ถ้ามีคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง คุณอาจสงสัยว่า “เราจะเสี่ยงเป็นมะเร็งด้วยหรือไม่?” คำตอบคือ มีโอกาสที่ความเสี่ยงทางพันธุกรรมจะถูกส่งต่อได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนในครอบครัวจะต้องเป็นมะเร็งเสมอไป บทความนี้จะพาคุณมาดูว่าทำไมคนในครอบครัวถึงมีความเสี่ยง และวิธีการป้องกันที่ควรรู้
.
สาเหตุที่คนในครอบครัวอาจเป็นมะเร็งเหมือนกัน
-พันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง:
*มะเร็งเต้านม มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมสูง หากมีประวัติในครอบครัว
*มะเร็งรังไข่: สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
*มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งชนิดนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม และอาจส่งต่อความเสี่ยงให้ลูกหลาน
*มะเร็งต่อมลูกหมาก: มะเร็งชนิดนี้ก็อาจมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ หากมีประวัติในครอบครัว
*มะเร็งตับอ่อน มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงทางพันธุกรรมบางประเภท
*มะเร็งกระเพาะอาหาร: หากมีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร อาจเพิ่มความเสี่ยงให้กับคนรุ่นหลัง
-ปัจจัยแวดล้อมและพฤติกรรม: คนในครอบครัวมักมีการใช้ชีวิตที่คล้ายกัน เช่น การกินอาหาร การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้เช่นกัน
.
ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?
-ชนิดของมะเร็ง: มะเร็งบางชนิดมีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมมากกว่าชนิดอื่นๆ
-อายุของผู้ป่วยในครอบครัว: หากมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุน้อย ความเสี่ยงจะยิ่งสูงขึ้น
-จำนวนสมาชิกในครอบครัวที่เป็นมะเร็ง: หากมีหลายคนในครอบครัวที่เป็นมะเร็ง ความเสี่ยงของคุณก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
-ความใกล้ชิดทางสายเลือด: ความเสี่ยงจะสูงขึ้นหากเป็นคนที่มีความใกล้ชิดทางสายเลือด เช่น พี่น้องหรือบุตรหลาน
.
วิธีลดความเสี่ยงเมื่อมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง
-ปรึกษาแพทย์: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงส่วนตัวและขอคำแนะนำเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองมะเร็ง
-ตรวจคัดกรองเป็นประจำ: การตรวจคัดกรองมะเร็งตามคำแนะนำของแพทย์ช่วยให้พบมะเร็งได้ในระยะแรก ซึ่งมีโอกาสรักษาหายสูง
-ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต: ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
-ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรม: หากมีความกังวลเรื่องพันธุกรรม อาจต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการตรวจพันธุกรรม
.
การตรวจคัดกรองมะเร็งมีกี่แบบ?
การตรวจคัดกรองมะเร็งมีหลายวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งและความเสี่ยงของแต่ละบุคคล ได้แก่:
-การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram): ใช้สำหรับตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปี การตรวจนี้สามารถตรวจหาก้อนเนื้อหรือสิ่งผิดปกติในเนื้อเยื่อเต้านมได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
.
-การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ใช้สำหรับตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ การตรวจนี้สามารถตรวจหาก้อนเนื้อที่อาจกลายเป็นมะเร็งในอนาคตและตัดออกได้ทันที
.
-การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear): ใช้สำหรับตรวจหาความผิดปกติในเซลล์ปากมดลูก เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก โดยทั่วไปแนะนำให้ผู้หญิงที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไปทำการตรวจนี้เป็นประจำทุก 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์
.
-การตรวจเลือดหา PSA (Prostate-Specific Antigen): ใช้สำหรับคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 50 ปี การตรวจนี้ช่วยในการหามะเร็งต่อมลูกหมากในระยะเริ่มต้น แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของความแม่นยำ ซึ่งอาจต้องพิจารณาร่วมกับการตรวจอื่นๆ
.
-การตรวจ CT สแกน (Low-dose CT Scan): ใช้สำหรับตรวจคัดกรองมะเร็งปอดในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นเวลานาน การตรวจนี้สามารถหามะเร็งปอดในระยะแรกเริ่ม ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาได้มากขึ้น
การตรวจ CT Scan สามารถค้นหามะเร็งชนิดใดได้บ้าง?
1. มะเร็งปอด: การตรวจ CT Scan แบบ low-dose สามารถค้นหามะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นได้
2. มะเร็งตับ: สามารถตรวจหาก้อนเนื้อหรือสิ่งผิดปกติในตับได้
3. มะเร็งตับอ่อน: CT Scan สามารถช่วยตรวจหาความผิดปกติในตับอ่อน
4. มะเร็งไต: ใช้ในการตรวจหาก้อนเนื้อที่ไต
5. มะเร็งลำไส้ใหญ่: สามารถใช้ CT Scan เพื่อตรวจหาความผิดปกติในลำไส้ใหญ่
6. มะเร็งในช่องท้อง: สามารถตรวจหามะเร็งที่อาจเกิดขึ้นในช่องท้องหรืออวัยวะต่างๆ
.
-การตรวจเลือดหา Marker มะเร็ง การตรวจนี้ใช้หาโปรตีนหรือสารเคมีที่ถูกปล่อยออกมาโดยเซลล์มะเร็ง เช่น การตรวจหา CEA สำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือการตรวจหา CA-125 สำหรับมะเร็งรังไข่ การตรวจนี้สามารถช่วยประเมินความเสี่ยงหรือเฝ้าติดตามการรักษา แต่ไม่ได้ใช้เป็นวิธีหลักในการตรวจคัดกรอง
.
เมื่อไหร่ที่ควรตรวจคัดกรองมะเร็ง?
-ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง: หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งชนิดที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการตรวจคัดกรองตั้งแต่อายุยังน้อยกว่าที่แนะนำสำหรับประชากรทั่วไป
-อายุที่กำหนดสำหรับการตรวจคัดกรองแต่ละชนิด: เช่น การตรวจแมมโมแกรมแนะนำสำหรับผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปี การส่องกล้องลำไส้ใหญ่แนะนำสำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
-ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง: เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นเวลานาน ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปอดด้วยการทำ CT สแกน
-ผู้ที่มีอาการผิดปกติ: หากมีอาการเช่น ก้อนเนื้อที่ผิดปกติ เลือดออกที่ไม่ทราบสาเหตุ หรือความผิดปกติอื่นๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจคัดกรอง
-การตรวจตามคำแนะนำของแพทย์: ผู้ที่มีความเสี่ยงเฉพาะทางหรือประวัติสุขภาพที่แพทย์เห็นว่าควรตรวจคัดกรอง ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
.
การมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งอาจทำให้คุณมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเป็นมะเร็งเสมอไป การตรวจคัดกรองและการดูแลสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการป้องกันได้
.
คำแนะนำเพิ่มเติม:
-อย่าตื่นตระหนก: การรู้ว่ามีความเสี่ยงช่วยให้คุณสามารถเตรียมตัวและดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น
-ปรึกษาแพทย์เสมอ: เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมในการดูแลตัวเอง
-อย่าละเลยความผิดปกติ: หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที
ถ้าที่บ้านมีคนเป็นมะเร็ง คิดหรือว่าไม่เสี่ยง? เช็คให้ดีก่อนที่จะมั่นใจ
.
สาเหตุที่คนในครอบครัวอาจเป็นมะเร็งเหมือนกัน
-พันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง:
*มะเร็งเต้านม มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมสูง หากมีประวัติในครอบครัว
*มะเร็งรังไข่: สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
*มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งชนิดนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม และอาจส่งต่อความเสี่ยงให้ลูกหลาน
*มะเร็งต่อมลูกหมาก: มะเร็งชนิดนี้ก็อาจมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ หากมีประวัติในครอบครัว
*มะเร็งตับอ่อน มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงทางพันธุกรรมบางประเภท
*มะเร็งกระเพาะอาหาร: หากมีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร อาจเพิ่มความเสี่ยงให้กับคนรุ่นหลัง
-ปัจจัยแวดล้อมและพฤติกรรม: คนในครอบครัวมักมีการใช้ชีวิตที่คล้ายกัน เช่น การกินอาหาร การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้เช่นกัน
.
ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?
-ชนิดของมะเร็ง: มะเร็งบางชนิดมีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมมากกว่าชนิดอื่นๆ
-อายุของผู้ป่วยในครอบครัว: หากมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุน้อย ความเสี่ยงจะยิ่งสูงขึ้น
-จำนวนสมาชิกในครอบครัวที่เป็นมะเร็ง: หากมีหลายคนในครอบครัวที่เป็นมะเร็ง ความเสี่ยงของคุณก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
-ความใกล้ชิดทางสายเลือด: ความเสี่ยงจะสูงขึ้นหากเป็นคนที่มีความใกล้ชิดทางสายเลือด เช่น พี่น้องหรือบุตรหลาน
.
วิธีลดความเสี่ยงเมื่อมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง
-ปรึกษาแพทย์: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงส่วนตัวและขอคำแนะนำเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองมะเร็ง
-ตรวจคัดกรองเป็นประจำ: การตรวจคัดกรองมะเร็งตามคำแนะนำของแพทย์ช่วยให้พบมะเร็งได้ในระยะแรก ซึ่งมีโอกาสรักษาหายสูง
-ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต: ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
-ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรม: หากมีความกังวลเรื่องพันธุกรรม อาจต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการตรวจพันธุกรรม
.
การตรวจคัดกรองมะเร็งมีกี่แบบ?
การตรวจคัดกรองมะเร็งมีหลายวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งและความเสี่ยงของแต่ละบุคคล ได้แก่:
-การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram): ใช้สำหรับตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปี การตรวจนี้สามารถตรวจหาก้อนเนื้อหรือสิ่งผิดปกติในเนื้อเยื่อเต้านมได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
.
-การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ใช้สำหรับตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ การตรวจนี้สามารถตรวจหาก้อนเนื้อที่อาจกลายเป็นมะเร็งในอนาคตและตัดออกได้ทันที
.
-การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear): ใช้สำหรับตรวจหาความผิดปกติในเซลล์ปากมดลูก เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก โดยทั่วไปแนะนำให้ผู้หญิงที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไปทำการตรวจนี้เป็นประจำทุก 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์
.
-การตรวจเลือดหา PSA (Prostate-Specific Antigen): ใช้สำหรับคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 50 ปี การตรวจนี้ช่วยในการหามะเร็งต่อมลูกหมากในระยะเริ่มต้น แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของความแม่นยำ ซึ่งอาจต้องพิจารณาร่วมกับการตรวจอื่นๆ
.
-การตรวจ CT สแกน (Low-dose CT Scan): ใช้สำหรับตรวจคัดกรองมะเร็งปอดในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นเวลานาน การตรวจนี้สามารถหามะเร็งปอดในระยะแรกเริ่ม ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาได้มากขึ้น
การตรวจ CT Scan สามารถค้นหามะเร็งชนิดใดได้บ้าง?
1. มะเร็งปอด: การตรวจ CT Scan แบบ low-dose สามารถค้นหามะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นได้
2. มะเร็งตับ: สามารถตรวจหาก้อนเนื้อหรือสิ่งผิดปกติในตับได้
3. มะเร็งตับอ่อน: CT Scan สามารถช่วยตรวจหาความผิดปกติในตับอ่อน
4. มะเร็งไต: ใช้ในการตรวจหาก้อนเนื้อที่ไต
5. มะเร็งลำไส้ใหญ่: สามารถใช้ CT Scan เพื่อตรวจหาความผิดปกติในลำไส้ใหญ่
6. มะเร็งในช่องท้อง: สามารถตรวจหามะเร็งที่อาจเกิดขึ้นในช่องท้องหรืออวัยวะต่างๆ
.
-การตรวจเลือดหา Marker มะเร็ง การตรวจนี้ใช้หาโปรตีนหรือสารเคมีที่ถูกปล่อยออกมาโดยเซลล์มะเร็ง เช่น การตรวจหา CEA สำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือการตรวจหา CA-125 สำหรับมะเร็งรังไข่ การตรวจนี้สามารถช่วยประเมินความเสี่ยงหรือเฝ้าติดตามการรักษา แต่ไม่ได้ใช้เป็นวิธีหลักในการตรวจคัดกรอง
.
เมื่อไหร่ที่ควรตรวจคัดกรองมะเร็ง?
-ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง: หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งชนิดที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการตรวจคัดกรองตั้งแต่อายุยังน้อยกว่าที่แนะนำสำหรับประชากรทั่วไป
-อายุที่กำหนดสำหรับการตรวจคัดกรองแต่ละชนิด: เช่น การตรวจแมมโมแกรมแนะนำสำหรับผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปี การส่องกล้องลำไส้ใหญ่แนะนำสำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
-ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง: เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นเวลานาน ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปอดด้วยการทำ CT สแกน
-ผู้ที่มีอาการผิดปกติ: หากมีอาการเช่น ก้อนเนื้อที่ผิดปกติ เลือดออกที่ไม่ทราบสาเหตุ หรือความผิดปกติอื่นๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจคัดกรอง
-การตรวจตามคำแนะนำของแพทย์: ผู้ที่มีความเสี่ยงเฉพาะทางหรือประวัติสุขภาพที่แพทย์เห็นว่าควรตรวจคัดกรอง ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
.
การมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งอาจทำให้คุณมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเป็นมะเร็งเสมอไป การตรวจคัดกรองและการดูแลสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการป้องกันได้
.
คำแนะนำเพิ่มเติม:
-อย่าตื่นตระหนก: การรู้ว่ามีความเสี่ยงช่วยให้คุณสามารถเตรียมตัวและดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น
-ปรึกษาแพทย์เสมอ: เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมในการดูแลตัวเอง
-อย่าละเลยความผิดปกติ: หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที