สวัสดีทุกคนจ้า หลังจากหายหัวไปนานเราขอกลับมา สรุปความเปลี่ยนแปลงของตลาดบ้านนอก แบบด่วนๆ ที่ด่วนเพราะตอนนี้เหมือนหลายตลาดหลายพื้นที่ กำลังวิกฤตจริงๆ ลองสังเกตุดูบางตลาดที่เคยคึกคักมาก ตอนนี้ ได้ตายไปแล้ว หรือไม่ก็เป็นตลาดที่มีแต่คนขาย แต่หาคนซื้อไม่เจอ ขับรถผ่านไปอย่างกับเมืองผีสิง คำถามคือมันเกิดอะไรขึ้น?
เราเองก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่อยากชวนทุกคนร่วมกันหาสาเหตุ เผื่อการ Brain Strom ด้วยกันครั้งนี้จะช่วยให้สถานการณ์ ตลาดบ้านนอกดีขึ้นค่ะ เราขอแชร์สิ่งที่เราตั้งข้อสังเกตุปัจจัยต่างๆของปัญหา ดังนี้ค่ะ
1. หลัง โควิท ไฟแนนซ์ปล่อยสินเชื่อรถยนต์ง่ายมากๆ
ก่อนโควิท ลูกน้องของเรา(ฐานเงินเดือน 11,000 - 16,000) ขับรถมอเตอร์ไซด์มาทำงานกันทุกคน แต่พอหลังโควิท ทุกคนผ่อนรถกระบะ มือสอง กันทุกคน เรียกได้ว่าลูกน้องเรา 4 คนขับกระบะมาทำงานกันทุกคน จนร้านเราที่จอดรถแทบจะไม่พอ แล้วทีนี้ ลองนึกภาพ หนุ่มๆกลุ่มนี้ไปซื้อข้าวซื้อของหลังเลิกงาน หรือ วันหยุด แทนที่จะขับมอเตอร์ไซด์กันไปเหมือนเก่าก่อน ตอนนี้ก็ต้องขับรถกระบะกันไป ปัญหาที่ตามมาคือ "ไม่มีที่จอดรถ!!!" ที่นี้ ถึงอยากซื้อแค่ไหน ก็แพ้ความไม่สะดวก สุดท้ายเลยเปลี่ยนพฤติกรรม เป็น ไปจับจ่ายใช้สอยในที่ๆสะดวกมากขึ้นคือ 1. 7 โมเดลใหม่ ที่มีที่จอดรถด้านหน้า 2. Cj ที่มีที่จอดรถด้านหน้า 3.mr.diy ที่มีที่จอดรถ 4.โลตัส 5.ร้านค้าขนาดใหญ่ ที่มีที่จอดสะดวกสบาย
นี่เรายกตัวอย่างถึงแค่ลูกน้องของเรา 4 คน แต่เราเคยอ่านข่าวเจอว่า หลังจากโควิท เราขายรถกันในประเทศถึงเกือบ 1,000,000 คันในปีเดียว!!!! แล้วร้านค้าห้องแถวแบบเดิมๆ จะเอาพื้นที่ที่ไหนให้ลูกค้าจอดแวะซื้อของ? แถมบางร้านยังเอาข้าวเอาของไปกั้นที่จอดรถหน้าร้านอีก หรือบางร้านขายดีลูกค้าเยอะก็ไปจอดบังร้านอื่นๆ เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันอีก จากปัญหานี้น่าจะนำไปสู่ การขาย การเซ้งตึกแถว มากที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมาเลยค่ะ
ทีนี้ บริษัทใหญ่ๆเขามองการไกล มองพฤติกรรมของผู้บริโภคออกมานานกว่า 3 ปีแล้ว 7 ก็ทยอยออกจากตึกแถว ไปอยู่พื้นที่ใหม่ที่มีพื้นที่กว้างขึ้นกันแล้ว
แล้วพวกเราหล่ะ?จะทำอย่างไงกับตึกแถว ที่เราอยู่?ค้าขายมานาน? บางคนเซ้ง บางคนขาย บางคนทุบตึกออกให้เป็นพื้นที่โล่งกว้าง เพื่อรอ modern trade มาเช่าพื้นที่
แต่ถ้าใครที่กำลังคิดจะเปิดกิจการใหม่ หรือ ขยายสาขา หรือกำลังพัฒนาพื้นที่ จงอย่าสร้างตึกแถวติดถนน เด็ดขาด (โปรดสร้างให้มีที่จอดรถได้ด้านหน้า) ไม่งั้นอาจจะได้สร้างบ้านพิราบแทนสร้างกิจการ
2.เทรนสินค้าเปลี่ยนไวเกินไป จนร้านค้าหมุนสินค้าตามเทรนไม่ทัน
หลายร้านพยายามอย่างมากที่จะตามกระแส พยายามหาสินค้ามาให้ทันความต้องการของลูกค้า จากที่เคยฟังแม่บ้านเราเล่าให้ฟัง ว่าเมื่อก่อนตอนสาวๆ เขาฮิตใส่กางเกงขาม้ากัน ซึ่งเมื่อก่อนกระแส กางเกงขาม้าอยู่ยาวเป็นปี ทำให้แม่ค้าพ่อค้ามีเวลาสต็อกมีเวลาขายนานพอ แต่ตอนนี้ทุกอย่างไวมากเกินไป สินค้าต่างๆที่เอามาขายพร้อมติดมือ พร้อมอยู่กันยาวๆ สต็อกบวมแล้วบวมอีก เอาออกมาขายขาดทุน ยังขายไม่ได้ ทุนจมแล้วจมต่อ และจมตลอดไป จนในที่สุดไปต่อไม่ไหว ได้แต่ขายไปวันๆ เช้ามาเปิดร้าน ต่อด้วยนอนรอลูกค้าไปดูทีวีไป เล่นติ๊กตอกไป รอลูกค้าไปเรื่อยๆ กินทุนเก่าไปวันๆ ( ตอนนี้กล่องจุ่ม ก็ต้องลุ้นตุ้มๆต่อม แต่บุญบาปเมื่อวานน้อง ลิซ่า รีวิว ลง Vanity Fair แล้วคงได้ต่อลมหายใจ ไปอีกสักเดือน)
3.ลูกค้าตาย
อย่าด่าเรานะ แต่เราพูดจริงๆ ในตลาดดั้งเดิม ก็ขายมายาวนานแบบดั้งเดิม จัดร้านแบบเดิม ลูกค้าขาประจำคนเดิมๆ(ลูกค้าผู้สูงอายุ กลุ่ม Gen X และ Babyboomer กลุ่มนี้จะซื้อของแต่กับร้านค้าเดิมๆ ยกตัวอย่างคือป๋าของเรา เอง เวลาป๋าเราไปซื้อของ ป๋าจะมีร้านเฉพาะมากๆ เช่น ของไหว้เจ้าต้องร้านนี้เท่านั้น ก๋วยเตี๋ยวก็จะมีร้านประจำอยู่ 5 ร้านเท่านั้น ทองคำก็ต้องซื้อร้านนี้ ยาก็ต้องซื้อได้แค่ร้านนั้น เหมือนจะเป็นแผนผังลายแทง ที่ต้องไปเก็บแต้มตามเส้นทางเดิมๆจริงๆค่ะ ^^ )
ดังนั้น ทั้งคนขาย คนซื้อ เติมโตมาด้วยกันและแก่ไปด้วยกัน ร้านค้าเหล่านี้จึงไม่เคยคิดที่จะขายหรือทำการตลาดกับลูกค้ารุ่นใหม่ ๆที่กำลังเข้ามามีกำลังซื้อแทนกลุ่มเก่าเลย และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด 3 ปีมานี้ ผู้สูงอายุเสียชีวิตกันเยอะมากๆ เราขอยกตัวอย่าง ประสบการณ์ตรง จากกิจการของแม่ของเราเอง ที่ขายแบบเดิม กับกลุ่มลูกค้าเดิมๆ ที่ซื้อขายกันมา 30 ปี แม่รักลูกค้ากลุ่มนี้มากๆ เป็นลูกค้าที่ซื้อเยอะ ซื้อประจำ รักกัน มายาวนาน แต่3 ปีนี้ ลูกค้าประจำกลุ่มนี้ทยอยเสียชีวิตไป ไม่ต่ำกว่า 20 ราย แม่เราเศร้ามาก เพราะเป็นทั้งเพื่อนทั้งลูกค้า และเมื่อ เขาตายไป แน่นอน ยอดขายแม่ก็ตกลงเรื่อยๆอย่างมากเช่นกัน เพราะ ลูกๆของลูกค้าก็ไม่เลือกที่จะซื้อเรา เพราะร้านเราก็ไม่ใช่รสนิยม และไม่ใช่เทรนที่เขาอิน เราคิดว่านี่ก็อาจเป็นสาเหตุนึงเลยที่ทำให้ตลาดเก่าๆเงียบลงเรื่อยๆ เพราะจากเรามองตัวเราเองถ้าป๋าไม่พาไปซื้อเราก็ขี้เกียจจอดรถหลายที่ เราชอบที่จะแวะจะจอดรถที่เดียวแล้วซื้อข้าวซื้อของได้ครบมากกว่า
( บทเรียนนี้ ทำให้เรารู้ว่า อย่าเหนื่อยที่จะหาลูกค้าใหม่ และอย่ามองข้ามที่จะผูกสัมพันธ์กับเด็กวัยรุ่นรุ่นใหม่ และ อย่าไปคิดว่าจะเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะปรับปรุงร้านและสินค้าให้ลูกค้าเก่าก็ยังมีความสุขที่จะมา แล้วยังสามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้ามาด้วย )
4.มัวแต่ทะเลาะกันในครอบครัว
ทุกร้านค้าในบ้านนอกที่เป็นตลาดเก่าแก่นั้น ล้วนเป็นธุรกิจครอบครัวทั้งงั้น ลักษณะคือพ่อแม่สร้างธุรกิจขึ้นมา ส่งลูกไปเรียน เรียนจบกลับมาช่วยพ่อแม่ ทำกิจการต่อ ถามว่าปัญหาอยู่ตรงไหน บอกเลยว่าคือทุกจุด 55555+ เชื่อได้เลยวันๆแทบไม่ได้พัฒนาการค้าการขาย เพราะมัวทะเลาะกัน ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ พูดง่ายๆหายใจแรงยังทะเลาะกัน
*พ่อกับแม่ก็มีวิธีการทำงานในแบบฉบับของตัวเอง (เพราะทำแบบนี้ ถึงส่งเรียนจบมาได้เนี่ย เพราะฉนั้นมันเวิร์ค) เชื่อในเรื่องการทำงานหนักไม่เคยฆ่าใครตาย
* ลูกๆก็อยากปรับการทำงานให้ทันสมัย ให้มีเวลา worklife balance
แค่นี้ก็เถียงกันได้ทุกวัน ยังไม่นับมีเขยสะใภ้ มาช่วยเถียงอีก จนการค้าการขาย ทรงๆทรุดๆ จะทำโปรโมชั่น จะทำการตลาดอะไร ก็ไม่ทันกาล ทำไปทำมาจากครอบครัวที่เคยรักกัน กลายมาเป็นเกียจกันไปอีก หลายกิจการมากๆที่ทนความขัดแย้งไม่ไหว และเลือกที่จะปิดตัวไป เยอะมากๆ
(น้อยครอบครัวมากที่จะหาจุดลงตัวเจอ แต่ถ้าเจอแล้ว เจริญรุ่งเรืองแน่นอน)
5. 6 เดือนนรก
ไม่รู้สาเหตุมาจากอะไร แต่ตั้งแต่ มิถุนายน 67 มานี้ การค้าการขายเงียบหนักมาก ถึงแม้จากสถิติ ช่วงหน้าฝน ช่วงหน้าเข้าพรรษา เศรษฐกิจในต่างจังหวัดจะต้องชะลอตัวอยู่แล้วเป็นปกติ เพราะเป็นฤดูที่รอพืชผลเติบโต เลยไม่มีรายได้อะไรมาก ต้องรอจนถึง ตุลาคม ถึงจะเป็น ฤดูเก็บเกี่ยวที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่ปีนี้มันเงียบผิดปกติมาก เงียบจนบางวันอย่างกับเมืองร้าง ตอนแรกคิดว่าเงียบเฉพาะบ้านนอก แต่พอเห็นวิธีการจัดโปร แบบลดราคาบุฟเฟ่ในห้างจึงเข้าใจ เงียบทั่วถึงแน่นอน จึงเกิดภาวะ......."แข่งกันขายถูก" ยักษ์ใหญ่ในทุกภาคส่วน ต่างต้องการกระตุ้นยอดขาย เพื่อเอาตัวรอด จนต้องมาแข่งกันขายถูก ขายความคุ้มค่า ทั้งร้านอาหาร ร้านขายเนื้อหมู เนื้อไก่ ร้านขายส่ง ขายปลีก ปั๊มน้ำมัน หรือ แม้กระทั่ง รถยนต์ไฟฟ้า ต่างแย่งกันลดราคา เรียกยอดขายกันหนักมาก ข้อดีคือเงินเฟ้อยากขึ้น ของราคาถูกลง แต่ กับร้านค้า ที่ปรับตัวไม่ทัน ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน เจอเจ้าใหญ่ทุ่มตลาดเข้าไปแล้ว ลดต้นทุนตัวเองไม่ได้ กู้มาเยอะดอกเบี้ยแพง พนักงานเยอะ กำลังเข้าสู่ภาวะรอนับวันเจ๊ง เพราะ ต้นทุนสูงขึ้น กำไรน้อยลง ยอดขายน้อยลง ขาดทุนสะสมไปเรื่อยๆแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเพราะไม่ทำบัญชี รู้ตัวอีกทีเงินไม่พอซื้อของมาขาย ไม่พอจ่ายพนักงานแล้ว
6. รถยนต์ดูดกำลังซื้อ
ข้อนี้เราเอามาจากการสังเกตุลูกน้องที่เราเล่าในตอนต้น ว่ากำลังผ่อน กระบะกันคนละคัน ปัญหาคือ รถที่ผ่อนมาเป็น มือสอง ดังนั้นในปีที่ผ่านมา จึงพังกันไม่หยุดไม่หย่อน เด็กๆในบ้าน นอกจากจะต้องหาเงินผ่อนรถ เดือนละ 7000 บาท ค่าน้ำมัน เดือนละ 2500 บาท แล้วยังต้องผ่อนประกันภัย ผ่อนค่ายางรถยนต์ กันอีก เดือนๆนึงเหลือเงินกินเงินใช้กันแค่ 4000-5000 บาทต่อเดือน บางคันได้รถแต่งซิ่งมา รีมงรีแมบ อะไรไม่รู้ เครื่องพัง ต้องยกเครื่องใหม่อีก 60000 ก็ต้องทำเรื่องผ่อน พูดง่ายๆคือตั้งแต่ลูกน้องเราออกรถกระบะกันมาก็แทบไม่มีเงินเหลือ ไปซื้อเสื้อซื้อผ้า กันเลย ก่อนนี้ไปตลาดนัดกันที หอบของกินของใช้มาเป็นหอบๆ เดี๋ยวนี้ กินอยู่ประหยัดมาก ถึงมากที่สุด เพราะรถเอาเงินไปหมดแล้ว นี่อาจเป็นสาเหตุให้เกิด 6 เดือนนรกด้านบนก็ได้ หรือ เปล่าคะ?
7.กระแส สำเร็จง่ายๆไม่ยาก
คนGenY ที่กลับมารับช่วงต่อจากพ่อแม่ หลายคนทดท้อมาก เพราะนอกจากต้องมีปัญหากับพ่อแม่ พี่น้อง กับลูกน้อง ลูกค้า คู่แข่ง แล้ว กำไรที่ได้ยังต่ำเพราะการแข่งขันที่สูงสุดๆ แล้วพอมองไปรอบตัว ใน social media มีแต่คนสำเร็จง่ายๆ รวยมากๆ ทำให้ทดท้อใจในอาชีพ หลายคนก็หมดแรงหมดไฟ เลิกกิจการ ให้เซ้งตึก ปล่อยเช่า ขายตึก แล้วไปหาอะไรที่สำเร็จง่ายๆ รวยเร็วๆ ตามกระแส
8.ตลาดเกิดใหม่เพราะที่ดินและอสังหาแพงเกินไป
ในพื้นที่ตลาดเดิมๆที่คนเคยเยอะเคยขายดี ค่าเช่าที่ก็แพง พื้นที่ก็น้อย ตึกก็เก่า ทำให้คนที่จะเริ่มกิจการใหม่ๆในพื้นที่ตลาดเก่ามันต้นทุนสูงเกินไป ดังนั้นจึงเกิดชุมชนใหม่ๆขึ้นมาแทนที่ โดยในแต่ละร้านค้าสามารถมีพื้นที่กว้างๆ สร้างเป็นโกดังสินค้าได้ สบาย นึกภาพนะคะแทนที่เราจะซื้อห้องแถว 5 ล้านในตลาด เราสามารถไปซื้อที่ในตลาดเกิดใหม่ได้หลายไร่ แถมสร้างโกดังแล้วยังเหลือเงินลงของขายได้อีกในงบที่เท่ากัน พอเราใส่การตลาดเข้าไป และ ขายสินค้าราคาถูก กระแสลูกค้าก็จะตามมาเรื่อยๆ พอมีร้านค้าใหม่ๆมารวมกันเยอะๆ ก็กลายเป็นชุมชนใหม่ตลาดใหม่ ที่แย่งลูกค้ามาจากตลาดเก่าๆที่มีแต่ร้านค้าดั้งเดิม นั่นเอง ( อันนี้ต้องยอมใจความเก่งของคนหาทำเลของ 7 ค่ะ เขาหาพื้นที่ตลาดใหม่เจอเกือบทุกที่จริงๆ และจะตามมาด้วย cj และ mr.diy กลายเป็นว่าตลาดเกิดใหม่พวกนี้เป็น community mall ย่อมๆเลย ) แล้วทีนี้ตลาดเก่าๆคนขายก็เก่าๆ จะลุกขึ้นมาปรับมาแก้ หรือ จะรอวันเป็นตลาดร้าง?
ฝากเถ้าแก่บ้านนอกมาช่วยกันให้ข้อมูล หรือ แนะนำกันเยอะๆนะคะ เราเองอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง พัฒนาตลาดบ้านนอก ให้ก้าวทัน Modern trade ที่กำลังขยายสาขามาทุกหย่อมหญ้ามากๆ อยากให้พัฒนาอยู่ไปด้วยกันได้ค่ะ
^^
เถ้าแก่บ้านนอก จะรอดไหมเนี่ย?
เราเองก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่อยากชวนทุกคนร่วมกันหาสาเหตุ เผื่อการ Brain Strom ด้วยกันครั้งนี้จะช่วยให้สถานการณ์ ตลาดบ้านนอกดีขึ้นค่ะ เราขอแชร์สิ่งที่เราตั้งข้อสังเกตุปัจจัยต่างๆของปัญหา ดังนี้ค่ะ
1. หลัง โควิท ไฟแนนซ์ปล่อยสินเชื่อรถยนต์ง่ายมากๆ
ก่อนโควิท ลูกน้องของเรา(ฐานเงินเดือน 11,000 - 16,000) ขับรถมอเตอร์ไซด์มาทำงานกันทุกคน แต่พอหลังโควิท ทุกคนผ่อนรถกระบะ มือสอง กันทุกคน เรียกได้ว่าลูกน้องเรา 4 คนขับกระบะมาทำงานกันทุกคน จนร้านเราที่จอดรถแทบจะไม่พอ แล้วทีนี้ ลองนึกภาพ หนุ่มๆกลุ่มนี้ไปซื้อข้าวซื้อของหลังเลิกงาน หรือ วันหยุด แทนที่จะขับมอเตอร์ไซด์กันไปเหมือนเก่าก่อน ตอนนี้ก็ต้องขับรถกระบะกันไป ปัญหาที่ตามมาคือ "ไม่มีที่จอดรถ!!!" ที่นี้ ถึงอยากซื้อแค่ไหน ก็แพ้ความไม่สะดวก สุดท้ายเลยเปลี่ยนพฤติกรรม เป็น ไปจับจ่ายใช้สอยในที่ๆสะดวกมากขึ้นคือ 1. 7 โมเดลใหม่ ที่มีที่จอดรถด้านหน้า 2. Cj ที่มีที่จอดรถด้านหน้า 3.mr.diy ที่มีที่จอดรถ 4.โลตัส 5.ร้านค้าขนาดใหญ่ ที่มีที่จอดสะดวกสบาย
นี่เรายกตัวอย่างถึงแค่ลูกน้องของเรา 4 คน แต่เราเคยอ่านข่าวเจอว่า หลังจากโควิท เราขายรถกันในประเทศถึงเกือบ 1,000,000 คันในปีเดียว!!!! แล้วร้านค้าห้องแถวแบบเดิมๆ จะเอาพื้นที่ที่ไหนให้ลูกค้าจอดแวะซื้อของ? แถมบางร้านยังเอาข้าวเอาของไปกั้นที่จอดรถหน้าร้านอีก หรือบางร้านขายดีลูกค้าเยอะก็ไปจอดบังร้านอื่นๆ เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันอีก จากปัญหานี้น่าจะนำไปสู่ การขาย การเซ้งตึกแถว มากที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมาเลยค่ะ
ทีนี้ บริษัทใหญ่ๆเขามองการไกล มองพฤติกรรมของผู้บริโภคออกมานานกว่า 3 ปีแล้ว 7 ก็ทยอยออกจากตึกแถว ไปอยู่พื้นที่ใหม่ที่มีพื้นที่กว้างขึ้นกันแล้ว
แล้วพวกเราหล่ะ?จะทำอย่างไงกับตึกแถว ที่เราอยู่?ค้าขายมานาน? บางคนเซ้ง บางคนขาย บางคนทุบตึกออกให้เป็นพื้นที่โล่งกว้าง เพื่อรอ modern trade มาเช่าพื้นที่
แต่ถ้าใครที่กำลังคิดจะเปิดกิจการใหม่ หรือ ขยายสาขา หรือกำลังพัฒนาพื้นที่ จงอย่าสร้างตึกแถวติดถนน เด็ดขาด (โปรดสร้างให้มีที่จอดรถได้ด้านหน้า) ไม่งั้นอาจจะได้สร้างบ้านพิราบแทนสร้างกิจการ
2.เทรนสินค้าเปลี่ยนไวเกินไป จนร้านค้าหมุนสินค้าตามเทรนไม่ทัน
หลายร้านพยายามอย่างมากที่จะตามกระแส พยายามหาสินค้ามาให้ทันความต้องการของลูกค้า จากที่เคยฟังแม่บ้านเราเล่าให้ฟัง ว่าเมื่อก่อนตอนสาวๆ เขาฮิตใส่กางเกงขาม้ากัน ซึ่งเมื่อก่อนกระแส กางเกงขาม้าอยู่ยาวเป็นปี ทำให้แม่ค้าพ่อค้ามีเวลาสต็อกมีเวลาขายนานพอ แต่ตอนนี้ทุกอย่างไวมากเกินไป สินค้าต่างๆที่เอามาขายพร้อมติดมือ พร้อมอยู่กันยาวๆ สต็อกบวมแล้วบวมอีก เอาออกมาขายขาดทุน ยังขายไม่ได้ ทุนจมแล้วจมต่อ และจมตลอดไป จนในที่สุดไปต่อไม่ไหว ได้แต่ขายไปวันๆ เช้ามาเปิดร้าน ต่อด้วยนอนรอลูกค้าไปดูทีวีไป เล่นติ๊กตอกไป รอลูกค้าไปเรื่อยๆ กินทุนเก่าไปวันๆ ( ตอนนี้กล่องจุ่ม ก็ต้องลุ้นตุ้มๆต่อม แต่บุญบาปเมื่อวานน้อง ลิซ่า รีวิว ลง Vanity Fair แล้วคงได้ต่อลมหายใจ ไปอีกสักเดือน)
3.ลูกค้าตาย
อย่าด่าเรานะ แต่เราพูดจริงๆ ในตลาดดั้งเดิม ก็ขายมายาวนานแบบดั้งเดิม จัดร้านแบบเดิม ลูกค้าขาประจำคนเดิมๆ(ลูกค้าผู้สูงอายุ กลุ่ม Gen X และ Babyboomer กลุ่มนี้จะซื้อของแต่กับร้านค้าเดิมๆ ยกตัวอย่างคือป๋าของเรา เอง เวลาป๋าเราไปซื้อของ ป๋าจะมีร้านเฉพาะมากๆ เช่น ของไหว้เจ้าต้องร้านนี้เท่านั้น ก๋วยเตี๋ยวก็จะมีร้านประจำอยู่ 5 ร้านเท่านั้น ทองคำก็ต้องซื้อร้านนี้ ยาก็ต้องซื้อได้แค่ร้านนั้น เหมือนจะเป็นแผนผังลายแทง ที่ต้องไปเก็บแต้มตามเส้นทางเดิมๆจริงๆค่ะ ^^ )
ดังนั้น ทั้งคนขาย คนซื้อ เติมโตมาด้วยกันและแก่ไปด้วยกัน ร้านค้าเหล่านี้จึงไม่เคยคิดที่จะขายหรือทำการตลาดกับลูกค้ารุ่นใหม่ ๆที่กำลังเข้ามามีกำลังซื้อแทนกลุ่มเก่าเลย และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด 3 ปีมานี้ ผู้สูงอายุเสียชีวิตกันเยอะมากๆ เราขอยกตัวอย่าง ประสบการณ์ตรง จากกิจการของแม่ของเราเอง ที่ขายแบบเดิม กับกลุ่มลูกค้าเดิมๆ ที่ซื้อขายกันมา 30 ปี แม่รักลูกค้ากลุ่มนี้มากๆ เป็นลูกค้าที่ซื้อเยอะ ซื้อประจำ รักกัน มายาวนาน แต่3 ปีนี้ ลูกค้าประจำกลุ่มนี้ทยอยเสียชีวิตไป ไม่ต่ำกว่า 20 ราย แม่เราเศร้ามาก เพราะเป็นทั้งเพื่อนทั้งลูกค้า และเมื่อ เขาตายไป แน่นอน ยอดขายแม่ก็ตกลงเรื่อยๆอย่างมากเช่นกัน เพราะ ลูกๆของลูกค้าก็ไม่เลือกที่จะซื้อเรา เพราะร้านเราก็ไม่ใช่รสนิยม และไม่ใช่เทรนที่เขาอิน เราคิดว่านี่ก็อาจเป็นสาเหตุนึงเลยที่ทำให้ตลาดเก่าๆเงียบลงเรื่อยๆ เพราะจากเรามองตัวเราเองถ้าป๋าไม่พาไปซื้อเราก็ขี้เกียจจอดรถหลายที่ เราชอบที่จะแวะจะจอดรถที่เดียวแล้วซื้อข้าวซื้อของได้ครบมากกว่า
( บทเรียนนี้ ทำให้เรารู้ว่า อย่าเหนื่อยที่จะหาลูกค้าใหม่ และอย่ามองข้ามที่จะผูกสัมพันธ์กับเด็กวัยรุ่นรุ่นใหม่ และ อย่าไปคิดว่าจะเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะปรับปรุงร้านและสินค้าให้ลูกค้าเก่าก็ยังมีความสุขที่จะมา แล้วยังสามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้ามาด้วย )
4.มัวแต่ทะเลาะกันในครอบครัว
ทุกร้านค้าในบ้านนอกที่เป็นตลาดเก่าแก่นั้น ล้วนเป็นธุรกิจครอบครัวทั้งงั้น ลักษณะคือพ่อแม่สร้างธุรกิจขึ้นมา ส่งลูกไปเรียน เรียนจบกลับมาช่วยพ่อแม่ ทำกิจการต่อ ถามว่าปัญหาอยู่ตรงไหน บอกเลยว่าคือทุกจุด 55555+ เชื่อได้เลยวันๆแทบไม่ได้พัฒนาการค้าการขาย เพราะมัวทะเลาะกัน ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ พูดง่ายๆหายใจแรงยังทะเลาะกัน
*พ่อกับแม่ก็มีวิธีการทำงานในแบบฉบับของตัวเอง (เพราะทำแบบนี้ ถึงส่งเรียนจบมาได้เนี่ย เพราะฉนั้นมันเวิร์ค) เชื่อในเรื่องการทำงานหนักไม่เคยฆ่าใครตาย
* ลูกๆก็อยากปรับการทำงานให้ทันสมัย ให้มีเวลา worklife balance
แค่นี้ก็เถียงกันได้ทุกวัน ยังไม่นับมีเขยสะใภ้ มาช่วยเถียงอีก จนการค้าการขาย ทรงๆทรุดๆ จะทำโปรโมชั่น จะทำการตลาดอะไร ก็ไม่ทันกาล ทำไปทำมาจากครอบครัวที่เคยรักกัน กลายมาเป็นเกียจกันไปอีก หลายกิจการมากๆที่ทนความขัดแย้งไม่ไหว และเลือกที่จะปิดตัวไป เยอะมากๆ
(น้อยครอบครัวมากที่จะหาจุดลงตัวเจอ แต่ถ้าเจอแล้ว เจริญรุ่งเรืองแน่นอน)
5. 6 เดือนนรก
ไม่รู้สาเหตุมาจากอะไร แต่ตั้งแต่ มิถุนายน 67 มานี้ การค้าการขายเงียบหนักมาก ถึงแม้จากสถิติ ช่วงหน้าฝน ช่วงหน้าเข้าพรรษา เศรษฐกิจในต่างจังหวัดจะต้องชะลอตัวอยู่แล้วเป็นปกติ เพราะเป็นฤดูที่รอพืชผลเติบโต เลยไม่มีรายได้อะไรมาก ต้องรอจนถึง ตุลาคม ถึงจะเป็น ฤดูเก็บเกี่ยวที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่ปีนี้มันเงียบผิดปกติมาก เงียบจนบางวันอย่างกับเมืองร้าง ตอนแรกคิดว่าเงียบเฉพาะบ้านนอก แต่พอเห็นวิธีการจัดโปร แบบลดราคาบุฟเฟ่ในห้างจึงเข้าใจ เงียบทั่วถึงแน่นอน จึงเกิดภาวะ......."แข่งกันขายถูก" ยักษ์ใหญ่ในทุกภาคส่วน ต่างต้องการกระตุ้นยอดขาย เพื่อเอาตัวรอด จนต้องมาแข่งกันขายถูก ขายความคุ้มค่า ทั้งร้านอาหาร ร้านขายเนื้อหมู เนื้อไก่ ร้านขายส่ง ขายปลีก ปั๊มน้ำมัน หรือ แม้กระทั่ง รถยนต์ไฟฟ้า ต่างแย่งกันลดราคา เรียกยอดขายกันหนักมาก ข้อดีคือเงินเฟ้อยากขึ้น ของราคาถูกลง แต่ กับร้านค้า ที่ปรับตัวไม่ทัน ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน เจอเจ้าใหญ่ทุ่มตลาดเข้าไปแล้ว ลดต้นทุนตัวเองไม่ได้ กู้มาเยอะดอกเบี้ยแพง พนักงานเยอะ กำลังเข้าสู่ภาวะรอนับวันเจ๊ง เพราะ ต้นทุนสูงขึ้น กำไรน้อยลง ยอดขายน้อยลง ขาดทุนสะสมไปเรื่อยๆแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเพราะไม่ทำบัญชี รู้ตัวอีกทีเงินไม่พอซื้อของมาขาย ไม่พอจ่ายพนักงานแล้ว
6. รถยนต์ดูดกำลังซื้อ
ข้อนี้เราเอามาจากการสังเกตุลูกน้องที่เราเล่าในตอนต้น ว่ากำลังผ่อน กระบะกันคนละคัน ปัญหาคือ รถที่ผ่อนมาเป็น มือสอง ดังนั้นในปีที่ผ่านมา จึงพังกันไม่หยุดไม่หย่อน เด็กๆในบ้าน นอกจากจะต้องหาเงินผ่อนรถ เดือนละ 7000 บาท ค่าน้ำมัน เดือนละ 2500 บาท แล้วยังต้องผ่อนประกันภัย ผ่อนค่ายางรถยนต์ กันอีก เดือนๆนึงเหลือเงินกินเงินใช้กันแค่ 4000-5000 บาทต่อเดือน บางคันได้รถแต่งซิ่งมา รีมงรีแมบ อะไรไม่รู้ เครื่องพัง ต้องยกเครื่องใหม่อีก 60000 ก็ต้องทำเรื่องผ่อน พูดง่ายๆคือตั้งแต่ลูกน้องเราออกรถกระบะกันมาก็แทบไม่มีเงินเหลือ ไปซื้อเสื้อซื้อผ้า กันเลย ก่อนนี้ไปตลาดนัดกันที หอบของกินของใช้มาเป็นหอบๆ เดี๋ยวนี้ กินอยู่ประหยัดมาก ถึงมากที่สุด เพราะรถเอาเงินไปหมดแล้ว นี่อาจเป็นสาเหตุให้เกิด 6 เดือนนรกด้านบนก็ได้ หรือ เปล่าคะ?
7.กระแส สำเร็จง่ายๆไม่ยาก
คนGenY ที่กลับมารับช่วงต่อจากพ่อแม่ หลายคนทดท้อมาก เพราะนอกจากต้องมีปัญหากับพ่อแม่ พี่น้อง กับลูกน้อง ลูกค้า คู่แข่ง แล้ว กำไรที่ได้ยังต่ำเพราะการแข่งขันที่สูงสุดๆ แล้วพอมองไปรอบตัว ใน social media มีแต่คนสำเร็จง่ายๆ รวยมากๆ ทำให้ทดท้อใจในอาชีพ หลายคนก็หมดแรงหมดไฟ เลิกกิจการ ให้เซ้งตึก ปล่อยเช่า ขายตึก แล้วไปหาอะไรที่สำเร็จง่ายๆ รวยเร็วๆ ตามกระแส
8.ตลาดเกิดใหม่เพราะที่ดินและอสังหาแพงเกินไป
ในพื้นที่ตลาดเดิมๆที่คนเคยเยอะเคยขายดี ค่าเช่าที่ก็แพง พื้นที่ก็น้อย ตึกก็เก่า ทำให้คนที่จะเริ่มกิจการใหม่ๆในพื้นที่ตลาดเก่ามันต้นทุนสูงเกินไป ดังนั้นจึงเกิดชุมชนใหม่ๆขึ้นมาแทนที่ โดยในแต่ละร้านค้าสามารถมีพื้นที่กว้างๆ สร้างเป็นโกดังสินค้าได้ สบาย นึกภาพนะคะแทนที่เราจะซื้อห้องแถว 5 ล้านในตลาด เราสามารถไปซื้อที่ในตลาดเกิดใหม่ได้หลายไร่ แถมสร้างโกดังแล้วยังเหลือเงินลงของขายได้อีกในงบที่เท่ากัน พอเราใส่การตลาดเข้าไป และ ขายสินค้าราคาถูก กระแสลูกค้าก็จะตามมาเรื่อยๆ พอมีร้านค้าใหม่ๆมารวมกันเยอะๆ ก็กลายเป็นชุมชนใหม่ตลาดใหม่ ที่แย่งลูกค้ามาจากตลาดเก่าๆที่มีแต่ร้านค้าดั้งเดิม นั่นเอง ( อันนี้ต้องยอมใจความเก่งของคนหาทำเลของ 7 ค่ะ เขาหาพื้นที่ตลาดใหม่เจอเกือบทุกที่จริงๆ และจะตามมาด้วย cj และ mr.diy กลายเป็นว่าตลาดเกิดใหม่พวกนี้เป็น community mall ย่อมๆเลย ) แล้วทีนี้ตลาดเก่าๆคนขายก็เก่าๆ จะลุกขึ้นมาปรับมาแก้ หรือ จะรอวันเป็นตลาดร้าง?
ฝากเถ้าแก่บ้านนอกมาช่วยกันให้ข้อมูล หรือ แนะนำกันเยอะๆนะคะ เราเองอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง พัฒนาตลาดบ้านนอก ให้ก้าวทัน Modern trade ที่กำลังขยายสาขามาทุกหย่อมหญ้ามากๆ อยากให้พัฒนาอยู่ไปด้วยกันได้ค่ะ
^^