุดไหนยังตอบไม่ได้ แม้แต่เรื่องอื่นเช่นการออกกำลังกายหรือให้เราสอนภาษาให้ ก็ทำได้แค่วันเดียว ไม่รู้จะบังคับยังไงเพราะกว่าเขาจะเลิกงานก็ค่ำ โซนที่พักอาศัยค่อนข้างเปลี่ยวครับ อีกอย่างคือยังรู้สึกว่ามีการใช้เงินที่เรามองว่ามันไม่จำเป็นอยู่ เช่นในช่วงนี้คนกลับมาฮิตชาเขียวแบบชง ก็ซื้อมาทำทุกวันครับ ตกแก้วละประมาณ 20 บาท ส่วนตัวรู้สึกว่าราคาไม่ได้แรง แต่สิ้นเปลืองเพราะเวลาซื้อทีจ่ายเงินเป็นก้อนใหญ่ครับ กลับกันเราไม่ชอบการชอปปิ้งมากเพราะมองว่าสิ้นเปลือง (ทุกอย่างที่ขึ้นต้นว่าการชอปปิ้ง เรารู้สึกว่าได้ยินแล้วจะตั้งแง่ขึ้นมาก่อนทันที) ไม่ชอบเดินห้างเดินตลาดเพราะเป็นคนเดินไว ไม่ชอบคนเยอะ เวลาเจอคนเดินเรียงแถวช้า ๆ แล้วอึดอัด หงุดหงิดครับ นี่คือสิ่งที่เราต่างกัน

ปัจจุบันนี้เรากำลังเจรจากับบริษัทเจ้าหนี้ให้อยู่ครับ เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมโดยไม่กระทบสภาพคล่องของเขา เพราะเขาไม่กล้าคุยเอง แทบจะสนิทกับเจ้าหน้าที่แล้ว ทราบเพียงแต่ว่าเขาก็เครียดเรื่องหนี้เหมือนกัน เราอยากให้เขาปิดหนี้ก่อนที่ก้อนใหม่ก็คือ กยศ. จะตามมา ไม่ให้สร้างหนี้เพิ่ม แต่บางครั้งก็มีไปยืมคนอื่นมาทำนู่นนี่ เช่นจัดงานวันเกิดให้เรา ซึ่งก็รู้สึกว่ามันไม่จำเป็นครับ แค่ทานข้าวด้วยกันก็โอเคแล้ว ทำไมต้องไปสร้างหนี้มาให้ตัวเองเพิ่มอีก แต่ไม่มีแพลนจะเอาเงินตัวเองไปใช้หนี้ให้แฟนนะครับ ให้รับผิดชอบตัวเอง แต่มองว่าถ้าเขาไม่รีบแก้ไข มันจะกลายมาเป็นลูกโซ่หาเราต่อไปในอนาคตครับ

ควรแก้ที่ทัศนคติของเรา แล้วปล่อยเขาบริหารเอง หรือควรแก้เขาครับ ถ้าจะแก้เขา เราทำยังไงได้บ้าง ขอบคุณครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
แก้เขาไม่ได้  คุณบอกปากเปียกปากแฉะยังไง ถ้าเขาไม่มี "ทัศนคติ" ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริหารการเงิน เขาจะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลย สุดท้ายจะเป็นคุณเองที่เหนื่อย และถ้าคุณจะเข้าไปจัดการให้ มันก็จะอิหรอบเดิมคือ "ทัศนคติ" เกี่ยวกับการเงินเขามันไม่ถูกต้อง และเขาก็จะทำพลาดไปเรื่อยๆ ให้คุณมาคอยตามแก้อยู่ดี  จากประสบการณ์คนรอบตัวคือเห็นมาเยอะมากอิแบบนี้  เราว่าคุณเองก็กำลังเดินตามอยู่นะ...

สิ่งที่คุณทำได้ มีสองทางคือ อยู่ห่างๆ แล้วปล่อยเขาแก้ปัญหาไป แต่ก็นั่นแหล่ะ อนาคตคุณกับเขามันจะมองแทบไม่เห็น ถามตัวเองได้เลยทุกวันนี้คุณก็มองไม่เห็นใช่หรือไม่ และไม่รู้เมื่อไหร่จะเห็นด้วย  กับอีกทางคือ อุ้มไปให้สุดตัว จนกว่าเขาจะสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเงินได้ ซึ่งไม่รู้ว่าคุณจะเหนื่อยจนท้อไปก่อน หรือเขาจะเข้าใจ  อันนี้ก้ค่อดวัดดวงสุดๆ  

แต่ถ้าจากที่คุณเล่ามานี่ ส่วนตัวเราไม่ไปต่อนะ เหตุผลคือ รายได้แค่ 14k ยังใช้เงินไม่รู้จักประหยัดอีก  พวกนี้พื้นฐานการออมคือไม่มี เพราะการออมคือเบสิคสุดของเรื่องการบริหารการเงินแล้ว ใครไม่มีความตระหนักตรงนี้ เราไม่เอาแน่นอน  

ส่วนตัวมีความเชื่อนี้นะคือ คนรักมันควรทัศนคติเรื่องเงินใกล้เคียงกัน มันถึงจะสร้างไปด้วยกันได้ ไม่งั้นคือคนมีเงินมากกว่าคือ เดอะแบก แบกคนรักอย่างเดียวไม่พอ ต้องไปแบกครอบครัวเขาด้วย ซึ่งไม่รู้จะหาเรื่องใส่ตัวไปทำไม

แต่ก็แล้วแต่ จขกท แหล่ะ บางทีความรักมันก็บังตา เรื่องเงินมันก็กลายเป็นเรื่องรอง จนวันนึงมันเริ่มกินเงินของเราไปเรื่อยๆนี่แหล่ะ วันนั้นถึงจะเข้าใจสัจธรรมโลกใบนี้ได้เอง....  ว่านอกจากจะเสียเงินแล้วยังเสียเวลาอีกด้วย...

แนะนำได้เท่านี้ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่