สวัสดีค่ะ
อยากขอคำปรึกษาเพื่อนๆ ค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า
คุณพ่อได้ทำประกันของ กรุงไทย AXA ihealthy ultra Gold เมื่อเดือน มกราคม 67 เบี้ยประกัน 137,570 บาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 67 คุณพ่อได้เข้าโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บหน้าอกซึ่งคุณพ่อสงสัยว่าน่าจะเป็นกรดไหลย้อน
แต่พอได้รับการตรวจแล้วคุณหมอแจ้งว่าไม่น่าใช่กรดไหลย้อน น่าจะเกี่ยวกับหัวใจ เลยได้ทำการตรวจหัวใจและพบว่าเส้นเลือดหัวใจมีการอุดตันและตีบ
ประมาน 3-4 เส้น จึงทำให้คุณพ่อมีอาการเจ็บหน้าอก ซึ่งคุณพ่อจะต้องได้รับการรักษาโดยการทำบายพาส
แต่สิ่งที่พิเศษว่าคนอื่นคือ คุณพ่อแพ้ยาแอสไพรินซึ่งเป็นยาสำคัญในการรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันซึ่งการแพ้ยาของคุณพ่อทำให้การรักษายากกว่าเคสปกติ
ต่อมาทางโรงพยาบาลได้ส่งเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการผ่าตัดไปที่บริษัทประกัน แต่บริษัทประกันแจ้งกลับมาว่าให้คุณพ่อสำรองจ่ายไปก่อน
ซึ่งค่าจ่ายใช้ที่โรงพยาบาลประเมินเบื้องต้นประมาน 650,000 บาท ด้วยจำนวนเงินที่เยอะแบบนี้ จะให้เราสำรองจ่ายไปก่อนก็เป็นได้ยากมาก
เมื่อคุณพ่อทราบก็ได้มีการติดต่อตัวแทนประกัน สอบถามว่าทำไมต้องสำรองจ่ายไปก่อน เพราะ อยู่ในระยะเวลาคุ้มครองและพ้น waiting period แล้ว
ทางตัวแทนก็แจ้งประมานว่า
ระยะเวลาที่เราทำประกันยังน้อยไป และต้องตรวจสอบประวัติเพิ่มเติม เรากับคุณพ่อก็เข้าใจว่าการตรวจประวัติไม่น่าจะใช้เวลานานมากก็เลยรอประมาน 2-3 วัน จึงได้โทรหาตัวแทนอีกครั้ง แต่ตัวแทนก็ยังให้คำตอบเหมือนเดิม คือ เราต้องสำรองจ่ายไปก่อน ซึ่งครั้งแรกที่เราได้คุยกับตัวแทน เราก็ถามตัวแทนเลยว่า
โรคที่คุณพ่อเป็นประกันครอบคลุมไหม ตัวแทนก็ตอบว่าครอบคลุมและอยู่ในระยะเวลาคุ้มครอง แต่ก็จะให้เราสำรองจ่ายไปก่อน ซึ่งเราไม่มีเงินที่จะสำรองจ่ายไปก่อนค่ะ
ต่อมาวันที่ 27 ตุลาคม 67 เราก็ได้โทรหาตัวแทนอีกครั้ง สอบถามว่าเรื่องถึงไหนแล้ว เนื่องจากใกล้ถึงคิวที่จะต้องเข้าผ่าตัดแล้ว ตัวแทนก็ให้ประชุม 3 สาย ให้เราคุยกับ call center ของ กรุงไทย AXA เกี่ยวกับเรื่องที่เราสงสัย เราก็ได้สอบถามว่าการตรวจประวัติจะใช้เวลานานแค่ไหน ทาง call center แจ้งว่าใช้เวลา 30-90 วัน ซึ่งพอเราได้ยินก็ช็อคมาก เพราะตอนนั้นอาจผ่าตัดไม่ทันคิวว่างของหมอแล้วต้องรอคิวผ่าตัดใหม่
ทำไมถึงใช้เวลานานขนาดนี้ แล้วจะให้คุณพ่อรอยังไง เนื่องจากเป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน เราก็เลยถามว่ามีวิธีที่จะทำให้การตรวจประวัติเร็วขึ้นไหม call center ก็แจ้งให้ตัวแทนนำหนังสือมอบอำนาจให้ประกันตรวจประวัติมาให้คุณพ่อเซ็นซึ่งอาจจะทำให้การตรวจประวัติเป็นได้เร็วขึ้น (แต่จะเร็วขึ้นแค่ไหน ตัวแทนก็ตอบไม่ได้) ตัวแทนก็เข้าเอาหนังสือมอบอำนาจให้คุณพ่อเซ็น เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 (ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่า ถ้ามีวิธีที่ทำให้มันเร็วขึ้นได้ ทำไมตัวแทนถึงไม่ทำตั้งแต่วันแรกๆ ที่คุณพ่อเข้าโรงพยาบาล ทำไมต้องรอให้เราโทรไปจี้ก่อนถึงจะหาทางอื่นได้)
ซึ่งเราได้สอบถามคุณหมอว่า ถ้าคุณพ่อต้องออกจากโรงพยาบาลก่อน เพราะ ต้องรอประกันตรวจสอบประวัติเพิ่มเติมก่อน คุณพ่อจะมีความเสี่ยงมากไหม
คุณหมอก็แจ้งว่าก็มีความเสี่ยงมาก เพราะคุณพ่อจะได้รับยาเกล็ดเลือดแค่ตัวเดียว เพราะ คุณพ่อแพ้ยาแอสไพริน ซึ่งจริงๆแล้ว
ถ้าจะให้มีประสิทธิภาพต้องกินทั้ง 2 ตัว คู่กัน ซึ่งหากคุณพ่อออกจากโรงพยาบาลโดยได้รับยา 1 ตัว อาจจะมีอาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก หรืออาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันขึ้นได้ ซึ่งเป็นสิ่งไม่สามารถคาดเดาได้ และในการออกจากโรงพยาบาลคุณพ่อก็ต้องเซ็นเอกสารยอมรับความเสี่ยงที่จะไม่รับการรักษาอีก (เราที่ได้ฟังคุณหมอบอกแบบนั้น ก็รู้สึกกลัว และวิตกมาก)
ประเด็นที่สงสัย คือ
ในกรมธรรม์ไม่มีการแจ้งเรื่องการสำรองจ่ายก่อน เราจะทำยังไงได้บ้าง
ทางตัวแทนกับ call center พูดแต่ว่าเป็นระเบียบ เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งถ้าเป็นระเบียบหรือหลักเกณฑ์ทั่วไป ทำไมไม่แนบในกรมธรรม์ หรือไม่ระบุให้ชัดเจน ว่าต้องส่งประกันติดต่อกัน 3 ปี ก่อน ถึงจะไม่ต้องสำรองจ่าย และที่สำคัญคือ
ตอนที่ตัวแทนมาขายประกัน ไม่ได้มีการแจ้งเรื่องนี้ให้ทางคุณพ่อทราบก่อนเลย ซึ่งถ้าคุณพ่อทราบก่อนว่าต้องมีการส่งประกันติดต่อกัน 3 ปี ก่อน
ถึงจะไม่ต้องสำรองจ่าย คุณพ่อก็คงจะไม่ทำประกันกับบริษัทประกันนี้
และอีกอย่างคือ ก่อนทำประกันตัวแทนก็ให้คุณพ่อไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลแล้ว ก็ไม่พบว่าคุณพ่อเคยเป็นโรคนี้มาก่อน ทำไมพอถึงเวลาที่จะต้องใช้ประกัน ถึงต้องเป็นปัญหา ทำไมประกันไม่ตรวจสอบให้ครอบคลุมก่อนที่จะอนุมัติกรมธรรม์ แต่พอผู้เอาประกันประสพปัญหาต้องใช้ประกัน ถึงจะเพิ่งมาตรวจสอบประวัติที่ต้องใช้เวลาถึง 30-90 วัน ซึ่งนานมากๆ พร้อมด้วยข้ออ้างต่างๆ ที่ไม่ยุติธรรมกับผู้เอาประกันเลย
ในการที่เราทำประกันก็เพื่อที่จะให้ประกันดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแทนเรา ถ้าเราไม่มีเงินสำรองจ่าย และต้องรอตรวจสอบประวัติ 30-90 วัน แบบนี้คุณพ่อจะได้รับการรักษาทันหรอคะ และการทำประกันที่จ่ายเบี้ยค่อนข้างสูง เราก็หวังว่าจะได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้ รวดเร็วกว่านี้
หรืออย่างน้อย บริษัทประกันก็น่าจะต้องมีแผนช่วยเหลือผู้เอาประกันที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ตอบแค่ว่าสำรองจ่ายไปก่อนตรวจสอบแล้วจะคืนให้
หรือให้รอ 30-90 วัน ตรวจสอบแล้วค่อยผ่าตัดโดยไม่ต้องสำรองจ่าย คือเราเป็นผู้เอาประกัน จ่ายเบี้ยประกัน ตรวจสุขภาพเรียบร้อยแล้ว
อนุมัติประกันแล้ว ไม่มีการปฏิเสธไม่รับประกันใดๆ จากบริษัทประกัน และพ้นะระยะเวลา waiting period แล้ว หมายความว่าขั้นตอนครบถ้วนแล้ว
ถ้าบริษัทจะตรวจสอบบริษัทก็ตรวจสอบไป แต่จะต้องชำระค่าผ่าตัดให้เรา ถ้าตรวจสอบแล้วเรามีประวัติไม่ถูกต้องจะมาฟ้องเราทีหลังก็ได้
การที่บริษัทประกันทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับผู้เอาประกันเลย
เราอยากจะปรึกษาเพื่อนๆ ว่า กรณีแบบนี้เราต้องทำยังไงดี แก้ไขปัญหายังไงดี ตอนนี้เราไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรเลยค่ะ
กรุงไทย AXA แผน ihealthy ultra Gold เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน แต่ให้สำรองจ่ายก่อน ทำยังไงดี
อยากขอคำปรึกษาเพื่อนๆ ค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า
คุณพ่อได้ทำประกันของ กรุงไทย AXA ihealthy ultra Gold เมื่อเดือน มกราคม 67 เบี้ยประกัน 137,570 บาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 67 คุณพ่อได้เข้าโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บหน้าอกซึ่งคุณพ่อสงสัยว่าน่าจะเป็นกรดไหลย้อน
แต่พอได้รับการตรวจแล้วคุณหมอแจ้งว่าไม่น่าใช่กรดไหลย้อน น่าจะเกี่ยวกับหัวใจ เลยได้ทำการตรวจหัวใจและพบว่าเส้นเลือดหัวใจมีการอุดตันและตีบ
ประมาน 3-4 เส้น จึงทำให้คุณพ่อมีอาการเจ็บหน้าอก ซึ่งคุณพ่อจะต้องได้รับการรักษาโดยการทำบายพาส
แต่สิ่งที่พิเศษว่าคนอื่นคือ คุณพ่อแพ้ยาแอสไพรินซึ่งเป็นยาสำคัญในการรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันซึ่งการแพ้ยาของคุณพ่อทำให้การรักษายากกว่าเคสปกติ
ต่อมาทางโรงพยาบาลได้ส่งเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการผ่าตัดไปที่บริษัทประกัน แต่บริษัทประกันแจ้งกลับมาว่าให้คุณพ่อสำรองจ่ายไปก่อน
ซึ่งค่าจ่ายใช้ที่โรงพยาบาลประเมินเบื้องต้นประมาน 650,000 บาท ด้วยจำนวนเงินที่เยอะแบบนี้ จะให้เราสำรองจ่ายไปก่อนก็เป็นได้ยากมาก
เมื่อคุณพ่อทราบก็ได้มีการติดต่อตัวแทนประกัน สอบถามว่าทำไมต้องสำรองจ่ายไปก่อน เพราะ อยู่ในระยะเวลาคุ้มครองและพ้น waiting period แล้ว
ทางตัวแทนก็แจ้งประมานว่า
ระยะเวลาที่เราทำประกันยังน้อยไป และต้องตรวจสอบประวัติเพิ่มเติม เรากับคุณพ่อก็เข้าใจว่าการตรวจประวัติไม่น่าจะใช้เวลานานมากก็เลยรอประมาน 2-3 วัน จึงได้โทรหาตัวแทนอีกครั้ง แต่ตัวแทนก็ยังให้คำตอบเหมือนเดิม คือ เราต้องสำรองจ่ายไปก่อน ซึ่งครั้งแรกที่เราได้คุยกับตัวแทน เราก็ถามตัวแทนเลยว่า
โรคที่คุณพ่อเป็นประกันครอบคลุมไหม ตัวแทนก็ตอบว่าครอบคลุมและอยู่ในระยะเวลาคุ้มครอง แต่ก็จะให้เราสำรองจ่ายไปก่อน ซึ่งเราไม่มีเงินที่จะสำรองจ่ายไปก่อนค่ะ
ต่อมาวันที่ 27 ตุลาคม 67 เราก็ได้โทรหาตัวแทนอีกครั้ง สอบถามว่าเรื่องถึงไหนแล้ว เนื่องจากใกล้ถึงคิวที่จะต้องเข้าผ่าตัดแล้ว ตัวแทนก็ให้ประชุม 3 สาย ให้เราคุยกับ call center ของ กรุงไทย AXA เกี่ยวกับเรื่องที่เราสงสัย เราก็ได้สอบถามว่าการตรวจประวัติจะใช้เวลานานแค่ไหน ทาง call center แจ้งว่าใช้เวลา 30-90 วัน ซึ่งพอเราได้ยินก็ช็อคมาก เพราะตอนนั้นอาจผ่าตัดไม่ทันคิวว่างของหมอแล้วต้องรอคิวผ่าตัดใหม่
ทำไมถึงใช้เวลานานขนาดนี้ แล้วจะให้คุณพ่อรอยังไง เนื่องจากเป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน เราก็เลยถามว่ามีวิธีที่จะทำให้การตรวจประวัติเร็วขึ้นไหม call center ก็แจ้งให้ตัวแทนนำหนังสือมอบอำนาจให้ประกันตรวจประวัติมาให้คุณพ่อเซ็นซึ่งอาจจะทำให้การตรวจประวัติเป็นได้เร็วขึ้น (แต่จะเร็วขึ้นแค่ไหน ตัวแทนก็ตอบไม่ได้) ตัวแทนก็เข้าเอาหนังสือมอบอำนาจให้คุณพ่อเซ็น เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 (ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่า ถ้ามีวิธีที่ทำให้มันเร็วขึ้นได้ ทำไมตัวแทนถึงไม่ทำตั้งแต่วันแรกๆ ที่คุณพ่อเข้าโรงพยาบาล ทำไมต้องรอให้เราโทรไปจี้ก่อนถึงจะหาทางอื่นได้)
ซึ่งเราได้สอบถามคุณหมอว่า ถ้าคุณพ่อต้องออกจากโรงพยาบาลก่อน เพราะ ต้องรอประกันตรวจสอบประวัติเพิ่มเติมก่อน คุณพ่อจะมีความเสี่ยงมากไหม
คุณหมอก็แจ้งว่าก็มีความเสี่ยงมาก เพราะคุณพ่อจะได้รับยาเกล็ดเลือดแค่ตัวเดียว เพราะ คุณพ่อแพ้ยาแอสไพริน ซึ่งจริงๆแล้ว
ถ้าจะให้มีประสิทธิภาพต้องกินทั้ง 2 ตัว คู่กัน ซึ่งหากคุณพ่อออกจากโรงพยาบาลโดยได้รับยา 1 ตัว อาจจะมีอาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก หรืออาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันขึ้นได้ ซึ่งเป็นสิ่งไม่สามารถคาดเดาได้ และในการออกจากโรงพยาบาลคุณพ่อก็ต้องเซ็นเอกสารยอมรับความเสี่ยงที่จะไม่รับการรักษาอีก (เราที่ได้ฟังคุณหมอบอกแบบนั้น ก็รู้สึกกลัว และวิตกมาก)
ประเด็นที่สงสัย คือ
ในกรมธรรม์ไม่มีการแจ้งเรื่องการสำรองจ่ายก่อน เราจะทำยังไงได้บ้าง
ทางตัวแทนกับ call center พูดแต่ว่าเป็นระเบียบ เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งถ้าเป็นระเบียบหรือหลักเกณฑ์ทั่วไป ทำไมไม่แนบในกรมธรรม์ หรือไม่ระบุให้ชัดเจน ว่าต้องส่งประกันติดต่อกัน 3 ปี ก่อน ถึงจะไม่ต้องสำรองจ่าย และที่สำคัญคือ
ตอนที่ตัวแทนมาขายประกัน ไม่ได้มีการแจ้งเรื่องนี้ให้ทางคุณพ่อทราบก่อนเลย ซึ่งถ้าคุณพ่อทราบก่อนว่าต้องมีการส่งประกันติดต่อกัน 3 ปี ก่อน
ถึงจะไม่ต้องสำรองจ่าย คุณพ่อก็คงจะไม่ทำประกันกับบริษัทประกันนี้
และอีกอย่างคือ ก่อนทำประกันตัวแทนก็ให้คุณพ่อไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลแล้ว ก็ไม่พบว่าคุณพ่อเคยเป็นโรคนี้มาก่อน ทำไมพอถึงเวลาที่จะต้องใช้ประกัน ถึงต้องเป็นปัญหา ทำไมประกันไม่ตรวจสอบให้ครอบคลุมก่อนที่จะอนุมัติกรมธรรม์ แต่พอผู้เอาประกันประสพปัญหาต้องใช้ประกัน ถึงจะเพิ่งมาตรวจสอบประวัติที่ต้องใช้เวลาถึง 30-90 วัน ซึ่งนานมากๆ พร้อมด้วยข้ออ้างต่างๆ ที่ไม่ยุติธรรมกับผู้เอาประกันเลย
ในการที่เราทำประกันก็เพื่อที่จะให้ประกันดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแทนเรา ถ้าเราไม่มีเงินสำรองจ่าย และต้องรอตรวจสอบประวัติ 30-90 วัน แบบนี้คุณพ่อจะได้รับการรักษาทันหรอคะ และการทำประกันที่จ่ายเบี้ยค่อนข้างสูง เราก็หวังว่าจะได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้ รวดเร็วกว่านี้
หรืออย่างน้อย บริษัทประกันก็น่าจะต้องมีแผนช่วยเหลือผู้เอาประกันที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ตอบแค่ว่าสำรองจ่ายไปก่อนตรวจสอบแล้วจะคืนให้
หรือให้รอ 30-90 วัน ตรวจสอบแล้วค่อยผ่าตัดโดยไม่ต้องสำรองจ่าย คือเราเป็นผู้เอาประกัน จ่ายเบี้ยประกัน ตรวจสุขภาพเรียบร้อยแล้ว
อนุมัติประกันแล้ว ไม่มีการปฏิเสธไม่รับประกันใดๆ จากบริษัทประกัน และพ้นะระยะเวลา waiting period แล้ว หมายความว่าขั้นตอนครบถ้วนแล้ว
ถ้าบริษัทจะตรวจสอบบริษัทก็ตรวจสอบไป แต่จะต้องชำระค่าผ่าตัดให้เรา ถ้าตรวจสอบแล้วเรามีประวัติไม่ถูกต้องจะมาฟ้องเราทีหลังก็ได้
การที่บริษัทประกันทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับผู้เอาประกันเลย
เราอยากจะปรึกษาเพื่อนๆ ว่า กรณีแบบนี้เราต้องทำยังไงดี แก้ไขปัญหายังไงดี ตอนนี้เราไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรเลยค่ะ