ไตรมาสนี้ บริษัท Wave ทำให้นักลงทุนพอใจชื่นขึ้นมานิดหน่อย...!!!!
หากเราสังเกตดี ๆ ไตรมาสนี้ WAVE ประกาศงบการเงินใน Q3-67 เร็วกว่าทุก ๆ ครั้ง แน่นอนว่าหากไม่มีอะไรดี ๆมาอวดนักลงทุน บริษัทก็น่าจะประกาศผลประกอบการเหมือนเดิม ก็คือวันสุดท้ายของกำหนดเวลาที่กลต.อนุญาต (แบบว่าต้องลุ้นว่างบ Q นี้จะออกทันหรือเปล่า 555)
ในไตรมาสนี้บริษัท รายงานผลกำไร 27.4 ล้านบาท หลัก ๆ ก็มาจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินของเจ้าหนี้ต่างประเทศที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ ประมาณ 312 ล้านบาท สาเหตุมาจากการแข็งค่าของค่าเงินบาท หากตัดรายการดังกล่าวออกไปบริษทจะมีกำไรสุทธินิดหน่อยไม่กี่ล้านบาทเท่านั้น สำหรับประเด็นนี้ ผลประกอบการของบริษัทก็จะผันผวนไปตามค่าเงินที่อ่อนหรือแข็งค่า จนกว่าจะชำระหนี้ก้อนนี้หมดครับ
หันมาดูงบการเงิน Q3-67 พบว่า รายได้หลักยังมาจากสถาบันสอนภาษา Wall Street เหมือนเดิม แต่ในส่วนรายได้จาก Carbon/Rec เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น คือ มีรายได้ในส่วนนี้เข้ามามากขึ้น จากเดิมหลักแสนบาท กลายเป็นหลักล้านบาท แต่ช่วงต้นคงเป็นค่าที่ปรึกษาสำหรับองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนองค์กรแบบเดิมไปสู่องค์กรแบบ Carbon Neutral อันนี้ผมคิดว่าเป็นทิศทางที่ดีสำหรับบริษัทครับ
ลองไปสำรวจ Stock Carbon/Rec กันดูบ้าง พบว่าปัจจุบัน ใน Q3-67 บริษัท มี Stock Carbon/Rec จำนวน 1,066 กว่าล้านบาท เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจาก Q2-67 ที่มีอยู่ประมาณ 715 กว่าล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 300 กว่าล้านบาทเลยทีเดียวครับ ตรงนี้บ่งบอกอะไรกับพวกเราครับ?
ตรงนี้บ่งบอกว่าบริษัทกำลังเตรียมตัวสำหรับธุรกิจ Carbon อย่างเต็มที่สำหรับปีหน้า 2568 เนื่องจากใกล้ครบกำหนดบังคับใช้ของกลุ่ม EU ในปี 2569 (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) ฉะนั้นบริษัทต่าง ๆ ที่ส่งออกไปยัง EU คงต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนกำหนดการบังคับใช้ดังกล่าว อาจนำมาซึ่งความต้องการ Carbon/Rec ที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ครับ
ด้าน CFO ใน Q3-67นี้ กลับมาติดลบอีกครั้ง ที่ -254 ลบ. ข้อนี้สร้างความกังวลใจให้นักลงทุนไม่มากก็น้อย เนื่องจากบริษัทพึ่งเพิ่มทุนไปเมื่อต้นปีนี้เอง แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ CFO เป็นบวกได้ เป็นไปได้ที่ว่าบริษัทยังอยู่ในช่วงของการลงทุนสำหรับธุรกิจใหม่ เงินมาเท่าไหร่ก็ใช้ไปหมด อันนี้พอเข้าใจได้ครับ
สำหรับขาดทุนสะสมในไตรมาสนี้ ลดลงมาอยู่ที่ -285 ลบ. แต่อาจเป็นการลดลงแบบชั่วคราว เนื่องจากกำไรไม่ได้มาจากธุรกิจหลักของบริษัท แต่เป็นการกำไรจากค่าเงิน ส่วน D/E RATIO ยังคงต่ำกว่า 1 เท่า ก็ยังปลอดภัยในแง่ของงบการเงินพอสมควรครับ นี่เป็นข้อมูลคร่าว ๆ รายละเอียดหมายเหตุประกอบงบ คงต้องให้เพื่อน ๆ ไปอ่านกันเองนะครับ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่นักลงทุนรอคอยกันอยู่ก็คือ การอนุมัติการออก Token สำหรับ Carbon Credit ผมไม่แน่ใจว่าจะออกทันไตรมาส 4 นี้หรือไม่ หากออกได้ทันจะเป็นตัวช่วยเสริมธุรกิจให้ดีขึ้นอย่างมีนัยยะ แต่หากอนุมัติไม่ทันปีนี้ ก็อาจส่งผลต่อผลประกอบการของปี 67 อย่างมีนัยยะเช่นเดียวกันครับ
ขอนอกเรื่องเป็นไปเรื่องของราคาหุ้นนิดหน่อย สำหรับราคาหุ้นที่ไม่เป็นไปตามผลประกอบการในช่วงนี้ ผมคิดว่าเจ้าอยู่ในช่วงอารมณ์แบบ “เก็บกด” 555 เก็บกดในที่นี้คือ เจ้าพยายเก็บหุ้นในช่วงนี้ให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ส่วนกดนั้น คือ เจ้าพยายามกดราคาหุ้นไว้ให้รายย่อยเบื่อหน่าย หรืออาจสร้างความกลัว เพื่อให้รายย่อยอย่างเรา ๆ ขายหุ้นออกไปครับ (เรื่องราคานี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ อย่าไปจริงจังมากนัก คาดเดาล้วน ๆ)
สรุปโดยรวม งบการเงินถือว่ายังพอรับได้ แม้จะมีกำไรแต่ก็เป็นกำไรที่ไม่ได้มาจากธุรกิจหลัก และยังมีชาดทุนสะสมจำนวนมาก สำหรับธุรกิจ New S-Curve ดูมีแนวโน้มที่ดีขึ้น นักลงทุนก็คงต้องคอยติดตามผลประกอบการของบริษัท Wave กันเป็นไตรมาส ๆ ไปครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
ดช.จุ่น
WAVE เกือบ WoW!
หากเราสังเกตดี ๆ ไตรมาสนี้ WAVE ประกาศงบการเงินใน Q3-67 เร็วกว่าทุก ๆ ครั้ง แน่นอนว่าหากไม่มีอะไรดี ๆมาอวดนักลงทุน บริษัทก็น่าจะประกาศผลประกอบการเหมือนเดิม ก็คือวันสุดท้ายของกำหนดเวลาที่กลต.อนุญาต (แบบว่าต้องลุ้นว่างบ Q นี้จะออกทันหรือเปล่า 555)
ในไตรมาสนี้บริษัท รายงานผลกำไร 27.4 ล้านบาท หลัก ๆ ก็มาจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินของเจ้าหนี้ต่างประเทศที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ ประมาณ 312 ล้านบาท สาเหตุมาจากการแข็งค่าของค่าเงินบาท หากตัดรายการดังกล่าวออกไปบริษทจะมีกำไรสุทธินิดหน่อยไม่กี่ล้านบาทเท่านั้น สำหรับประเด็นนี้ ผลประกอบการของบริษัทก็จะผันผวนไปตามค่าเงินที่อ่อนหรือแข็งค่า จนกว่าจะชำระหนี้ก้อนนี้หมดครับ
หันมาดูงบการเงิน Q3-67 พบว่า รายได้หลักยังมาจากสถาบันสอนภาษา Wall Street เหมือนเดิม แต่ในส่วนรายได้จาก Carbon/Rec เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น คือ มีรายได้ในส่วนนี้เข้ามามากขึ้น จากเดิมหลักแสนบาท กลายเป็นหลักล้านบาท แต่ช่วงต้นคงเป็นค่าที่ปรึกษาสำหรับองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนองค์กรแบบเดิมไปสู่องค์กรแบบ Carbon Neutral อันนี้ผมคิดว่าเป็นทิศทางที่ดีสำหรับบริษัทครับ
ลองไปสำรวจ Stock Carbon/Rec กันดูบ้าง พบว่าปัจจุบัน ใน Q3-67 บริษัท มี Stock Carbon/Rec จำนวน 1,066 กว่าล้านบาท เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจาก Q2-67 ที่มีอยู่ประมาณ 715 กว่าล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 300 กว่าล้านบาทเลยทีเดียวครับ ตรงนี้บ่งบอกอะไรกับพวกเราครับ?
ตรงนี้บ่งบอกว่าบริษัทกำลังเตรียมตัวสำหรับธุรกิจ Carbon อย่างเต็มที่สำหรับปีหน้า 2568 เนื่องจากใกล้ครบกำหนดบังคับใช้ของกลุ่ม EU ในปี 2569 (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) ฉะนั้นบริษัทต่าง ๆ ที่ส่งออกไปยัง EU คงต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนกำหนดการบังคับใช้ดังกล่าว อาจนำมาซึ่งความต้องการ Carbon/Rec ที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ครับ
ด้าน CFO ใน Q3-67นี้ กลับมาติดลบอีกครั้ง ที่ -254 ลบ. ข้อนี้สร้างความกังวลใจให้นักลงทุนไม่มากก็น้อย เนื่องจากบริษัทพึ่งเพิ่มทุนไปเมื่อต้นปีนี้เอง แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ CFO เป็นบวกได้ เป็นไปได้ที่ว่าบริษัทยังอยู่ในช่วงของการลงทุนสำหรับธุรกิจใหม่ เงินมาเท่าไหร่ก็ใช้ไปหมด อันนี้พอเข้าใจได้ครับ
สำหรับขาดทุนสะสมในไตรมาสนี้ ลดลงมาอยู่ที่ -285 ลบ. แต่อาจเป็นการลดลงแบบชั่วคราว เนื่องจากกำไรไม่ได้มาจากธุรกิจหลักของบริษัท แต่เป็นการกำไรจากค่าเงิน ส่วน D/E RATIO ยังคงต่ำกว่า 1 เท่า ก็ยังปลอดภัยในแง่ของงบการเงินพอสมควรครับ นี่เป็นข้อมูลคร่าว ๆ รายละเอียดหมายเหตุประกอบงบ คงต้องให้เพื่อน ๆ ไปอ่านกันเองนะครับ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่นักลงทุนรอคอยกันอยู่ก็คือ การอนุมัติการออก Token สำหรับ Carbon Credit ผมไม่แน่ใจว่าจะออกทันไตรมาส 4 นี้หรือไม่ หากออกได้ทันจะเป็นตัวช่วยเสริมธุรกิจให้ดีขึ้นอย่างมีนัยยะ แต่หากอนุมัติไม่ทันปีนี้ ก็อาจส่งผลต่อผลประกอบการของปี 67 อย่างมีนัยยะเช่นเดียวกันครับ
ขอนอกเรื่องเป็นไปเรื่องของราคาหุ้นนิดหน่อย สำหรับราคาหุ้นที่ไม่เป็นไปตามผลประกอบการในช่วงนี้ ผมคิดว่าเจ้าอยู่ในช่วงอารมณ์แบบ “เก็บกด” 555 เก็บกดในที่นี้คือ เจ้าพยายเก็บหุ้นในช่วงนี้ให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ส่วนกดนั้น คือ เจ้าพยายามกดราคาหุ้นไว้ให้รายย่อยเบื่อหน่าย หรืออาจสร้างความกลัว เพื่อให้รายย่อยอย่างเรา ๆ ขายหุ้นออกไปครับ (เรื่องราคานี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ อย่าไปจริงจังมากนัก คาดเดาล้วน ๆ)
สรุปโดยรวม งบการเงินถือว่ายังพอรับได้ แม้จะมีกำไรแต่ก็เป็นกำไรที่ไม่ได้มาจากธุรกิจหลัก และยังมีชาดทุนสะสมจำนวนมาก สำหรับธุรกิจ New S-Curve ดูมีแนวโน้มที่ดีขึ้น นักลงทุนก็คงต้องคอยติดตามผลประกอบการของบริษัท Wave กันเป็นไตรมาส ๆ ไปครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
ดช.จุ่น