"พิธา" มองนโนบายเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 ไทยได้ทั้งประโยชน์-ความเสี่ยง
https://www.thaipbs.or.th/news/content/346002
อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลสังเกตการณ์การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา มองไทยได้ทั้งประโยชน์และความเสี่ยงจากนโยบาย ขณะที่คนไทยบางส่วนในสหรัฐฯ สะท้อนความกังวลหลังเลือกตั้งวันนี้ (6 พ.ย.2567) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยที่บอสตัน รัฐแมสซาซูเซตส์ สหรัฐอเมริกา คนอเมริกันให้ความสนใจการเลือกตั้งค่อนข้างมาก ซึ่งรัฐแมสซาชูเซตส์มีคะแนนเสียงเลือกตั้ง 11 เสียง เนื่องจากมีผู้แทนสภาผู้แทนราษฎร 9 คนและวุฒิสมาชิก 2 คน เช่นเดียวกับรัฐส่วนใหญ่ ซึ่งฐานเสียงส่วนใหญ่เป็นของพรรคเดโมเครต
ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ขณะนี้เป็นนักวิชาการด้านประชาธิปไตยชั่วคราว หรือ Visiting Democracy Fellow มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้ไปสังเกตการณ์จุดลงคะแนน
นาย
พิธา กล่าวว่า ในฐานะอดีตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของไทย มองการเมืองสหรัฐอเมริกามีทั้งเหมือนและแตกต่างกันกับไทย เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ มีการแข่งขันค่อนข้างสูงในแต่ละพื้นที่ มีรัฐสวิงเสตทที่มีความเข้มข้นลึกลงไปแต่ละพื้นที่ ซึ่งเหมือนกับการเลือกตั้งไทยในบางพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูสีกัน ขณะที่นโยบายทั้ง 2 พรรคที่จะเกี่ยวข้องกับไทย ส่วนตัวมองว่ามีผลทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น นโยบายเศรษฐกิจ ภาษี นโยบายต่างประเทศ ซึ่งแต่ละพรรคมีความแตกต่างกัน
อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังมองว่า ไทยได้ทั้งโอกาสและความเสี่ยง เช่น ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกส์ การค้าระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไทยก็ควรเตรียมความพร้อมไว้
ความกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นหลังเลือกตั้ง สืบเนื่องจากเหตุการณ์ 6 ม.ค.2021 กลุ่มผู้สนับสนุน
โดนัลด์ ทรัมป์ ก่อการจลาจลบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เพื่อประท้วงการลงมติรับรองผลคะแนนที่ชี้ขาดว่า
โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้าเกิดเหตุวุ่นวายนี้
ทรัมป์ได้กล่าวปราศรัยต่อกลุ่มผู้สนับสนุนหลายพันคนใกล้ทำเนียบขาว โดยย้ำอีกครั้งว่าเขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และอ้างว่าถูกโกงชัยชนะ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนไปรวมตัวที่อาคารรัฐสภา
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดในฝ่ายบริหาร การดำเนินนโยบายใดๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อทุกคนในประเทศ ซึ่งรวมถึงคนไทยในสหรัฐฯ ด้วย ไทยพีบีเอสพูดคุยกับคนไทยในสหรัฐฯ เกี่ยวกับความเห็นต่อการเลือกตั้งครั้งนี้และนโยบายของผู้สมัครทั้ง 2 คน
นิจภารัตน์ พงศ์พีระชัย คนไทยในรัฐแมริแลนด์ ระบุว่า หากทรัมป์ได้เป็น ปธน. เพราะทรัมป์มาแรงในเรื่องนโยบายนี้ เรื่องของผู้อพยพที่เขาจะขับไล่พวกโรบินฮู้ดทั้งหลาย หากทำได้ คนที่คิดจะมาเรียนต่อหรือสัมภาษณ์วีซ่ามาเที่ยวหรืออะไรก็น่าจะยากขึ้น แล้วคนที่อยู่ที่นี่แบบไม่ได้อยู่ในวีซ่าที่ถูกกฎหมายก็อาจจะมีความกังวล
แต่หาก
แฮร์ริสได้ คิดว่าไม่ได้มีผลกระทบมากกับคนที่ไม่ได้เป็นพลเมืองของสหรัฐฯ ซึ่งก็คงจะเป็นเหมือนขณะนี้ เพราะว่า
แฮร์ริสจะทำนโยบายต่อจาก
ไบเดน หากเลือกได้จริง ๆ ก็คืออยากให้รัฐโฟกัสที่ตัวของอเมริกา เข้ามาพัฒนาเรื่องของเศรษฐกิจให้แข่งขันกับนานาชาติได้ เพื่อที่ทุกคนจะได้มีงานทำ และมีการสนับสนุนเรื่องการเข้าถึงการรักษาโรงพยาบาลที่ง่ายและราคาถูกกว่านี้
ขณะที่
อานุภาพ สินธุสายชล เภสัชกรคนไทยในรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า ทุกคนคงคิดเหมือนกันอยากจะเห็นเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อยากเห็นค่าเงินที่แข็งตัวขึ้น อยากจะเห็นความมั่นคงของสังคมและอนาคตที่ดี
หลายๆ คนที่มาอเมริกาอาจมีคอนเซ็ปของการคิดที่เรียกว่า The American Dream เป็นคนที่ฝันอยากจะได้งานทำ อยากเลี้ยงครอบครัว อยากมีบ้าน แต่ด้วยสถานการณ์ขณะนี้ หลาย ๆ คนที่อยู่ที่นี่ หรือก็เห็นอยู่ว่าการที่มีบ้านหรือการที่จะซื้ออะไรสักอย่างมันเป็นเรื่องยาก เขาจึงอยากได้ผู้นำที่จะเข้ามาพัฒนาสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ให้ดีขึ้น
ส่วน
เซท ชาตร์ ดวงใส คนไทยในรัฐเท็กซัส เชื่อว่า หากแฮร์ริสได้เป็นประธานาธิบดีจะค่อนข้างยืดหยุ่นและก็พอมีโอกาสต่อยอดทำงานในอเมริกา แล้วเก็บประสบการณ์กลับไปไทย แต่หากเป็นทรัมป์ อาจจะมีแนวโน้มในการจ้างงานของคนอเมริกันก่อน
อย่างที่บอกว่า American First นักเรียนที่เรียนจบแล้วได้ Work Permit หลังจากเรียนจบแล้วจะค่อนข้างหางานยาก แต่ทรัมป์ก็มีข้อดี เพราะเขาประกาศเองว่าหากนักเรียนเรียนจบในสหรัฐอเมริกาที่เป็นมหาวิทยาลัยในระบบท็อป จะสามารถขอ Green Card ได้ แต่ต้องเป็นสาขาวิชาและก็มหาลัยต้องมีชื่อเสียง
กองทัพเงียบ โยนกลองวุ่น! กำลังพลโดนหมายจับตากใบ
https://www.isranews.org/article/south-news/scoop/133144-paisantakbai.html
ควันหลงหลังคดีตากใบขาดอายุความ...
สถานการณ์ในพื้นที่ยังค่อนข้างเงียบ ยังไม่มีเหตุรุนแรงขนาดใหญ่ตามที่หลายฝ่ายกังวล
การตรวจสอบของหน่วยงานรัฐ กรณีข้าราชการในสังกัดซึ่งยังไม่เกษียณอายุราชการ จงใจลางานในลักษณะหนี้หมายจับคดีตากใบ ยังไม่มีความคืบหน้าชัดเจน โดยเฉพาะข้าราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม
การสนองตอบของรัฐบาลต่อข้อเรียกร้องของหลายฝ่าย เช่น หาช่องทางงดจ่ายบำนาญจำเลยคดีตากใบ ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการระดับสูง แต่กลับหนีหมายจับในคดีสำคัญ, การสอบสวนอย่างเป็นระบบว่าเหตุใดตำรวจจึงดองคดีวิสามัญฆาตกรรมไปกว่า 19 ปี จึงส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดในห้วงเวลาไม่กี่เดือนก่อนคดีขาดอายุความ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ยังไม่มีรูปธรรมใดๆ จากรัฐบาล นอกจากความเงียบ เหมือนจงให้ลืมๆ กันไป
แต่ภาคประชาสังคมและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนดูจะไม่เงียบ
@@ ภาคประชาสังคมขยับยื่นยูเอ็น 5 ข้อเรียกร้อง
วันอังคารที่ 5 พ.ย.67 เครือข่ายภาคประชาชน “กลุ่มทะลุฟ้า” นำโดย นาย
จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “
ไผ่ ดาวดิน” เดินทางไปยังสำนักงานองค์การสหประชาติ ประเทศไทย เพื่อยื่นหนังสือ “
20 ปี ตากใบต้องไม่เงียบ” ถึงข้าหลวงใหญ่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหประชาชาติ
มีการอ่านแถลงการณ์ 5 ข้อเรียกร้อง ดังนี้
1. ขอให้สหประชาชาติผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการตรวจสอบและทบทวนกระบวนการพิจารณาคดี เพื่อพิจารณาว่ามีช่องทางใดที่สามารถเยียวยาและสร้างความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายได้
2. ขอให้กลไกสหประชาชาติเฝ้าระวังการใช้กฎหมายละเมิดต่อโจทก์ นักกิจกรรม นักข่าว และกลุ่มอื่นๆที่มีส่วนร่วมในการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเหยื่อผู้สูญเสียในคดีตากใบ
3. ขอให้นานาชาติหาวิธีผลักดันกระบวนการยุติธรรมในเวทีระดับนานาชาติต่อไป เพื่อให้เกิดการติดตามอย่างต่อเนื่องในระดับสากลต่อกรณีดังกล่าว
4. ขอให้สหประชาชาติสนับสนุนกระบวนการค้นหาความจริงและสร้างการปรองดองในพื้นที่ โดยให้มีการเปิดเผยข้อเท็จจริงและรับฟังเสียงของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้
5. ประเทศไทยยังคงดำเนินการบังคับใช้กฎหมายพิเศษสามฉบับในพื้นที่ จึงขอให้สหประชาชาติเสนอแนะต่อรัฐบาลไทยให้ยกเลิกการบังคับใช้กลุ่มกฎหมายนี้
@@ แม่ทัพ 4 ยันไม่มีผู้ต้องหาคดีตากใบในสังกัด กอ.รมน.
ด้านความคืบหน้าการค้นหาผู้ต้องหาคดีตากใบที่ถูกออกหมายจับ ซึ่งมีข่าวเป็นข้าราชการยังไม่เกษียณอายุราชการ 3 คน หนึ่งในนั้นคือ ปลัดอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยไปแล้ว
แต่ข้าราชการอีก 2 คน ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน โดยมีข่าวว่าเป็นทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 4 นั้น
“
ทีมข่าวอิศรา” พยายามสอบถามเรื่องนี้ไปยังโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ว่าได้มีการตรวจสอบหรือไม่ว่า ข้าราชการเหล่านั้นซึ่งหายตัวไปหลังถูกออกหมายจับคดีตากใบ กลับมาปฏิบัติราชการแล้วหรือยัง
แต่คำตอบที่ได้จากโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. คือ ไม่ทราบเรื่อง และไม่มีข้อมูลว่าผู้ที่ถูกออกหมายจับคือใคร เป็นกำลังพลของ กอ.รมน.ภาค 4 หรือไม่
“
ทีมข่าวอิศรา” จึงสอบถามไปยัง พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้รับคำตอบว่า ใน กอ.รมน.ภาค 4 ไม่มีข้าราชการในสังกัดถูกออกหมายจับในคดีตากใบ
“คนที่ยังรับราชการอยู่มี 2 คน เป็นปลัดอำเภออยู่ที่นครพนม กับที่กองบัญชาการกองทัพไทย ยืนยันว่าไม่มีในกองทัพภาคที่ 4” พล.ท.ไพศาล ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามถึงบุคคลที่ถูกออกหมายจับรายหนึ่ง คือ ร้อยโทฤทธิรงค์ (สงวนนามสกุล) อายุ 60 ปี น่าจะเกษียณปีนี้หรือปีหน้า ตามข่าวระบุว่ามีบ้านพักในค่ายทหาร อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช แม่ทัพภาคที่ 4 ตอบย้ำคำตอบว่า “ขอยืนยันว่าไม่มี มีการตรวจสอบแล้ว ไม่มีแน่นอน”
“
ทีมข่าวอิศรา” ได้สอบถามไปยังนายทหารระดับสูงในกองบัญชาการกองทัพไทย ว่าทราบหรือยังกรณีแม่ทัพภาคที่ 4 ระบุว่า กำลังพลที่ถูกออกหมายจับในคดีตากใบอยู่ในสังกัดกองทัพไทย แหล่งข่าวตอบว่า ไม่ทราบ และไม่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น
อนึ่ง สำหรับขั้นตอนปฏิบัติตามปกติ กรณีกำลังพลถูกออกหมายจับในคดีอาญา พนักงานสอบสวน หรือตำรวจ จะส่งหนังสือแจ้งมายังหน่วยต้นสังกัด เพื่อขอรับตัวไปดำเนินคดี ซึ่งนายทหารพระธรรมนูญจะทำหน้าที่อำนวยความสะดวกและส่งตัวไปรับทราบข้อกล่าวหา หรือแนะนำแนวทางในการต่อสู้คดี แต่สำหรับคดีตากใบ ดูเหมือนกระบวนการนี้จะไม่เกิดขึ้น
----------------------
ภาพปก - เครือข่ายตากใบไม่ทน ยื่นหนังสือต่อยูเอ็น จากเพจ Decode.plus
ค่าเงินร่วงทั้งเอเชีย-บาทอ่อน 1% แตะ 34 บ./ดอลลาร์ หลัง ‘ทรัมป์’ ส่อชนะเลือกตั้ง
https://www.prachachat.net/finance/news-1689179
ห้องค้ากสิกรไทย เผยเช้านี้ค่าเงินสกุลเอเชียอ่อนค่าแรงเทียบดอลลาร์ เงินบาทอ่อน 1% แตะ 34 บาทต่อดอลลาร์ หลัง “ทรัมป์” มีแนวโน้มชนะเลือกตั้ง
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (ห้องค้ากสิกรไทย) เปิดเผยว่า ค่าเงินสกุลเอเซียอ่อนค่าแรงเทียบดอลลาร์สหรัฐเช้านี้ อาทิ เงินหยวนนอกประเทศจีน (CNH) ร่วงแรง -1% อยู่ที่ 7.163 หยวน/ดอลลาร์สหรัฐ เงินบาทอ่อนค่า -1% ใกล้ระดับ 34.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และเงินเยนอ่อนค่า -1.85% ทะลุระดับ 154 เยน/ดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า 1.6% แตะระดับสูงสุดตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมที่ 105.15
โดยผลการนับคะแนนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ล่าสุด (ณ เวลา 11.10 น.) ชี้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะได้รับชัยชนะ โดยทรัมป์ได้ 214 เสียงแล้ว ขณะที่นางคามาลา แฮร์ริสได้ 179 เสียง ซึ่งต้องได้ระดับคะแนนเสียงมากกว่า 270 เสียงเพื่อเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสสูงที่พรรคริพับลิกันของทรัมป์จะได้ครองเสียงข้างมากทั้งในสภาบน (Senate) และสภาล่าง (House of Representatives) อันจะทำให้นโยบายที่ทรัมป์หาเสียงไว้ทั้งการลดภาษีและการขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติมมีความเป็นไปได้สูง
JJNY : "พิธา"มองนโนบายเลือกตั้งสหรัฐฯ2024 │กองทัพเงียบ โยนกลองวุ่น!│ค่าเงินร่วงทั้งเอเชีย-บาทอ่อน│ได้เห็นหิมะฟูจิซังแล้ว
https://www.thaipbs.or.th/news/content/346002
อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลสังเกตการณ์การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา มองไทยได้ทั้งประโยชน์และความเสี่ยงจากนโยบาย ขณะที่คนไทยบางส่วนในสหรัฐฯ สะท้อนความกังวลหลังเลือกตั้งวันนี้ (6 พ.ย.2567) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยที่บอสตัน รัฐแมสซาซูเซตส์ สหรัฐอเมริกา คนอเมริกันให้ความสนใจการเลือกตั้งค่อนข้างมาก ซึ่งรัฐแมสซาชูเซตส์มีคะแนนเสียงเลือกตั้ง 11 เสียง เนื่องจากมีผู้แทนสภาผู้แทนราษฎร 9 คนและวุฒิสมาชิก 2 คน เช่นเดียวกับรัฐส่วนใหญ่ ซึ่งฐานเสียงส่วนใหญ่เป็นของพรรคเดโมเครต
ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ขณะนี้เป็นนักวิชาการด้านประชาธิปไตยชั่วคราว หรือ Visiting Democracy Fellow มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้ไปสังเกตการณ์จุดลงคะแนน
นายพิธา กล่าวว่า ในฐานะอดีตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของไทย มองการเมืองสหรัฐอเมริกามีทั้งเหมือนและแตกต่างกันกับไทย เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ มีการแข่งขันค่อนข้างสูงในแต่ละพื้นที่ มีรัฐสวิงเสตทที่มีความเข้มข้นลึกลงไปแต่ละพื้นที่ ซึ่งเหมือนกับการเลือกตั้งไทยในบางพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูสีกัน ขณะที่นโยบายทั้ง 2 พรรคที่จะเกี่ยวข้องกับไทย ส่วนตัวมองว่ามีผลทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น นโยบายเศรษฐกิจ ภาษี นโยบายต่างประเทศ ซึ่งแต่ละพรรคมีความแตกต่างกัน
อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังมองว่า ไทยได้ทั้งโอกาสและความเสี่ยง เช่น ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกส์ การค้าระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไทยก็ควรเตรียมความพร้อมไว้
ความกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นหลังเลือกตั้ง สืบเนื่องจากเหตุการณ์ 6 ม.ค.2021 กลุ่มผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อการจลาจลบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เพื่อประท้วงการลงมติรับรองผลคะแนนที่ชี้ขาดว่า โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้าเกิดเหตุวุ่นวายนี้ทรัมป์ได้กล่าวปราศรัยต่อกลุ่มผู้สนับสนุนหลายพันคนใกล้ทำเนียบขาว โดยย้ำอีกครั้งว่าเขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และอ้างว่าถูกโกงชัยชนะ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนไปรวมตัวที่อาคารรัฐสภา
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดในฝ่ายบริหาร การดำเนินนโยบายใดๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อทุกคนในประเทศ ซึ่งรวมถึงคนไทยในสหรัฐฯ ด้วย ไทยพีบีเอสพูดคุยกับคนไทยในสหรัฐฯ เกี่ยวกับความเห็นต่อการเลือกตั้งครั้งนี้และนโยบายของผู้สมัครทั้ง 2 คน
นิจภารัตน์ พงศ์พีระชัย คนไทยในรัฐแมริแลนด์ ระบุว่า หากทรัมป์ได้เป็น ปธน. เพราะทรัมป์มาแรงในเรื่องนโยบายนี้ เรื่องของผู้อพยพที่เขาจะขับไล่พวกโรบินฮู้ดทั้งหลาย หากทำได้ คนที่คิดจะมาเรียนต่อหรือสัมภาษณ์วีซ่ามาเที่ยวหรืออะไรก็น่าจะยากขึ้น แล้วคนที่อยู่ที่นี่แบบไม่ได้อยู่ในวีซ่าที่ถูกกฎหมายก็อาจจะมีความกังวล
แต่หากแฮร์ริสได้ คิดว่าไม่ได้มีผลกระทบมากกับคนที่ไม่ได้เป็นพลเมืองของสหรัฐฯ ซึ่งก็คงจะเป็นเหมือนขณะนี้ เพราะว่าแฮร์ริสจะทำนโยบายต่อจากไบเดน หากเลือกได้จริง ๆ ก็คืออยากให้รัฐโฟกัสที่ตัวของอเมริกา เข้ามาพัฒนาเรื่องของเศรษฐกิจให้แข่งขันกับนานาชาติได้ เพื่อที่ทุกคนจะได้มีงานทำ และมีการสนับสนุนเรื่องการเข้าถึงการรักษาโรงพยาบาลที่ง่ายและราคาถูกกว่านี้
ขณะที่ อานุภาพ สินธุสายชล เภสัชกรคนไทยในรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า ทุกคนคงคิดเหมือนกันอยากจะเห็นเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อยากเห็นค่าเงินที่แข็งตัวขึ้น อยากจะเห็นความมั่นคงของสังคมและอนาคตที่ดี
หลายๆ คนที่มาอเมริกาอาจมีคอนเซ็ปของการคิดที่เรียกว่า The American Dream เป็นคนที่ฝันอยากจะได้งานทำ อยากเลี้ยงครอบครัว อยากมีบ้าน แต่ด้วยสถานการณ์ขณะนี้ หลาย ๆ คนที่อยู่ที่นี่ หรือก็เห็นอยู่ว่าการที่มีบ้านหรือการที่จะซื้ออะไรสักอย่างมันเป็นเรื่องยาก เขาจึงอยากได้ผู้นำที่จะเข้ามาพัฒนาสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ให้ดีขึ้น
ส่วน เซท ชาตร์ ดวงใส คนไทยในรัฐเท็กซัส เชื่อว่า หากแฮร์ริสได้เป็นประธานาธิบดีจะค่อนข้างยืดหยุ่นและก็พอมีโอกาสต่อยอดทำงานในอเมริกา แล้วเก็บประสบการณ์กลับไปไทย แต่หากเป็นทรัมป์ อาจจะมีแนวโน้มในการจ้างงานของคนอเมริกันก่อน
อย่างที่บอกว่า American First นักเรียนที่เรียนจบแล้วได้ Work Permit หลังจากเรียนจบแล้วจะค่อนข้างหางานยาก แต่ทรัมป์ก็มีข้อดี เพราะเขาประกาศเองว่าหากนักเรียนเรียนจบในสหรัฐอเมริกาที่เป็นมหาวิทยาลัยในระบบท็อป จะสามารถขอ Green Card ได้ แต่ต้องเป็นสาขาวิชาและก็มหาลัยต้องมีชื่อเสียง
กองทัพเงียบ โยนกลองวุ่น! กำลังพลโดนหมายจับตากใบ
https://www.isranews.org/article/south-news/scoop/133144-paisantakbai.html
ควันหลงหลังคดีตากใบขาดอายุความ...
สถานการณ์ในพื้นที่ยังค่อนข้างเงียบ ยังไม่มีเหตุรุนแรงขนาดใหญ่ตามที่หลายฝ่ายกังวล
การตรวจสอบของหน่วยงานรัฐ กรณีข้าราชการในสังกัดซึ่งยังไม่เกษียณอายุราชการ จงใจลางานในลักษณะหนี้หมายจับคดีตากใบ ยังไม่มีความคืบหน้าชัดเจน โดยเฉพาะข้าราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม
การสนองตอบของรัฐบาลต่อข้อเรียกร้องของหลายฝ่าย เช่น หาช่องทางงดจ่ายบำนาญจำเลยคดีตากใบ ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการระดับสูง แต่กลับหนีหมายจับในคดีสำคัญ, การสอบสวนอย่างเป็นระบบว่าเหตุใดตำรวจจึงดองคดีวิสามัญฆาตกรรมไปกว่า 19 ปี จึงส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดในห้วงเวลาไม่กี่เดือนก่อนคดีขาดอายุความ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ยังไม่มีรูปธรรมใดๆ จากรัฐบาล นอกจากความเงียบ เหมือนจงให้ลืมๆ กันไป
แต่ภาคประชาสังคมและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนดูจะไม่เงียบ
@@ ภาคประชาสังคมขยับยื่นยูเอ็น 5 ข้อเรียกร้อง
วันอังคารที่ 5 พ.ย.67 เครือข่ายภาคประชาชน “กลุ่มทะลุฟ้า” นำโดย นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” เดินทางไปยังสำนักงานองค์การสหประชาติ ประเทศไทย เพื่อยื่นหนังสือ “20 ปี ตากใบต้องไม่เงียบ” ถึงข้าหลวงใหญ่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหประชาชาติ
มีการอ่านแถลงการณ์ 5 ข้อเรียกร้อง ดังนี้
1. ขอให้สหประชาชาติผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการตรวจสอบและทบทวนกระบวนการพิจารณาคดี เพื่อพิจารณาว่ามีช่องทางใดที่สามารถเยียวยาและสร้างความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายได้
2. ขอให้กลไกสหประชาชาติเฝ้าระวังการใช้กฎหมายละเมิดต่อโจทก์ นักกิจกรรม นักข่าว และกลุ่มอื่นๆที่มีส่วนร่วมในการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเหยื่อผู้สูญเสียในคดีตากใบ
3. ขอให้นานาชาติหาวิธีผลักดันกระบวนการยุติธรรมในเวทีระดับนานาชาติต่อไป เพื่อให้เกิดการติดตามอย่างต่อเนื่องในระดับสากลต่อกรณีดังกล่าว
4. ขอให้สหประชาชาติสนับสนุนกระบวนการค้นหาความจริงและสร้างการปรองดองในพื้นที่ โดยให้มีการเปิดเผยข้อเท็จจริงและรับฟังเสียงของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้
5. ประเทศไทยยังคงดำเนินการบังคับใช้กฎหมายพิเศษสามฉบับในพื้นที่ จึงขอให้สหประชาชาติเสนอแนะต่อรัฐบาลไทยให้ยกเลิกการบังคับใช้กลุ่มกฎหมายนี้
@@ แม่ทัพ 4 ยันไม่มีผู้ต้องหาคดีตากใบในสังกัด กอ.รมน.
ด้านความคืบหน้าการค้นหาผู้ต้องหาคดีตากใบที่ถูกออกหมายจับ ซึ่งมีข่าวเป็นข้าราชการยังไม่เกษียณอายุราชการ 3 คน หนึ่งในนั้นคือ ปลัดอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยไปแล้ว
แต่ข้าราชการอีก 2 คน ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน โดยมีข่าวว่าเป็นทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 4 นั้น
“ทีมข่าวอิศรา” พยายามสอบถามเรื่องนี้ไปยังโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ว่าได้มีการตรวจสอบหรือไม่ว่า ข้าราชการเหล่านั้นซึ่งหายตัวไปหลังถูกออกหมายจับคดีตากใบ กลับมาปฏิบัติราชการแล้วหรือยัง
แต่คำตอบที่ได้จากโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. คือ ไม่ทราบเรื่อง และไม่มีข้อมูลว่าผู้ที่ถูกออกหมายจับคือใคร เป็นกำลังพลของ กอ.รมน.ภาค 4 หรือไม่
“ทีมข่าวอิศรา” จึงสอบถามไปยัง พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้รับคำตอบว่า ใน กอ.รมน.ภาค 4 ไม่มีข้าราชการในสังกัดถูกออกหมายจับในคดีตากใบ
“คนที่ยังรับราชการอยู่มี 2 คน เป็นปลัดอำเภออยู่ที่นครพนม กับที่กองบัญชาการกองทัพไทย ยืนยันว่าไม่มีในกองทัพภาคที่ 4” พล.ท.ไพศาล ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามถึงบุคคลที่ถูกออกหมายจับรายหนึ่ง คือ ร้อยโทฤทธิรงค์ (สงวนนามสกุล) อายุ 60 ปี น่าจะเกษียณปีนี้หรือปีหน้า ตามข่าวระบุว่ามีบ้านพักในค่ายทหาร อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช แม่ทัพภาคที่ 4 ตอบย้ำคำตอบว่า “ขอยืนยันว่าไม่มี มีการตรวจสอบแล้ว ไม่มีแน่นอน”
“ทีมข่าวอิศรา” ได้สอบถามไปยังนายทหารระดับสูงในกองบัญชาการกองทัพไทย ว่าทราบหรือยังกรณีแม่ทัพภาคที่ 4 ระบุว่า กำลังพลที่ถูกออกหมายจับในคดีตากใบอยู่ในสังกัดกองทัพไทย แหล่งข่าวตอบว่า ไม่ทราบ และไม่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น
อนึ่ง สำหรับขั้นตอนปฏิบัติตามปกติ กรณีกำลังพลถูกออกหมายจับในคดีอาญา พนักงานสอบสวน หรือตำรวจ จะส่งหนังสือแจ้งมายังหน่วยต้นสังกัด เพื่อขอรับตัวไปดำเนินคดี ซึ่งนายทหารพระธรรมนูญจะทำหน้าที่อำนวยความสะดวกและส่งตัวไปรับทราบข้อกล่าวหา หรือแนะนำแนวทางในการต่อสู้คดี แต่สำหรับคดีตากใบ ดูเหมือนกระบวนการนี้จะไม่เกิดขึ้น
----------------------
ภาพปก - เครือข่ายตากใบไม่ทน ยื่นหนังสือต่อยูเอ็น จากเพจ Decode.plus
ค่าเงินร่วงทั้งเอเชีย-บาทอ่อน 1% แตะ 34 บ./ดอลลาร์ หลัง ‘ทรัมป์’ ส่อชนะเลือกตั้ง
https://www.prachachat.net/finance/news-1689179
ห้องค้ากสิกรไทย เผยเช้านี้ค่าเงินสกุลเอเชียอ่อนค่าแรงเทียบดอลลาร์ เงินบาทอ่อน 1% แตะ 34 บาทต่อดอลลาร์ หลัง “ทรัมป์” มีแนวโน้มชนะเลือกตั้ง
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (ห้องค้ากสิกรไทย) เปิดเผยว่า ค่าเงินสกุลเอเซียอ่อนค่าแรงเทียบดอลลาร์สหรัฐเช้านี้ อาทิ เงินหยวนนอกประเทศจีน (CNH) ร่วงแรง -1% อยู่ที่ 7.163 หยวน/ดอลลาร์สหรัฐ เงินบาทอ่อนค่า -1% ใกล้ระดับ 34.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และเงินเยนอ่อนค่า -1.85% ทะลุระดับ 154 เยน/ดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า 1.6% แตะระดับสูงสุดตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมที่ 105.15
โดยผลการนับคะแนนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ล่าสุด (ณ เวลา 11.10 น.) ชี้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะได้รับชัยชนะ โดยทรัมป์ได้ 214 เสียงแล้ว ขณะที่นางคามาลา แฮร์ริสได้ 179 เสียง ซึ่งต้องได้ระดับคะแนนเสียงมากกว่า 270 เสียงเพื่อเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสสูงที่พรรคริพับลิกันของทรัมป์จะได้ครองเสียงข้างมากทั้งในสภาบน (Senate) และสภาล่าง (House of Representatives) อันจะทำให้นโยบายที่ทรัมป์หาเสียงไว้ทั้งการลดภาษีและการขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติมมีความเป็นไปได้สูง