สวัสดีค่ะ
ใกล้จะช่วงเวลาสิ้นปีแล้ว ในปีนี้เรามีหนึ่งความฝัน (ขั้นต้น) ที่เราทำสำเร็จแล้วและอยากจะมาแชร์ให้ทุกคนฟังค่ะ
เราเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง มีพ่อแม่ที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงานที่สุจริตและทำงานหนัก เรามีความฝันว่าอยากไปเรียนต่อเมืองนอก พ่อบอกว่า มีหนทางเดียวคือต้องสอบชิงทุน ซึ่งเรานั้นก็หัวปานกลาง ยังคิดแบบงง ๆ ว่าจะสอบชิงทุนกับเขาได้อย่างไร เพราะชีวิตเรานั้น สอบติดแค่สองครั้ง คือตอนเข้าอนุบาล และมหาวิทยาลัย (เรื่องมันเศร้า 55)
ทีนี้พอเรียนจบ รู้สึกว่าฟ้าเปิดนิดหน่อย คนเก่ง ๆ อาจจะไปเรียนด้านอื่น ๆ หมดแล้ว พอมีทุน เราก็สมัครไปเรื่อย จนมาได้ทุนเรียนต่อจริง ๆ ซึ่งเราลองนับเงินดูแล้ว กลม ๆ เราน่าจะได้ทุนที่เขาส่งจนเรียนจบไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท
เราก็กลับมาทำงานที่ไทยหลังเรียนจบ และคิดในใจว่า ชีวิตนี้ก็อยากให้เงินคืนผู้คนมากกว่าที่ได้รับทุนไป (แม้มันจะยาก) แต่คิดว่า ถ้าคืน 1 ล้านแรกได้ เราคงจะรู้สึกว่ามันเป็นหมุดหมายที่ดี
เราเลยเริ่มบันทึกจากความตั้งใจ ว่าในแต่ละวันแต่ละเดือนแต่ละปี เราบริจาคเงินไปเท่าไหร่ ปีนี้ครบรอบ 10 ปีพอดีตั้งแต่บันทึก
มันครบ 1 ล้านบาทแล้วทุกท่าน !!!
เราดีใจมาก ๆ จากเรา…คนชนชั้นกลางที่แค่คิดจะมีเงินล้าน (ตอนเด็ก ๆ) มันดูห่างไกลตัวมาก เพราะงั้น การจะบริจาค 1 ล้านบาท มันยิ่งดูไกลตัวหนักเข้าไปอีก
ปีที่ 1 เราบริจาคเงิน 26,572 บาท
ปีที่ 2 เราบริจาคเงิน 23,363 บาท
ปีที่ 3 เราบริจาคเงิน 24,970 บาท
ปีที่ 4 เราบริจาคเงิน 46,864 บาท (ได้เลื่อนตำแหน่งเลยพอมีเงินเดือนมากขึ้น)
ปีที่ 5 เราบริจาคเงิน 87,882 บาท
ปีที่ 6 เราบริจาคเงิน 146,917 บาท (ได้ตำแหน่งเพิ่ม)
ปีที่ 7 เราบริจาคเงิน 181,556 บาท
ปีที่ 8 เราบริจาคเงิน 230,622 บาท
ปีที่ 9 เราบริจาคเงิน 210,200 บาท
ปีนี้ปีที่ 10 เราบริจาคเงิน > 200,000 บาทเรียบร้อย
เรารู้ว่า….การบริจาคเงิน เป็นการเสียสละที่ง่ายที่สุดแล้ว อย่างเวลาใครขอบริจาคเลือด เราเองก็ไม่กล้าบริจาคเพราะกลัวเจ็บ กลัวเป็นลม แต่กับเรื่องเงินเรารู้สึกว่ามันเป็นของนอกกายมาก ๆ เราไปปฎิบัติธรรมก็โอ้ยลำบากเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมดนานนานถึงจะได้ไปที ไปเป็นอาสาสมัครก็เป็นได้แบบแว๊บแว๊บ
ในแง่ของคุณค่าเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลยแม้แต่น้อย แค่ตัวเรานั้นสามารถสละความโลภได้ในระดับนึงเท่านั้น
ตอนเด็ก ๆ เคยคิดว่าถ้าเรารวยเราจะบริจาคเงินเยอะเยอะ ทำมูลนิธิ แต่มาถึงจุดนึง เราคิดว่า ชาตินี้เราคงไม่รวยอ่ะ ด้วยอาชีพการงานที่ทำ ไม่ทำให้รวย 100 ล้าน (เรานิยามความรวยแบบอเมริกันที่ตอนนี้จะปลอดภัยก็ต้อง > 5 ล้านเหรียญสหรัฐเสียแล้ว เกินจาก 1 ล้านเหรียญสมัยก่อน ๆ ไปมาก) เราก็เลยคิดว่า ถ้าจะรอให้รวย ทั้งชาติคงไม่ได้บริจาคเงิน ก็บริจาคเงินมันทั้งยังงั้นตั้งแต่ไม่รวยนี่แหละ
ต้องบอกว่าเงินบริจาคส่วนใหญ่ของเราไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งเราก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก
ทีนี้จะมาเล่าสิ่งที่ประทับใจถึงเรื่องการบริจาคต่าง ๆ
เราเคยเห็นน้องผู้พิการทางสายตา ใช้แล็ปท็อปที่เก่ามากๆ เราเลยตัดสินใจเดินทางไปห้างแล้วก็ซื้อแล็ปท็อปให้เขา (มีพี่อีก 2 คนช่วยออกเงินสมทบด้วย) แล้วเราก็ตัดสินใจไป surprise !! น้องที่หน้าหอ (เพราะพี่คุมหอเค้าไม่ให้เข้านั่นแหละฮ่าฮ่าเนื่องจากเป็นหอชาย) ตอนเราบอกจุดประสงค์ เค้าดีใจมาก เหมือนจะเต้น ๆ นิดหน่อย (โยกไปมา

) แล้วก็ส่งข้อความมาขอบคุณอีกที
เราเคยออกค่าตั๋วเครื่องบินให้น้องผู้พิการทางสายตาอีกสองคนได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้นเป็นโครงการขององค์กรนึงที่เค้ามาขอระดมทุน ขาดอีก 2 ที่นั่ง (ตั๋วลดครึ่งราคา) เราดีใจมาก ขออาสาเป็นเจ้าภาพ (อันนี้ได้ลดหย่อนภาษี แต่ไม่ใช่ประเด็น)
ตอนช่วงโควิด-19 ก็ระดมทุนทั้งตัวเอง ญาติ เพื่อน ผู้ร่วมงาน ทำโครงการบริจาคอาหาร แต่ไม่อยากให้ร้านค้าเดือดร้อน เลยเอาเงินไปให้ตามร้านค้า (แทนที่เราจะทำอาหารแจก เราเลือกที่จะมอบเงินให้ร้าน เพื่อให้เค้าขายได้) แล้วให้คนทานอาหารลงชื่อว่าทานไปกี่บาท ตอนนั้นมีน้องที่ได้ใช้บริการ แล้วคงไปถามว่าใครทำโครงการนี้ เขาก็ไปหาเบอร์จากไหนไม่รู้โทรมาขอบคุณ … เราดีใจมาก ๆ ที่โครงการได้ประโยชน์ ซึ่งเราทำโครงการนี้นานพอสมควร
ตอนช่วงน้ำท่วม ที่จังหวัดหนึ่ง เราก็บริจาคเงินฝากพี่ สส. เอาไปซื้อข้าวลงพื้นที่ให้ประชาชนที่ออกจากบ้านไม่ได้ (มีระดมทุนจากญาติและเพื่อนสมทบ) อันนี้เราแฮปปี้มาก เพราะมีคนคอมเมนต์ในเพจ สส. ว่าอาหารกล่องอร่อย
อีกโครงการนึง เราเห็นผู้ใหญ่ท่านนึงในองค์กร ใช้เงินประจำตำแหน่งซื้อขนมให้คนในหน่วยงาน เราก็เอามั่ง เลียนแบบ ทุก ๆ เดือน เราจะไป Go Wholesale (แต่ก่อนไปแมกมานามางึมมม แล้วก็ขยับเป็นสั่งออนไลน์แมกมานามางึมมม (นามสมมติ) ของไม่ครบนะจ๊ะ เราทวงแล้วทวงอีกไม่ได้ ลาขาด) ยืนยันว่า Go Wholesale สุดเริด สุดปัง แต่เราต้องไปเลือกเองเท่านั้น! (กลัวซ้ำรอยแมกมานามางึม) เราใช้เงินประมาณ 1/3 จนถึง 1/2 ของเงินประจำตำแหน่งมาซื้อขนม เค้าอยากทานอะไรเราก็ฝากน้อง ๆ ให้สั่ง ๆ กันมา แต่จะไปซื้อแค่ที่เดียวนะ ถ้าสั่งอะไรแปลก ๆ อาจไม่มีขาย ข้อดีก็คือว่าทุกคนก็มีความสุขได้กินสิ่งที่อยากกิน ข้อเสียคือมีน้องที่มีอาการบวมน้ำเพราะโซเดียม T_T ซึ่งเป็นผลจากโครงการเราด้วยส่วนนึง
พอจัดขนมให้กับคนในองค์กร เราก็ได้ฤกษ์จัดขนมให้กับผู้ปฏิบัติธรรม พยายามจะไปให้ได้ทุกเดือน (สถานที่ปฏิบัติธรรมนี้ห่างจากบ้าน 1 ชม)
พูดถึงเรื่องขนม เคยชอบพาลูกของน้องแม่บ้านที่ทำงานไปซื้อขนม จนน้องเค้าไม่ได้ทำงานที่หน่วยงานเรา แต่ลูกเขาบวชเณร เขาก็ส่งจดหมายเชิญ ประทับใจมาก ๆ

อีกทั้งน้องแม่บ้านน่ารักมาก ๆ เราเอ็นดูเขา เขาเคยทำมือถือที่ซื้อใหม่หาย เราจะเปลี่ยนไอโฟน 6 สมัยนั้นพอดี เลยยกให้ไป น้องแม่บ้านไม่โกรธคนขโมย มองแง่ดีมาก ๆ บอกว่าเขาคงจำเป็นต้องใช้ เอาไปเถอะ T_T
เล่ามาทั้งหมด เพื่อจะบอกว่า บทเรียนของเรา คือความสบายใจมาก ๆ

แม้มันจะไม่ได้มีแค่เรื่องบวก เรื่องลบก็มี เช่น เราอาจจะทำเกินหน้าที่ของตัวเอง (จนมีคนตั้งคำถาม) แต่เราเห็นว่า สิ่งที่เราทำอาจจะมีประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์ (แก่คนอื่น ๆ)
ทั้งนี้ เรายังมีความโลภ โกรธ หลง (โดยเฉพาะโลภ และโกรธ เพราะธรรมชาติเราหงุดหงิดง่ายมาก) แต่การสละเงินเดือนตัวเองในทุก ๆ เดือน มันทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย โล่ง สบายใจ บางครั้งเราตั้งคำถามว่าเราพร้อมจะสละเงินก้อนนี้ไหม เราบริจาคเงินแล้วมันจะทำให้ชีวิตเราดีหรือแย่ไหม ได้คำตอบว่า ก็ไม่ขนาดนั้น เราก็จะค่อย ๆ กดโอนเงิน / เดินทางไปซื้อของ - มอบของ เรามีธงของเราว่าเราจะให้เรื่องการศึกษา เด็ก สตรี คนชรา ผู้ประสบภัยจากเหตุต่างๆ (เช่น อุทกภัย) ให้กับคนที่เรารู้จัก เช่น น้องผู้พิการทางสายตา หน่วยงานที่เราทำงาน หรือองค์กรที่ตรวจสอบได้
ในมิติทางเศรษฐศาสตร์เราก็ถือว่าการบริจาคแบบนี้มันก็เป็นการเห็นแก่ตัวอยู่ดีคือเราทำเพื่อความสบายใจของตัวเราเองอันนี้ไม่เถียงเลย 100% เต็มเต็ม
เราไม่ใช่คนดีเด่อะไร (เพราะโลภ โกรธ หลง ยังมีมาก) แต่เราอยากจะบอกทุกท่านว่า เราค้นพบความสุขที่แท้จริงนะ ที่มันใหญ่กว่าการได้เปย์ตัวเอง ไม่ได้อยากเชิญชวนอะไร แต่อยากขอให้ทุกท่านได้มีโอกาสค้นหาสิ่งที่ท่านทำแล้วมันมีประโยชน์กับคนอื่น … เราคิดว่าสิ่งนี้มันคือความสุข (จริง ๆ นะ)
ป.ล. ผลที่ได้แบบงง ๆ คือ เห็นแบบนี้ เรามีเงินเก็บทุกปีนะ แล้วช่วงไหนจะไม่รอด ๆ (คือพอเงินเดือนออก เราจะหักเข้ากองทุนก่อนเลยอัตโนมัติ PVD เต็ม ๆ) ชอบมีงานงอก (รายได้เสริมจากการทำงาน) มาแบบงง ๆ ฟีลเหมือนมีคนบริจาคงานเสริมให้เราโดยไม่ต้องหางานเอง เริดมากแม่ ♥️
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการบริจาคเงินรวมกันเกิน 1 ล้านบาท (ในรอบ 10 ปี)
ใกล้จะช่วงเวลาสิ้นปีแล้ว ในปีนี้เรามีหนึ่งความฝัน (ขั้นต้น) ที่เราทำสำเร็จแล้วและอยากจะมาแชร์ให้ทุกคนฟังค่ะ
เราเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง มีพ่อแม่ที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงานที่สุจริตและทำงานหนัก เรามีความฝันว่าอยากไปเรียนต่อเมืองนอก พ่อบอกว่า มีหนทางเดียวคือต้องสอบชิงทุน ซึ่งเรานั้นก็หัวปานกลาง ยังคิดแบบงง ๆ ว่าจะสอบชิงทุนกับเขาได้อย่างไร เพราะชีวิตเรานั้น สอบติดแค่สองครั้ง คือตอนเข้าอนุบาล และมหาวิทยาลัย (เรื่องมันเศร้า 55)
ทีนี้พอเรียนจบ รู้สึกว่าฟ้าเปิดนิดหน่อย คนเก่ง ๆ อาจจะไปเรียนด้านอื่น ๆ หมดแล้ว พอมีทุน เราก็สมัครไปเรื่อย จนมาได้ทุนเรียนต่อจริง ๆ ซึ่งเราลองนับเงินดูแล้ว กลม ๆ เราน่าจะได้ทุนที่เขาส่งจนเรียนจบไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท
เราก็กลับมาทำงานที่ไทยหลังเรียนจบ และคิดในใจว่า ชีวิตนี้ก็อยากให้เงินคืนผู้คนมากกว่าที่ได้รับทุนไป (แม้มันจะยาก) แต่คิดว่า ถ้าคืน 1 ล้านแรกได้ เราคงจะรู้สึกว่ามันเป็นหมุดหมายที่ดี
เราเลยเริ่มบันทึกจากความตั้งใจ ว่าในแต่ละวันแต่ละเดือนแต่ละปี เราบริจาคเงินไปเท่าไหร่ ปีนี้ครบรอบ 10 ปีพอดีตั้งแต่บันทึก
มันครบ 1 ล้านบาทแล้วทุกท่าน !!!
เราดีใจมาก ๆ จากเรา…คนชนชั้นกลางที่แค่คิดจะมีเงินล้าน (ตอนเด็ก ๆ) มันดูห่างไกลตัวมาก เพราะงั้น การจะบริจาค 1 ล้านบาท มันยิ่งดูไกลตัวหนักเข้าไปอีก
ปีที่ 1 เราบริจาคเงิน 26,572 บาท
ปีที่ 2 เราบริจาคเงิน 23,363 บาท
ปีที่ 3 เราบริจาคเงิน 24,970 บาท
ปีที่ 4 เราบริจาคเงิน 46,864 บาท (ได้เลื่อนตำแหน่งเลยพอมีเงินเดือนมากขึ้น)
ปีที่ 5 เราบริจาคเงิน 87,882 บาท
ปีที่ 6 เราบริจาคเงิน 146,917 บาท (ได้ตำแหน่งเพิ่ม)
ปีที่ 7 เราบริจาคเงิน 181,556 บาท
ปีที่ 8 เราบริจาคเงิน 230,622 บาท
ปีที่ 9 เราบริจาคเงิน 210,200 บาท
ปีนี้ปีที่ 10 เราบริจาคเงิน > 200,000 บาทเรียบร้อย
เรารู้ว่า….การบริจาคเงิน เป็นการเสียสละที่ง่ายที่สุดแล้ว อย่างเวลาใครขอบริจาคเลือด เราเองก็ไม่กล้าบริจาคเพราะกลัวเจ็บ กลัวเป็นลม แต่กับเรื่องเงินเรารู้สึกว่ามันเป็นของนอกกายมาก ๆ เราไปปฎิบัติธรรมก็โอ้ยลำบากเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมดนานนานถึงจะได้ไปที ไปเป็นอาสาสมัครก็เป็นได้แบบแว๊บแว๊บ
ในแง่ของคุณค่าเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลยแม้แต่น้อย แค่ตัวเรานั้นสามารถสละความโลภได้ในระดับนึงเท่านั้น
ตอนเด็ก ๆ เคยคิดว่าถ้าเรารวยเราจะบริจาคเงินเยอะเยอะ ทำมูลนิธิ แต่มาถึงจุดนึง เราคิดว่า ชาตินี้เราคงไม่รวยอ่ะ ด้วยอาชีพการงานที่ทำ ไม่ทำให้รวย 100 ล้าน (เรานิยามความรวยแบบอเมริกันที่ตอนนี้จะปลอดภัยก็ต้อง > 5 ล้านเหรียญสหรัฐเสียแล้ว เกินจาก 1 ล้านเหรียญสมัยก่อน ๆ ไปมาก) เราก็เลยคิดว่า ถ้าจะรอให้รวย ทั้งชาติคงไม่ได้บริจาคเงิน ก็บริจาคเงินมันทั้งยังงั้นตั้งแต่ไม่รวยนี่แหละ
ต้องบอกว่าเงินบริจาคส่วนใหญ่ของเราไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งเราก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก
ทีนี้จะมาเล่าสิ่งที่ประทับใจถึงเรื่องการบริจาคต่าง ๆ
เราเคยเห็นน้องผู้พิการทางสายตา ใช้แล็ปท็อปที่เก่ามากๆ เราเลยตัดสินใจเดินทางไปห้างแล้วก็ซื้อแล็ปท็อปให้เขา (มีพี่อีก 2 คนช่วยออกเงินสมทบด้วย) แล้วเราก็ตัดสินใจไป surprise !! น้องที่หน้าหอ (เพราะพี่คุมหอเค้าไม่ให้เข้านั่นแหละฮ่าฮ่าเนื่องจากเป็นหอชาย) ตอนเราบอกจุดประสงค์ เค้าดีใจมาก เหมือนจะเต้น ๆ นิดหน่อย (โยกไปมา
เราเคยออกค่าตั๋วเครื่องบินให้น้องผู้พิการทางสายตาอีกสองคนได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้นเป็นโครงการขององค์กรนึงที่เค้ามาขอระดมทุน ขาดอีก 2 ที่นั่ง (ตั๋วลดครึ่งราคา) เราดีใจมาก ขออาสาเป็นเจ้าภาพ (อันนี้ได้ลดหย่อนภาษี แต่ไม่ใช่ประเด็น)
ตอนช่วงโควิด-19 ก็ระดมทุนทั้งตัวเอง ญาติ เพื่อน ผู้ร่วมงาน ทำโครงการบริจาคอาหาร แต่ไม่อยากให้ร้านค้าเดือดร้อน เลยเอาเงินไปให้ตามร้านค้า (แทนที่เราจะทำอาหารแจก เราเลือกที่จะมอบเงินให้ร้าน เพื่อให้เค้าขายได้) แล้วให้คนทานอาหารลงชื่อว่าทานไปกี่บาท ตอนนั้นมีน้องที่ได้ใช้บริการ แล้วคงไปถามว่าใครทำโครงการนี้ เขาก็ไปหาเบอร์จากไหนไม่รู้โทรมาขอบคุณ … เราดีใจมาก ๆ ที่โครงการได้ประโยชน์ ซึ่งเราทำโครงการนี้นานพอสมควร
ตอนช่วงน้ำท่วม ที่จังหวัดหนึ่ง เราก็บริจาคเงินฝากพี่ สส. เอาไปซื้อข้าวลงพื้นที่ให้ประชาชนที่ออกจากบ้านไม่ได้ (มีระดมทุนจากญาติและเพื่อนสมทบ) อันนี้เราแฮปปี้มาก เพราะมีคนคอมเมนต์ในเพจ สส. ว่าอาหารกล่องอร่อย
อีกโครงการนึง เราเห็นผู้ใหญ่ท่านนึงในองค์กร ใช้เงินประจำตำแหน่งซื้อขนมให้คนในหน่วยงาน เราก็เอามั่ง เลียนแบบ ทุก ๆ เดือน เราจะไป Go Wholesale (แต่ก่อนไปแมกมานามางึมมม แล้วก็ขยับเป็นสั่งออนไลน์แมกมานามางึมมม (นามสมมติ) ของไม่ครบนะจ๊ะ เราทวงแล้วทวงอีกไม่ได้ ลาขาด) ยืนยันว่า Go Wholesale สุดเริด สุดปัง แต่เราต้องไปเลือกเองเท่านั้น! (กลัวซ้ำรอยแมกมานามางึม) เราใช้เงินประมาณ 1/3 จนถึง 1/2 ของเงินประจำตำแหน่งมาซื้อขนม เค้าอยากทานอะไรเราก็ฝากน้อง ๆ ให้สั่ง ๆ กันมา แต่จะไปซื้อแค่ที่เดียวนะ ถ้าสั่งอะไรแปลก ๆ อาจไม่มีขาย ข้อดีก็คือว่าทุกคนก็มีความสุขได้กินสิ่งที่อยากกิน ข้อเสียคือมีน้องที่มีอาการบวมน้ำเพราะโซเดียม T_T ซึ่งเป็นผลจากโครงการเราด้วยส่วนนึง
พอจัดขนมให้กับคนในองค์กร เราก็ได้ฤกษ์จัดขนมให้กับผู้ปฏิบัติธรรม พยายามจะไปให้ได้ทุกเดือน (สถานที่ปฏิบัติธรรมนี้ห่างจากบ้าน 1 ชม)
พูดถึงเรื่องขนม เคยชอบพาลูกของน้องแม่บ้านที่ทำงานไปซื้อขนม จนน้องเค้าไม่ได้ทำงานที่หน่วยงานเรา แต่ลูกเขาบวชเณร เขาก็ส่งจดหมายเชิญ ประทับใจมาก ๆ
เล่ามาทั้งหมด เพื่อจะบอกว่า บทเรียนของเรา คือความสบายใจมาก ๆ
ทั้งนี้ เรายังมีความโลภ โกรธ หลง (โดยเฉพาะโลภ และโกรธ เพราะธรรมชาติเราหงุดหงิดง่ายมาก) แต่การสละเงินเดือนตัวเองในทุก ๆ เดือน มันทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย โล่ง สบายใจ บางครั้งเราตั้งคำถามว่าเราพร้อมจะสละเงินก้อนนี้ไหม เราบริจาคเงินแล้วมันจะทำให้ชีวิตเราดีหรือแย่ไหม ได้คำตอบว่า ก็ไม่ขนาดนั้น เราก็จะค่อย ๆ กดโอนเงิน / เดินทางไปซื้อของ - มอบของ เรามีธงของเราว่าเราจะให้เรื่องการศึกษา เด็ก สตรี คนชรา ผู้ประสบภัยจากเหตุต่างๆ (เช่น อุทกภัย) ให้กับคนที่เรารู้จัก เช่น น้องผู้พิการทางสายตา หน่วยงานที่เราทำงาน หรือองค์กรที่ตรวจสอบได้
ในมิติทางเศรษฐศาสตร์เราก็ถือว่าการบริจาคแบบนี้มันก็เป็นการเห็นแก่ตัวอยู่ดีคือเราทำเพื่อความสบายใจของตัวเราเองอันนี้ไม่เถียงเลย 100% เต็มเต็ม
เราไม่ใช่คนดีเด่อะไร (เพราะโลภ โกรธ หลง ยังมีมาก) แต่เราอยากจะบอกทุกท่านว่า เราค้นพบความสุขที่แท้จริงนะ ที่มันใหญ่กว่าการได้เปย์ตัวเอง ไม่ได้อยากเชิญชวนอะไร แต่อยากขอให้ทุกท่านได้มีโอกาสค้นหาสิ่งที่ท่านทำแล้วมันมีประโยชน์กับคนอื่น … เราคิดว่าสิ่งนี้มันคือความสุข (จริง ๆ นะ)
ป.ล. ผลที่ได้แบบงง ๆ คือ เห็นแบบนี้ เรามีเงินเก็บทุกปีนะ แล้วช่วงไหนจะไม่รอด ๆ (คือพอเงินเดือนออก เราจะหักเข้ากองทุนก่อนเลยอัตโนมัติ PVD เต็ม ๆ) ชอบมีงานงอก (รายได้เสริมจากการทำงาน) มาแบบงง ๆ ฟีลเหมือนมีคนบริจาคงานเสริมให้เราโดยไม่ต้องหางานเอง เริดมากแม่ ♥️