Wave จะเป็นหุ้น Mega Trend ของโลกได้หรือไม่? ตอนที่ 4

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้วผมกล่าวถึงความเสี่ยงของธุรกิจ Carbon Credit/Rec ไปแล้ว  คราวนี้ลองหันมามองด้านโอกาสของธุรกิจนี้กันบ้างครับ

              แน่นอนว่าโอกาสมักเกิดจากการแก้ปัญหาในด้านต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาให้กับองค์กรธุรกิจ หรือการแก้ปัญหาให้กับผู้บริโภค   และธุรกิจ Carbon Credit/Rec ก็เกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาโลกร้อนที่นับวันมีแต่จะร้อนขึ้น ๆ  โดยมีสาเหตุมาจากการที่ธุรกิจต่าง ๆ ใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากสิ่งที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน อย่างเช่น ถ่านหิน เป็นต้น

              แต่การแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียวคงยังไม่สามารถเกิดโอกาสดี ๆ ได้  มันต้องพิจารณาถึงขนาดของตลาดที่เป็นไปได้ทั้งหมด หรือ TAM ของ Product นั้นด้วย ว่ามันใหญ่พอที่จะสามารถทำให้มันเกิด Demand มหาศาลได้หรือไม่? ครับ

               ผมขอเริ่มที่ภาพกว้าง ๆ ก่อนเลยนะครับ  จากความที่มันเป็นธุรกิจใหม่ยังไม่เคยมีการก่อนบนโลกใบนี้ การที่จะประมาณการว่าขนาดของตลาด Carbon/REC นี้จะใหญ่ขนาดไหนนั้น ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ  เพราะมันไม่มีตัวอย่าง หรือข้อมูลตรง ๆ ให้เราสามารถวิเคราะห์ได้  
               แต่จากการค้นข้อมูลหนังสือพิมพ์ BLOOMBERG (11-1-24)  แสดงให้เห็นภาพนี้ครับ

                              
ผมเอารูปนี้มาให้ดูเพื่อแสดงให้เพื่อน ๆ เห็นถึงแนวโน้มในธุรกิจนี้ว่ามันมีการเติบโตขึ้นทุก ๆ ปี เท่านั้นเอง ไม่ต้องซีเรียสครับ

                  หันกลับมามองที่ประเทศไทยดูว่าในปี 2023 ประเทศไทยมีการขายคาร์บอนเครดิตจำนวนเท่าไหร่? จากข้อมูลขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) หรือ อบก.ระบุว่าในปี 2023  ไทยมีการจำหน่าย Carbon ในโครงการ T-VER รวมทั้งสิ้น 857,102 tCO2eq มูลค่าการซื้อขายมากกว่า 68.32 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 79.71  บาท   
จากข้อมูลตรงนี้ จะเห็นได้ว่ามันมีปริมาณซื้อขายที่ค่อนข้างน้อยมาก เมื่อเทียบกับตลาดโลกมันต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยครับ
อีกทั้ง อบก.เคยวิจัยไว้ว่าประเทศไทยน่าจะต้องมีความต้องการใช้ Carbon Credit/REC เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 100 tCO2eq  ต่อปี แต่ประเทศไทยสามารถผลิต และจัดหาได้ประมาณ ไม่เกิน 30  tCO2eq เท่านั้นเอง  จะเห็นได้ว่ามันไม่สมดุลกันระหว่าง Supply และ Demand

              จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น มันจึงเกิดเป็นโอกาสสำหรับคนที่มองเห็นก่อนคนอื่น และบริษัท WAVE ก็เป็นหนึ่งในบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่กระโจนเข้าสู่ธุรกิจนี้เช่นเดียวกับอีกหลาย ๆ บริษัทครับ

               แล้วบริษัท Wave เล็งเห็นโอกาสอะไรในธุรกิจนี้ล่ะ ?  
               ผมจะลองจินตนาการแทนผบห. ของบริษัท Wave ถึงโอกาสในธุรกิจนี้ออกเป็นข้อ ๆ  ดูนะครับ พร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยครับ
               ข้อ. 1   โอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ Mega Trend โลก อย่างธุรกิจ Carbon/REC ที่คาดว่าจะมีการเติบโตสูงในอนาคต ถามว่าบริษัท Wave จะสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโอกาสนี้ได้หรือไม่?  
                ความเห็นส่วนตัว ผมคาดว่าบริษัทจะสามารถแทรงตัวเข้าใปสู่ธุรกิจนี้ได้ไม่มากก็น้อย   ทั้งนี้ดูจากความพยายามในการสร้างEcosystem ของธุรกิจนี้ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง น่าจะพอเป็นไปได้
               ข้อ. 2  โอกาสของการเป็นผู้นำในธุรกิจ Carbon แบบครบวงจรในประเทศไทย  อันนี้ต่อเนื่องจากข้อ. 1  ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าบริษัท Wave พยายามสร้าง Ecosystem ที่เป็นของตัวเองขึ้นมา  เพื่อให้บริการแบบครบวงจรที่สุด  เริ่มตั้งแต่การให้คำปรึกษา ไปจนถึงการขาย Carbon Credit ในตอนสุดท้าย อีกทั้งยังตั้งบริษัทใน Singapore เพื่อรองรับการขยายตลาดไปยังภูมิภาคอีกด้วยครับ
               ข้อ. 3   โอกาสในการเป็นผู้นำในการมี Stock Carbon ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ข้อนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วในงบการเงินที่มี Stock Carbon/Rec ณ 12/66  ประมาณ 600 กว่าล้านบาท  ผมคาดว่าน่าจะเป็นรองแค่กลุ่ม กฟภ. กฟผ. ครับ (บริษัท ตุน Stcok Carbon ถึงขนาดต้องเพิ่มทุนกันเลยทีเดียว 5555 )

               สำหรับข้อนี้มันเป็นทั้งโอกาส และความเสี่ยงครับ ถ้าขายได้ก็ดีไป แต่ถ้าขายไม่ได้ก็จะทำให้บริษัทขาดสภาพคล่องอย่างหนักในอนาคตแน่นอนครับ  อันนี้ผมว่าบริษัทก็ต้องชั่งใจดี ๆ  ถ้าไม่ชัวร์ก็ควรหยุดตุน Stock Carbon จนกว่าจะขายได้น่าจะดีกว่าครับ  
               ตามความเห็นส่วนตัวของผมนั้น  ผมมองว่านี่เป็นโอกาสในธุรกิจนี้ของบริษัท Wave อย่างแท้จริง แต่มันต้องพิสูจน์ด้วยงบการเงินที่แข็งแกร่งในแต่ละไตรมาส  บริษัทต้องมีกำไรให้ผู้ถือหุ้นได้เห็น และต้องได้เห็นกำไรอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ไตรมาส  ไม่ใช่ขาดทุนสลับกำไรเหมือนอย่างในปี 66  ที่ผ่านมา
               ฉะนั้นใครอยากจะลงทุนในหุ้นตัวนี้ ผมคิดว่าต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตให้ได้ครับ  
               ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทั้งในธุรกิจของบริษัท และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะได้สามารถประมาณการ หรือพอจะคาดการณ์อนาคตของบริษัทได้ใกล้เคียงกับสถานะการณ์ที่เกิดขึ้นจริงให้ได้มากที่สุดครับ
  
ปล. ใครได้สิทธิเพิ่มทุนเมื่อวันที่ 8-5-67 แล้วยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเพิ่มดีหรือเปล่า?  ผมคิดว่ารอดูงบ Q1-67 ก่อนก็ได้ แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สายครับ
 
หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
ดช.จุ่น

บทความเก่า   Wave จะเป็นหุ้น Mega Trend ของโลกได้หรือไม่? ตอนที่ 3  https://ppantip.com/topic/42648913

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่