ประวัติศาสตร์และความลึกลับของตระกูลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก—ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller) ตระกูลที่สร้างอำนาจและความมั่งคั่งจากการค้าพลังงานและธุรกิจการเงิน จนกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่มีส่วนกำหนดแนวทางของโลก
ชีวิตวัยเด็กของจอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์
จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1839 ที่เมืองริชมอนด์ รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเป็นลูกชายของ วิลเลียม เอ. ร็อกกี้เฟลเลอร์ (William A. Rockefeller) ผู้ซึ่งเป็นพ่อค้าผู้เดินทางและแม่คือ เอลิซา ดาวิสัน (Eliza Davison) ซึ่งเป็นผู้หญิงที่มีความเชื่อมั่นในศาสนาและสอนลูกๆ ให้มีวินัยในการใช้ชีวิต จอห์นเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยและต้องย้ายถิ่นฐานหลายครั้ง เนื่องจากอาชีพของพ่อที่ไม่แน่นอน ทำให้จอห์นต้องเรียนรู้วิธีการทำงานและหาเงินตั้งแต่อายุยังน้อย
ตั้งแต่อายุ 16 ปี จอห์นเริ่มทำงานเป็นผู้ช่วยบัญชีให้กับบริษัทเล็กๆ ในคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ทักษะทางธุรกิจและการจัดการเงิน ที่สำคัญเขายังเริ่มพัฒนาความสามารถในการคำนวณและการวิเคราะห์ทางการเงินอย่างรวดเร็ว เขามีความสามารถพิเศษในการประหยัดและการลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่กลายเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จในอนาคตของเขา
จุดเริ่มต้นของอำนาจ
เรื่องราวของตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์เริ่มต้นในศตวรรษที่ 19 กับชายคนหนึ่งชื่อว่า จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ (John D. Rockefeller) ชายที่มาจากครอบครัวที่ไม่ร่ำรวย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความสามารถทางธุรกิจของเขา ทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคอุตสาหกรรม
ก่อนที่จะมาก่อตั้งบริษัท Standard Oil ในปี 1870 จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ได้ทำธุรกิจหลากหลายเพื่อสร้างประสบการณ์และความรู้ เขาเริ่มจากการทำงานเป็นผู้ช่วยบัญชีในบริษัทสินค้าโภคภัณฑ์ จากนั้นเขาได้ก่อตั้งบริษัทค้าสินค้าเล็กๆ ร่วมกับพันธมิตรชื่อ Clark & Rockefeller ที่เน้นการค้าสินค้าเกษตร ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในเวลานั้น ประสบการณ์ในธุรกิจค้าสินค้านี้ช่วยให้เขาเรียนรู้การบริหารจัดการเงินทุนและการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่การก่อตั้ง Standard Oil ในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจน้ำมันและกลั่นน้ำมัน จนในที่สุดกลายเป็นผู้ควบคุมตลาดน้ำมันสหรัฐฯเกือบทั้งหมด ด้วยการผูกขาดและกลยุทธ์ธุรกิจที่แยบยล Standard Oil ได้เติบโตจนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และเป็นรากฐานของอำนาจที่ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ครอบครอง
ประวัติของ Standard Oil และกลยุทธ์การผูกขาด
มาติดตามเรื่องราวของ Standard Oil ในรูปแบบของเรื่องเล่ากันเถอะครับ...
ในปี 1870 จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์และพันธมิตรทางธุรกิจได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Standard Oil ด้วยความทะเยอทะยานในการครอบครองตลาดน้ำมันสหรัฐฯ จอห์นเริ่มเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อค้นหาคู่แข่งที่ยังไม่อาจต้านทานพลังของ Standard Oil ได้ เขาใช้กลยุทธ์ในการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงการเจรจาธุรกิจธรรมดา แต่ทุกการเข้าซื้อกลับทำให้ Standard Oil แกร่งขึ้นและคู่แข่งล้มเหลวลงทีละรายๆ
ในช่วงเวลานั้น จอห์นรู้ว่าการขนส่งคือกุญแจสำคัญของธุรกิจน้ำมัน เขาจึงได้ทำข้อตกลงลับกับทางรถไฟ สัญญานี้ทำให้ Standard Oil ได้รับสิทธิพิเศษในการขนส่งน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นอัตราค่าขนส่งที่ถูกกว่าหรือความรวดเร็วที่คู่แข่งไม่สามารถเทียบได้ และผลก็คือ บริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีสิทธิพิเศษนี้ก็ต้องประสบปัญหาจนล้มละลายไป
ไม่เพียงแค่นั้น จอห์นยังได้ใช้กลยุทธ์ที่มีชื่อเสียงว่า "การควบคุมราคา" เขาขายน้ำมันในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง จนกระทั่งคู่แข่งไม่สามารถทนทานต่อความสูญเสียได้ และสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้หรือล้มละลายไป สิ่งนี้ทำให้ Standard Oil สามารถครอบครองตลาดและยึดครองส่วนแบ่งที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
จอห์นยังคงคิดถึงการสร้างความยั่งยืนของบริษัท เขาจึงใช้แนวทาง "การผสานแนวดิ่ง" (Vertical Integration) หรือการควบคุมทุกขั้นตอนของการผลิตน้ำมัน ตั้งแต่การขุดเจาะ การกลั่น ไปจนถึงการจัดจำหน่าย นั่นทำให้ Standard Oil สามารถลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างมากมาย
ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ Standard Oil กลายเป็นผู้ควบคุมตลาดน้ำมันของสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด โดยครอบครองกว่า 90% ของการผลิตน้ำมันในประเทศในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ความสำเร็จของ Standard Oil นั้นไม่ได้มาจากความบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการวางแผนที่รอบคอบ กลยุทธ์ที่แยบยล และความมุ่งมั่นในการครองตลาดของจอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์เอง
กลไกและอิทธิพลที่สำคัญ
ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ไม่ได้หยุดเพียงแค่ธุรกิจน้ำมัน แต่ได้ขยายอิทธิพลเข้าสู่หลากหลายธุรกิจ เช่น การธนาคาร การประกันภัย และอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนการลงทุนในธุรกิจด้านสุขภาพและการศึกษา ผ่านการก่อตั้งมูลนิธิ Rockefeller Foundation ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1913 โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมสุขภาพ การศึกษา และการพัฒนาสังคม มูลนิธินี้มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ระดับโลก เช่น การสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้เหลือง การก่อตั้งมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย รวมถึงการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบภัยในหลายประเทศ ที่มีส่วนในการวิจัยและพัฒนาความรู้ในหลายๆ ด้าน อันนำไปสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และสังคม
กลไกที่ทำให้ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์มีอิทธิพลอย่างมากนั้นไม่ได้อยู่ที่ความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว แต่ยังอยู่ที่การใช้ทรัพยากรเหล่านั้นในการสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ทางการเมืองทั่วโลก ตระกูลนี้เข้าไปสนับสนุนองค์กรและมูลนิธิต่างๆ เช่น Rockefeller Foundation (ด้านการพัฒนาสังคมและสุขภาพ), University of Chicago (ด้านการศึกษาและการวิจัย), Rockefeller University (ด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์), และ Council on Foreign Relations (ด้านการเมืองระหว่างประเทศและนโยบายสาธารณะ) ที่มีอิทธิพล ทำให้พวกเขาสามารถควบคุมและชี้นำทิศทางของนโยบายสาธารณะในระดับโลกได้
จากอดีตสู่ปัจจุบัน
แม้ว่า Standard Oil จะถูกแบ่งออกเป็นหลายบริษัทเล็กๆ ตามกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของรัฐบาลสหรัฐฯ แต่บริษัทเหล่านั้นก็ยังคงมีอิทธิพลในตลาดน้ำมันโลก เช่น ExxonMobil และ Chevron ทั้งสองบริษัทนี้มีรากฐานมาจากการแบ่งแยกของ Standard Oil และมีความเชื่อมโยงกับตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ในช่วงแรกผ่านการเป็นเจ้าของหุ้นและบทบาทในคณะกรรมการบริหาร ทำให้ตระกูลนี้ยังคงมีอิทธิพลในอุตสาหกรรมน้ำมันระดับโลก
ปัจจุบัน ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ยังคงมีบทบาทสำคัญในโลกธุรกิจและการกุศล โดยเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2014 มูลนิธิ Rockefeller Brothers Fund ได้ประกาศถอนการลงทุนจากธุรกิจเชื้อเพลิงฟอสซิล และหันมาลงทุนในพลังงานทดแทนและเทคโนโลยีสะอาด การตัดสินใจนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของตระกูลในการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
หนึ่งในบริษัทที่ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ให้ความสนใจคือ NextEra Energy ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานทดแทนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองจูโนบีช รัฐฟลอริดา บริษัทนี้เน้นการผลิตพลังงานจากลมและแสงอาทิตย์ และได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด การลงทุนใน NextEra Energy สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ในการสนับสนุนพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ยังได้ลงทุนใน Tesla บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาดที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองพาโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย Tesla เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ การลงทุนใน Tesla แสดงถึงความตั้งใจของตระกูลในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่พลังงานสะอาดและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
การเปลี่ยนแปลงทิศทางการลงทุนของตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์จากธุรกิจน้ำมันสู่พลังงานสะอาด แสดงถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวตามกระแสโลก อีกทั้งยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้ตระกูลนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมพลังงานในยุคปัจจุบัน ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ได้แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงจากการพึ่งพาน้ำมันไปสู่การสนับสนุนพลังงานทดแทน ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับตระกูลที่เคยถูกวิจารณ์เรื่องการผูกขาดและการทำลายสิ่งแวดล้อมในอดีต
ความลึกลับที่ยังคงอยู่
หลายคนเชื่อว่าตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ยังคงเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีอิทธิพลเบื้องหลังในวงการการเมืองและการเงินของโลก มีหลักฐานบางส่วนที่ชี้ว่าตระกูลนี้ยังคงมีบทบาทในการกำหนดนโยบายระหว่างประเทศและมีส่วนในการตัดสินใจทิศทางของเศรษฐกิจโลก เช่น การมีบทบาทในสถาบันต่างๆ อย่าง Council on Foreign Relations (CFR) (เคาน์ซิล ออน ฟอร์เรน รีเลชันส์) ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการกำหนดนโยบายระหว่างประเทศ โดยมีความเชื่อมโยงกับบุคคลสำคัญและผู้นำทางการเมืองทั่วโลก CFR เป็นเหมือนแหล่งรวมของผู้นำจากหลายวงการ ทั้งการเมือง ธุรกิจ และวิชาการ ที่มาร่วมมือกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและชี้ทิศทางของนโยบายระหว่างประเทศอย่างลับๆ และน่าตื่นเต้น บางคนกล่าวว่า การประชุมใน CFR เปรียบเสมือนเป็นการวางแผนอนาคตของโลกในวงการที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เต็มไปด้วยการเจรจาและการวางหมากที่ซับซ้อน และ Trilateral Commission (ไตรเลอรัล คอมมิชชัน) ที่มุ่งหวังในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภูมิภาคต่างๆ กลุ่มนี้เกิดขึ้นในปี 1973 โดยการริเริ่มของ เดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ ความตั้งใจคือเพื่อเชื่อมโยงผู้นำจากอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างความเข้าใจและความร่วมมือที่ดีขึ้นระหว่างภูมิภาคต่างๆ การประชุมของ Trilateral Commission มักถูกมองว่าเป็นการรวมตัวของผู้มีอิทธิพลที่มาหารือกันเกี่ยวกับอนาคตของเศรษฐกิจโลก บางคนถึงกับเปรียบว่าเป็น "คณะกรรมการวางแผนลับสำหรับโลก" ที่เต็มไปด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดอย่างลึกซึ้ง และมีการสนทนาอย่างเป็นกันเองระหว่างผู้นำที่มีอำนาจในการกำหนดทิศทางของโลก ทำให้ Trilateral Commission เป็นหนึ่งในกลุ่มที่สร้างความลึกลับและน่าติดตามที่สุดในยุคปัจจุบัน ของโลก
นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงตระกูลนี้กับ Bilderberg Group (บิลเดอร์เบิร์ก กรุ๊ป) ซึ่งเป็นกลุ่มที่จัดการประชุมอย่างลับๆ ระหว่างผู้นำทางการเมืองและธุรกิจระดับสูง หลายคนเชื่อว่าตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ใช้กลุ่มเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์และชี้นำทิศทางของเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก ซึ่งทำให้เกิดความเชื่อว่าเป็น "อำนาจเบื้องหลัง" ที่มีอิทธิพลในระดับสูงจนถึงปัจจุบัน
เหตุการณ์สำคัญที่สร้างความเชื่อเหล่านี้คือการที่ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์มีบทบาทในการก่อตั้งและสนับสนุนการทำงานขององค์กรที่มีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายระหว่างประเทศ เช่น การก่อตั้ง Rockefeller Foundation ซึ่งมีผลงานสำคัญอย่างมากมาย เช่น การสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้เหลืองในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 การให้ทุนสนับสนุนการก่อตั้งมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยชิคาโก และการสนับสนุนงานวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ส่งผลให้เกิดการค้นพบสำคัญในวงการวิทยาศาสตร์และสุขภาพ ที่ให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยและโครงการที่ส่งผลต่อทิศทางของโลกในด้านสาธารณสุขและการศึกษา ซึ่งสร้างเครือข่ายและอิทธิพลที่กว้างขวางจนสามารถมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของนโยบายสาธารณะได้และท้ายที่สุดนี้ เราขอขอบคุณ Chevita Healthcare ที่ให้การสนับสนุน Advanced Biz Media อย่างเต็มที่ หากคุณกำลังปวดเมื่อนย นึกถึง Chevita Healthcare ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับฟัง แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปครับ
เปิดตำนานลึกลับของตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller)
ประวัติศาสตร์และความลึกลับของตระกูลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก—ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller) ตระกูลที่สร้างอำนาจและความมั่งคั่งจากการค้าพลังงานและธุรกิจการเงิน จนกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่มีส่วนกำหนดแนวทางของโลก
ชีวิตวัยเด็กของจอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์
จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1839 ที่เมืองริชมอนด์ รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเป็นลูกชายของ วิลเลียม เอ. ร็อกกี้เฟลเลอร์ (William A. Rockefeller) ผู้ซึ่งเป็นพ่อค้าผู้เดินทางและแม่คือ เอลิซา ดาวิสัน (Eliza Davison) ซึ่งเป็นผู้หญิงที่มีความเชื่อมั่นในศาสนาและสอนลูกๆ ให้มีวินัยในการใช้ชีวิต จอห์นเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยและต้องย้ายถิ่นฐานหลายครั้ง เนื่องจากอาชีพของพ่อที่ไม่แน่นอน ทำให้จอห์นต้องเรียนรู้วิธีการทำงานและหาเงินตั้งแต่อายุยังน้อย
ตั้งแต่อายุ 16 ปี จอห์นเริ่มทำงานเป็นผู้ช่วยบัญชีให้กับบริษัทเล็กๆ ในคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ทักษะทางธุรกิจและการจัดการเงิน ที่สำคัญเขายังเริ่มพัฒนาความสามารถในการคำนวณและการวิเคราะห์ทางการเงินอย่างรวดเร็ว เขามีความสามารถพิเศษในการประหยัดและการลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่กลายเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จในอนาคตของเขา
จุดเริ่มต้นของอำนาจ
เรื่องราวของตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์เริ่มต้นในศตวรรษที่ 19 กับชายคนหนึ่งชื่อว่า จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ (John D. Rockefeller) ชายที่มาจากครอบครัวที่ไม่ร่ำรวย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความสามารถทางธุรกิจของเขา ทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคอุตสาหกรรม
ก่อนที่จะมาก่อตั้งบริษัท Standard Oil ในปี 1870 จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ได้ทำธุรกิจหลากหลายเพื่อสร้างประสบการณ์และความรู้ เขาเริ่มจากการทำงานเป็นผู้ช่วยบัญชีในบริษัทสินค้าโภคภัณฑ์ จากนั้นเขาได้ก่อตั้งบริษัทค้าสินค้าเล็กๆ ร่วมกับพันธมิตรชื่อ Clark & Rockefeller ที่เน้นการค้าสินค้าเกษตร ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในเวลานั้น ประสบการณ์ในธุรกิจค้าสินค้านี้ช่วยให้เขาเรียนรู้การบริหารจัดการเงินทุนและการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่การก่อตั้ง Standard Oil ในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจน้ำมันและกลั่นน้ำมัน จนในที่สุดกลายเป็นผู้ควบคุมตลาดน้ำมันสหรัฐฯเกือบทั้งหมด ด้วยการผูกขาดและกลยุทธ์ธุรกิจที่แยบยล Standard Oil ได้เติบโตจนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และเป็นรากฐานของอำนาจที่ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ครอบครอง
ประวัติของ Standard Oil และกลยุทธ์การผูกขาด
มาติดตามเรื่องราวของ Standard Oil ในรูปแบบของเรื่องเล่ากันเถอะครับ...
ในปี 1870 จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์และพันธมิตรทางธุรกิจได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Standard Oil ด้วยความทะเยอทะยานในการครอบครองตลาดน้ำมันสหรัฐฯ จอห์นเริ่มเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อค้นหาคู่แข่งที่ยังไม่อาจต้านทานพลังของ Standard Oil ได้ เขาใช้กลยุทธ์ในการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงการเจรจาธุรกิจธรรมดา แต่ทุกการเข้าซื้อกลับทำให้ Standard Oil แกร่งขึ้นและคู่แข่งล้มเหลวลงทีละรายๆ
ในช่วงเวลานั้น จอห์นรู้ว่าการขนส่งคือกุญแจสำคัญของธุรกิจน้ำมัน เขาจึงได้ทำข้อตกลงลับกับทางรถไฟ สัญญานี้ทำให้ Standard Oil ได้รับสิทธิพิเศษในการขนส่งน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นอัตราค่าขนส่งที่ถูกกว่าหรือความรวดเร็วที่คู่แข่งไม่สามารถเทียบได้ และผลก็คือ บริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีสิทธิพิเศษนี้ก็ต้องประสบปัญหาจนล้มละลายไป
ไม่เพียงแค่นั้น จอห์นยังได้ใช้กลยุทธ์ที่มีชื่อเสียงว่า "การควบคุมราคา" เขาขายน้ำมันในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง จนกระทั่งคู่แข่งไม่สามารถทนทานต่อความสูญเสียได้ และสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้หรือล้มละลายไป สิ่งนี้ทำให้ Standard Oil สามารถครอบครองตลาดและยึดครองส่วนแบ่งที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
จอห์นยังคงคิดถึงการสร้างความยั่งยืนของบริษัท เขาจึงใช้แนวทาง "การผสานแนวดิ่ง" (Vertical Integration) หรือการควบคุมทุกขั้นตอนของการผลิตน้ำมัน ตั้งแต่การขุดเจาะ การกลั่น ไปจนถึงการจัดจำหน่าย นั่นทำให้ Standard Oil สามารถลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างมากมาย
ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ Standard Oil กลายเป็นผู้ควบคุมตลาดน้ำมันของสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด โดยครอบครองกว่า 90% ของการผลิตน้ำมันในประเทศในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ความสำเร็จของ Standard Oil นั้นไม่ได้มาจากความบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการวางแผนที่รอบคอบ กลยุทธ์ที่แยบยล และความมุ่งมั่นในการครองตลาดของจอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์เอง
กลไกและอิทธิพลที่สำคัญ
ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ไม่ได้หยุดเพียงแค่ธุรกิจน้ำมัน แต่ได้ขยายอิทธิพลเข้าสู่หลากหลายธุรกิจ เช่น การธนาคาร การประกันภัย และอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนการลงทุนในธุรกิจด้านสุขภาพและการศึกษา ผ่านการก่อตั้งมูลนิธิ Rockefeller Foundation ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1913 โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมสุขภาพ การศึกษา และการพัฒนาสังคม มูลนิธินี้มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ระดับโลก เช่น การสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้เหลือง การก่อตั้งมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย รวมถึงการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบภัยในหลายประเทศ ที่มีส่วนในการวิจัยและพัฒนาความรู้ในหลายๆ ด้าน อันนำไปสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และสังคม
กลไกที่ทำให้ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์มีอิทธิพลอย่างมากนั้นไม่ได้อยู่ที่ความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว แต่ยังอยู่ที่การใช้ทรัพยากรเหล่านั้นในการสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ทางการเมืองทั่วโลก ตระกูลนี้เข้าไปสนับสนุนองค์กรและมูลนิธิต่างๆ เช่น Rockefeller Foundation (ด้านการพัฒนาสังคมและสุขภาพ), University of Chicago (ด้านการศึกษาและการวิจัย), Rockefeller University (ด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์), และ Council on Foreign Relations (ด้านการเมืองระหว่างประเทศและนโยบายสาธารณะ) ที่มีอิทธิพล ทำให้พวกเขาสามารถควบคุมและชี้นำทิศทางของนโยบายสาธารณะในระดับโลกได้
จากอดีตสู่ปัจจุบัน
แม้ว่า Standard Oil จะถูกแบ่งออกเป็นหลายบริษัทเล็กๆ ตามกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของรัฐบาลสหรัฐฯ แต่บริษัทเหล่านั้นก็ยังคงมีอิทธิพลในตลาดน้ำมันโลก เช่น ExxonMobil และ Chevron ทั้งสองบริษัทนี้มีรากฐานมาจากการแบ่งแยกของ Standard Oil และมีความเชื่อมโยงกับตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ในช่วงแรกผ่านการเป็นเจ้าของหุ้นและบทบาทในคณะกรรมการบริหาร ทำให้ตระกูลนี้ยังคงมีอิทธิพลในอุตสาหกรรมน้ำมันระดับโลก
ปัจจุบัน ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ยังคงมีบทบาทสำคัญในโลกธุรกิจและการกุศล โดยเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2014 มูลนิธิ Rockefeller Brothers Fund ได้ประกาศถอนการลงทุนจากธุรกิจเชื้อเพลิงฟอสซิล และหันมาลงทุนในพลังงานทดแทนและเทคโนโลยีสะอาด การตัดสินใจนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของตระกูลในการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
หนึ่งในบริษัทที่ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ให้ความสนใจคือ NextEra Energy ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานทดแทนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองจูโนบีช รัฐฟลอริดา บริษัทนี้เน้นการผลิตพลังงานจากลมและแสงอาทิตย์ และได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด การลงทุนใน NextEra Energy สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ในการสนับสนุนพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ยังได้ลงทุนใน Tesla บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาดที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองพาโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย Tesla เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ การลงทุนใน Tesla แสดงถึงความตั้งใจของตระกูลในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่พลังงานสะอาดและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
การเปลี่ยนแปลงทิศทางการลงทุนของตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์จากธุรกิจน้ำมันสู่พลังงานสะอาด แสดงถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวตามกระแสโลก อีกทั้งยังสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้ตระกูลนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมพลังงานในยุคปัจจุบัน ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ได้แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงจากการพึ่งพาน้ำมันไปสู่การสนับสนุนพลังงานทดแทน ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับตระกูลที่เคยถูกวิจารณ์เรื่องการผูกขาดและการทำลายสิ่งแวดล้อมในอดีต
ความลึกลับที่ยังคงอยู่
หลายคนเชื่อว่าตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ยังคงเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีอิทธิพลเบื้องหลังในวงการการเมืองและการเงินของโลก มีหลักฐานบางส่วนที่ชี้ว่าตระกูลนี้ยังคงมีบทบาทในการกำหนดนโยบายระหว่างประเทศและมีส่วนในการตัดสินใจทิศทางของเศรษฐกิจโลก เช่น การมีบทบาทในสถาบันต่างๆ อย่าง Council on Foreign Relations (CFR) (เคาน์ซิล ออน ฟอร์เรน รีเลชันส์) ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการกำหนดนโยบายระหว่างประเทศ โดยมีความเชื่อมโยงกับบุคคลสำคัญและผู้นำทางการเมืองทั่วโลก CFR เป็นเหมือนแหล่งรวมของผู้นำจากหลายวงการ ทั้งการเมือง ธุรกิจ และวิชาการ ที่มาร่วมมือกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและชี้ทิศทางของนโยบายระหว่างประเทศอย่างลับๆ และน่าตื่นเต้น บางคนกล่าวว่า การประชุมใน CFR เปรียบเสมือนเป็นการวางแผนอนาคตของโลกในวงการที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เต็มไปด้วยการเจรจาและการวางหมากที่ซับซ้อน และ Trilateral Commission (ไตรเลอรัล คอมมิชชัน) ที่มุ่งหวังในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภูมิภาคต่างๆ กลุ่มนี้เกิดขึ้นในปี 1973 โดยการริเริ่มของ เดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ ความตั้งใจคือเพื่อเชื่อมโยงผู้นำจากอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างความเข้าใจและความร่วมมือที่ดีขึ้นระหว่างภูมิภาคต่างๆ การประชุมของ Trilateral Commission มักถูกมองว่าเป็นการรวมตัวของผู้มีอิทธิพลที่มาหารือกันเกี่ยวกับอนาคตของเศรษฐกิจโลก บางคนถึงกับเปรียบว่าเป็น "คณะกรรมการวางแผนลับสำหรับโลก" ที่เต็มไปด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดอย่างลึกซึ้ง และมีการสนทนาอย่างเป็นกันเองระหว่างผู้นำที่มีอำนาจในการกำหนดทิศทางของโลก ทำให้ Trilateral Commission เป็นหนึ่งในกลุ่มที่สร้างความลึกลับและน่าติดตามที่สุดในยุคปัจจุบัน ของโลก
นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงตระกูลนี้กับ Bilderberg Group (บิลเดอร์เบิร์ก กรุ๊ป) ซึ่งเป็นกลุ่มที่จัดการประชุมอย่างลับๆ ระหว่างผู้นำทางการเมืองและธุรกิจระดับสูง หลายคนเชื่อว่าตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ใช้กลุ่มเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์และชี้นำทิศทางของเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก ซึ่งทำให้เกิดความเชื่อว่าเป็น "อำนาจเบื้องหลัง" ที่มีอิทธิพลในระดับสูงจนถึงปัจจุบัน
เหตุการณ์สำคัญที่สร้างความเชื่อเหล่านี้คือการที่ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์มีบทบาทในการก่อตั้งและสนับสนุนการทำงานขององค์กรที่มีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายระหว่างประเทศ เช่น การก่อตั้ง Rockefeller Foundation ซึ่งมีผลงานสำคัญอย่างมากมาย เช่น การสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้เหลืองในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 การให้ทุนสนับสนุนการก่อตั้งมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยชิคาโก และการสนับสนุนงานวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ส่งผลให้เกิดการค้นพบสำคัญในวงการวิทยาศาสตร์และสุขภาพ ที่ให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยและโครงการที่ส่งผลต่อทิศทางของโลกในด้านสาธารณสุขและการศึกษา ซึ่งสร้างเครือข่ายและอิทธิพลที่กว้างขวางจนสามารถมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของนโยบายสาธารณะได้และท้ายที่สุดนี้ เราขอขอบคุณ Chevita Healthcare ที่ให้การสนับสนุน Advanced Biz Media อย่างเต็มที่ หากคุณกำลังปวดเมื่อนย นึกถึง Chevita Healthcare ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับฟัง แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปครับ