สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานของชาวไอมารา..
ในเทือกเขาแอนดีสที่สูงเสียดฟ้า ท่ามกลางสายลมหนาวและภูมิทัศน์อันยิ่งใหญ่ มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ผูกพันกับชีวิตและจิตวิญญาณของผู้คน นั่นคือ ลามะแห่งสวรรค์
ตามตำนานของชาวไอมารา ลามะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เชื่อมโยงกับน้ำและฟ้าอย่างลึกซึ้ง เล่ากันว่า ลามะแห่งสวรรค์ดื่มน้ำจากมหาสมุทรกว้างใหญ่ และเมื่อฝนตก น้ำที่มันปลดปล่อยกลับคืนสู่ผืนดินช่วยหล่อเลี้ยงโลก ความเชื่อนี้สะท้อนความสำคัญของลามะในฐานะผู้ดูแลความสมดุลของธรรมชาติ
แต่ตำนานไม่ได้จบเพียงเท่านั้น ในคำทำนายวันสิ้นโลกของชาวไอมารา มีความเชื่อว่าลามะทั้งหมดจะกลับคืนสู่แหล่งน้ำและบ่อน้ำที่พวกมันเคยจากมาเมื่อถึงเวลาสิ้นสุด โลกจะถูกปกคลุมด้วยความลึกลับและพลังของธรรมชาติ
.
จากตำนานสู่วิทยาศาสตร์ ลามะไม่ได้มีเพียงบทบาทในวัฒนธรรม แต่ยังเป็นตัวแทนของความหลากหลายทางชีวภาพที่น่าค้นหา นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ลามะไม่ได้เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงที่ช่วยขนของหรือให้ขนสำหรับทอผ้า แต่ยังมีประวัติการวิวัฒนาการที่น่าสนใจ
- ลามะเลี้ยง "Llama" (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Lama glama) มีบรรพบุรุษเป็น กัวนาโก (Lama guanicoe)
- อัลปากา "alpaca" (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Vicugna pacos) สืบเชื้อสายมาจาก วิกูญา (Vicugna vicugna)
สิ่งที่ทำให้ลามะและสัตว์ในกลุ่มนี้โดดเด่นคือโครงสร้างเท้าแบบ "ปุ่ม" (Tylopoda) ที่ช่วยให้พวกมันเดินบนพื้นที่ลาดชันหรือพื้นผิวที่ไม่มั่นคงได้อย่างชำนาญ
และเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงที่เก่าแก่ที่สุดในโลก การทำให้ลามะเชื่องเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 3,000-5,000 ปีก่อน โดยชาวอินคาเลี้ยงลามะไว้เพื่อเป็นสัตว์บรรทุก สัตว์เลี้ยงในครัวเรือน และแหล่งอาหาร ขนของลามะยังถูกนำไปใช้ทอผ้า ขณะที่มูลของมันถูกใช้เป็นเชื้อเพลิง
ในมุมมองของวิทยาศาสตร์ ลามะเป็นสัตว์ที่สะท้อนถึงวิวัฒนาการอันซับซ้อน พวกมันเคยถูกจัดให้อยู่ในสกุลเดียวกับอูฐ และมีลักษณะหลายอย่างที่เหมือนสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น กระเพาะหลายห้อง แต่ในขณะเดียวกันก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น การสร้างน้ำลายที่ช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร
.
Llama "ลามะ" เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมากว่า 40 ล้านปีก่อน อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบใหญ่ในทวีปอเมริกาเหนือ และอพยพมายังทวีปอเมริกาใต้เมื่อประมาณ 3 ล้านปีก่อนในช่วง Great American Interchange และเมื่อสิ้นสุดยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย (10,000–12,000 ปีก่อน) ก็สูญพันธุ์จากทวีปอเมริกาเหนือ
.
ลามะ สัตว์เลี้ยงแห่งเทือกเขาแอนดีสที่ผูกพันกับมนุษย์มายาวนาน
เดิมที ลามะ เป็นสัตว์พื้นถิ่นที่มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเทือกเขาแอนดีสของอเมริกาใต้ แต่ปัจจุบันลามะในป่าธรรมชาติได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว และเหลืออยู่เฉพาะในฐานะสัตว์เลี้ยงเท่านั้น ลามะถูกเลี้ยงดูในหลายพื้นที่ทั่วโลก เช่น อเมริกาเหนือ ยุโรป และออสเตรเลีย
ถิ่นที่อยู่ดั้งเดิม ของลามะอยู่ในบริเวณที่ราบสูงแอนดีส โดยเฉพาะพื้นที่อัลติปลาโน ซึ่งครอบคลุมทางตะวันตกของโบลิเวียและตะวันออกเฉียงใต้ของเปรู ที่ราบสูงแห่งนี้เต็มไปด้วยพืชพรรณเตี้ยๆ เช่น หญ้า พุ่มไม้ และต้นไม้แคระ บริเวณตอนเหนือของอัลติปลานูมีภูมิอากาศอบอุ่นและอุดมสมบูรณ์กว่า แต่พื้นที่ตอนใต้กลับเป็นดินแดนแห้งแล้งคล้ายทะเลทราย ซึ่งลามะต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อความอยู่รอด
.
ลามะเป็นสัตว์ที่เข้าสังคมเก่ง โดยมักอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นฝูงเล็กๆ ประมาณ 20 ตัว ซึ่งประกอบด้วยตัวเมียที่กำลังผสมพันธุ์ประมาณ 6 ตัว ลูกลามะในปีนั้น และตัวผู้ ผู้นำฝูงที่ทำหน้าที่ปกป้องกลุ่มอย่างแข็งขัน
หนึ่งในพฤติกรรมที่น่าสนใจของลามะคือการใช้พื้นที่ "ส้วมรวม" สำหรับการขับถ่าย เชื่อกันว่าพฤติกรรมนี้อาจช่วยในการทำเครื่องหมายอาณาเขตหรือส่งสัญญาณให้สัตว์ตัวอื่นๆ
ลามะมีวิธีสื่อสารด้วยเสียงร้องที่หลากหลาย โดยเสียงร้องจะเบาและแหลมสูง แต่เมื่อมีภัยคุกคาม เช่น สัตว์นักล่า ลามะจะส่งเสียงเตือนที่ชัดเจนเพื่อแจ้งเตือนเพื่อนร่วมฝูง นอกจากนี้ ลามะยังมีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อผู้ล่าด้วยการพุ่งเข้าใส่ เตะ กัด หรือแม้กระทั่งถ่มน้ำลายเพื่อป้องกันตนเอง
.
ลามะเป็นสัตว์ที่มีระบบสังคมแบบตัวผู้ครอบครองตัวเมียหลายตัว (เป็นสัตว์เจ้าชู้ก็ว่าได้ มีเมียหลายตัว) โดยตัวผู้จะรวบรวมตัวเมียไว้ในอาณาเขต และต่อสู้กับตัวผู้ตัวอื่นๆ เพื่อรักษาสิทธิ์การครอบครอง การผสมพันธุ์ของลามะเกิดขึ้นในช่วงปลายฤดูร้อนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง ตัวเมียใช้เวลาในการตั้งครรภ์ประมาณ 350-360 วัน และจะคลอดลูกเพียงตัวเดียวต่อปี
ลูกลามะที่เกิดใหม่มีน้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม และสามารถวิ่งได้ภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด ลูกลามะจะอยู่ในความดูแลของแม่ลามะเป็นหลักจนถึงอายุประมาณ 5-6 เดือน ขณะที่ตัวผู้จะดูแลกลุ่มในภาพรวม เช่น ปกป้องแหล่งอาหารและพื้นที่อาศัย
.
ได้รับการประเมินในบัญชีแดงของ IUCN สำหรับสปีชีส์ที่ใกล้สูญพันธุ์ในปี 2016 Lama guanicoe ถูกระบุว่าอยู่ในกลุ่ม Least Concern หรือความกังวลน้อยที่สุด
วันลามะแห่งชาติ 9 ธันวาคม National Llama Day
ลามะ เป็นมากกว่าสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ที่เก่าแก่ของโลกใบนี้ เป็นมรดกแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ผูกพันกับผู้คนมาอย่างยาวนาน แม้ในปัจจุบันลามะจะสูญพันธุ์จากป่า แต่พวกมันยังคงมีบทบาทสำคัญในชีวิตมนุษย์ในฐานะเพื่อนร่วมทางและสัตว์เลี้ยงที่มีคุณค่า
.
เล็กๆ น้อยๆ ของลามะในต่างแดน
- ลามะมักถูกนำไปเยี่ยมสถานพยาบาล บ้านพักคนชรา และโรงพยาบาล เพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับผู้ป่วย
- การสัมผัสตัว และปฏิสัมพันธ์กับลามะช่วยเสริมสร้างพลังบวกทางอารมณ์ และบางครั้งยังช่วยบำบัดจิตใจได้อีกด้วย
- ถ้าลามะยืดตัว เงยหัวขึ้น และสะบัดหางไปมา นั่นแปลว่ามันกำลัง "ไม่พอใจ" ตัวเมียมักทำท่านี้เพื่อเตือนตัวผู้ที่เข้ามาใกล้ โดยเฉพาะเมื่อมันตั้งท้อง
- ลามะแม่จะส่งเสียง "ฮัมเพลง" ให้ลูกฟัง
- ตัวผู้ร้องเสียงแปลกๆ คล้ายเสียง "ก๊อกแก๊ก" ระหว่างการผสมพันธุ์
- ลามะมีวิธีจัดการปัญหาแบบเฉพาะตัวด้วยการถ่มน้ำลาย หากเวลาทะเลาะกันเรื่องอาหาร หรือตัวเมียถ่มน้ำลายใส่ตัวผู้เพื่อบอกให้ถอยห่าง
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: animalia
: wikipedia
: iucnredlist
.
LookAt
ตำนานและความลับแห่งลามะ จากสวรรค์สู่โลกวิทยาศาสตร์
ในเทือกเขาแอนดีสที่สูงเสียดฟ้า ท่ามกลางสายลมหนาวและภูมิทัศน์อันยิ่งใหญ่ มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ผูกพันกับชีวิตและจิตวิญญาณของผู้คน นั่นคือ ลามะแห่งสวรรค์
ตามตำนานของชาวไอมารา ลามะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เชื่อมโยงกับน้ำและฟ้าอย่างลึกซึ้ง เล่ากันว่า ลามะแห่งสวรรค์ดื่มน้ำจากมหาสมุทรกว้างใหญ่ และเมื่อฝนตก น้ำที่มันปลดปล่อยกลับคืนสู่ผืนดินช่วยหล่อเลี้ยงโลก ความเชื่อนี้สะท้อนความสำคัญของลามะในฐานะผู้ดูแลความสมดุลของธรรมชาติ
แต่ตำนานไม่ได้จบเพียงเท่านั้น ในคำทำนายวันสิ้นโลกของชาวไอมารา มีความเชื่อว่าลามะทั้งหมดจะกลับคืนสู่แหล่งน้ำและบ่อน้ำที่พวกมันเคยจากมาเมื่อถึงเวลาสิ้นสุด โลกจะถูกปกคลุมด้วยความลึกลับและพลังของธรรมชาติ
.
จากตำนานสู่วิทยาศาสตร์ ลามะไม่ได้มีเพียงบทบาทในวัฒนธรรม แต่ยังเป็นตัวแทนของความหลากหลายทางชีวภาพที่น่าค้นหา นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ลามะไม่ได้เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงที่ช่วยขนของหรือให้ขนสำหรับทอผ้า แต่ยังมีประวัติการวิวัฒนาการที่น่าสนใจ
- ลามะเลี้ยง "Llama" (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Lama glama) มีบรรพบุรุษเป็น กัวนาโก (Lama guanicoe)
- อัลปากา "alpaca" (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Vicugna pacos) สืบเชื้อสายมาจาก วิกูญา (Vicugna vicugna)
สิ่งที่ทำให้ลามะและสัตว์ในกลุ่มนี้โดดเด่นคือโครงสร้างเท้าแบบ "ปุ่ม" (Tylopoda) ที่ช่วยให้พวกมันเดินบนพื้นที่ลาดชันหรือพื้นผิวที่ไม่มั่นคงได้อย่างชำนาญ
และเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงที่เก่าแก่ที่สุดในโลก การทำให้ลามะเชื่องเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 3,000-5,000 ปีก่อน โดยชาวอินคาเลี้ยงลามะไว้เพื่อเป็นสัตว์บรรทุก สัตว์เลี้ยงในครัวเรือน และแหล่งอาหาร ขนของลามะยังถูกนำไปใช้ทอผ้า ขณะที่มูลของมันถูกใช้เป็นเชื้อเพลิง
ในมุมมองของวิทยาศาสตร์ ลามะเป็นสัตว์ที่สะท้อนถึงวิวัฒนาการอันซับซ้อน พวกมันเคยถูกจัดให้อยู่ในสกุลเดียวกับอูฐ และมีลักษณะหลายอย่างที่เหมือนสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น กระเพาะหลายห้อง แต่ในขณะเดียวกันก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น การสร้างน้ำลายที่ช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร
.
Llama "ลามะ" เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมากว่า 40 ล้านปีก่อน อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบใหญ่ในทวีปอเมริกาเหนือ และอพยพมายังทวีปอเมริกาใต้เมื่อประมาณ 3 ล้านปีก่อนในช่วง Great American Interchange และเมื่อสิ้นสุดยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย (10,000–12,000 ปีก่อน) ก็สูญพันธุ์จากทวีปอเมริกาเหนือ
.
ลามะ สัตว์เลี้ยงแห่งเทือกเขาแอนดีสที่ผูกพันกับมนุษย์มายาวนาน
เดิมที ลามะ เป็นสัตว์พื้นถิ่นที่มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเทือกเขาแอนดีสของอเมริกาใต้ แต่ปัจจุบันลามะในป่าธรรมชาติได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว และเหลืออยู่เฉพาะในฐานะสัตว์เลี้ยงเท่านั้น ลามะถูกเลี้ยงดูในหลายพื้นที่ทั่วโลก เช่น อเมริกาเหนือ ยุโรป และออสเตรเลีย
ถิ่นที่อยู่ดั้งเดิม ของลามะอยู่ในบริเวณที่ราบสูงแอนดีส โดยเฉพาะพื้นที่อัลติปลาโน ซึ่งครอบคลุมทางตะวันตกของโบลิเวียและตะวันออกเฉียงใต้ของเปรู ที่ราบสูงแห่งนี้เต็มไปด้วยพืชพรรณเตี้ยๆ เช่น หญ้า พุ่มไม้ และต้นไม้แคระ บริเวณตอนเหนือของอัลติปลานูมีภูมิอากาศอบอุ่นและอุดมสมบูรณ์กว่า แต่พื้นที่ตอนใต้กลับเป็นดินแดนแห้งแล้งคล้ายทะเลทราย ซึ่งลามะต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อความอยู่รอด
.
ลามะเป็นสัตว์ที่เข้าสังคมเก่ง โดยมักอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นฝูงเล็กๆ ประมาณ 20 ตัว ซึ่งประกอบด้วยตัวเมียที่กำลังผสมพันธุ์ประมาณ 6 ตัว ลูกลามะในปีนั้น และตัวผู้ ผู้นำฝูงที่ทำหน้าที่ปกป้องกลุ่มอย่างแข็งขัน
หนึ่งในพฤติกรรมที่น่าสนใจของลามะคือการใช้พื้นที่ "ส้วมรวม" สำหรับการขับถ่าย เชื่อกันว่าพฤติกรรมนี้อาจช่วยในการทำเครื่องหมายอาณาเขตหรือส่งสัญญาณให้สัตว์ตัวอื่นๆ
ลามะมีวิธีสื่อสารด้วยเสียงร้องที่หลากหลาย โดยเสียงร้องจะเบาและแหลมสูง แต่เมื่อมีภัยคุกคาม เช่น สัตว์นักล่า ลามะจะส่งเสียงเตือนที่ชัดเจนเพื่อแจ้งเตือนเพื่อนร่วมฝูง นอกจากนี้ ลามะยังมีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อผู้ล่าด้วยการพุ่งเข้าใส่ เตะ กัด หรือแม้กระทั่งถ่มน้ำลายเพื่อป้องกันตนเอง
.
ลามะเป็นสัตว์ที่มีระบบสังคมแบบตัวผู้ครอบครองตัวเมียหลายตัว (เป็นสัตว์เจ้าชู้ก็ว่าได้ มีเมียหลายตัว) โดยตัวผู้จะรวบรวมตัวเมียไว้ในอาณาเขต และต่อสู้กับตัวผู้ตัวอื่นๆ เพื่อรักษาสิทธิ์การครอบครอง การผสมพันธุ์ของลามะเกิดขึ้นในช่วงปลายฤดูร้อนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง ตัวเมียใช้เวลาในการตั้งครรภ์ประมาณ 350-360 วัน และจะคลอดลูกเพียงตัวเดียวต่อปี
ลูกลามะที่เกิดใหม่มีน้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม และสามารถวิ่งได้ภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด ลูกลามะจะอยู่ในความดูแลของแม่ลามะเป็นหลักจนถึงอายุประมาณ 5-6 เดือน ขณะที่ตัวผู้จะดูแลกลุ่มในภาพรวม เช่น ปกป้องแหล่งอาหารและพื้นที่อาศัย
.
ได้รับการประเมินในบัญชีแดงของ IUCN สำหรับสปีชีส์ที่ใกล้สูญพันธุ์ในปี 2016 Lama guanicoe ถูกระบุว่าอยู่ในกลุ่ม Least Concern หรือความกังวลน้อยที่สุด
.
เล็กๆ น้อยๆ ของลามะในต่างแดน
- ลามะมักถูกนำไปเยี่ยมสถานพยาบาล บ้านพักคนชรา และโรงพยาบาล เพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับผู้ป่วย
- การสัมผัสตัว และปฏิสัมพันธ์กับลามะช่วยเสริมสร้างพลังบวกทางอารมณ์ และบางครั้งยังช่วยบำบัดจิตใจได้อีกด้วย
- ถ้าลามะยืดตัว เงยหัวขึ้น และสะบัดหางไปมา นั่นแปลว่ามันกำลัง "ไม่พอใจ" ตัวเมียมักทำท่านี้เพื่อเตือนตัวผู้ที่เข้ามาใกล้ โดยเฉพาะเมื่อมันตั้งท้อง
- ลามะแม่จะส่งเสียง "ฮัมเพลง" ให้ลูกฟัง
- ตัวผู้ร้องเสียงแปลกๆ คล้ายเสียง "ก๊อกแก๊ก" ระหว่างการผสมพันธุ์
- ลามะมีวิธีจัดการปัญหาแบบเฉพาะตัวด้วยการถ่มน้ำลาย หากเวลาทะเลาะกันเรื่องอาหาร หรือตัวเมียถ่มน้ำลายใส่ตัวผู้เพื่อบอกให้ถอยห่าง
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: animalia
: wikipedia
: iucnredlist
.
LookAt