รถประจำทาง มุมมองที่หนึ่ง (2)

กระทู้สนทนา
รถประจำทาง
 
              มุมมองที่หนึ่ง (2)

              ช่างเรื่องคนรวยคนจนพวกนั้นไปก่อน เพราะส่วนตัวที่ผมว่าผมไม่แคร์นั้น ผมหมายความตามที่พูดจากใจจริง ก็แค่เลือกใช้ชีวิต เลือกทำกิจกรรมให้เหมาะสมกับรายได้ เงินแค่นี้สำหรับผมก็อยู่ได้สบาย ๆ ไม่ต้องมีอะไรให้เดือดเนื้อร้อนใจแล้ว

              ดังนั้น การพักผ่อนหย่อนใจที่ต้องใช้เงินฟุ่มเฟือย ในแบบที่จะทำให้ผมต้องมานั่งกลุ้มใจจนกุมขมับจึงดูไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะถ้าการใช้จ่ายเหล่านั้นจะทำให้ผมต้องอดมื้อกินมื้อตอนสิ้นเดือนด้วยแล้วละก็ มันจะเป็นตัวเลือกท้ายที่สุดของท้ายที่สุดอีกที ซึ่งผมก็จะไม่มีวันเลือกตัวเลือกนั้นอย่างแน่นอน

              สำหรับผมแล้ว...วิธีที่ประหยัดอีกทั้งยังง่ายกว่าทางเลือกพวกนั้น คือคำตอบที่ถูกต้องและดีที่สุดสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจของตัวเอง

              ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ซึ่งแผดแสงแรงกล้ามาตลอดวันทอแสงสุดท้ายและกำลังจะลาลับขอบฟ้าไป ขณะที่สภาพอากาศซึ่งร้อนอบอ้าวอย่างยาวนานกำลังเริ่มผ่อนคลายสบายตัวขึ้นบ้างแล้ว ผมชอบและเลือกที่จะนั่งเฉย ๆ รับลมเย็น ๆ อยู่บนรถประจำทาง

              ยามเมื่อรถเมล์กำลังแล่นอย่างเอื่อยเฉื่อยไปเรื่อย ชั่วขณะที่สายลมเข้าปะทะตรง ๆ ที่ผิวหน้า ลูบไล้ไล่ความร้อนจากผิวกายให้บรรเทาลงไปยามเมื่อเคลื่อนไหลผ่าน มันคืออารมณ์ซึ่งบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกสบายและทำให้มีความสุขได้อย่างน่าประหลาดเลยทีเดียว

              นั่งเพลินมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย สังเกตสีหน้าท่าทาง การขยับเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง อากัปกิริยาท่วงท่าต่าง ๆ ของผู้คนที่หลุดเข้ามาในกรอบสายตา สิ่งเหล่านี้คือวัตถุดิบชั้นยอดที่ทำให้หัวสมองของผมได้คิดต่อยอด ทำให้ได้ใช้จินตนาการคาดเดาไปต่าง ๆ นานา

              ความคิดที่อยู่ในหัวสมองเหล่านั้นคืออะไร อารมณ์แบบไหนที่กำลังรู้สึก พวกเขากำลังจะทำอะไรต่อจากนี้ นอกจากจะได้ความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าจากสายลมที่โกรกโบกพัดมาแล้ว มันยังช่วยปลุกพลังแห่งความความช่างสังเกต ความคิดวิเคราะห์ในตัวผมให้ตื่นขึ้นอีกด้วย

              นี่ละ คือความสนุกของการพักผ่อนหย่อนใจในแบบของผม และก็เพราะแบบนี้นี่ละ จึงเป็นสาเหตุที่เบาะนั่งยาวหลังรถด้านชิดริมหน้าต่างกลายเป็นที่นั่งตำแหน่งโปรดของผม แน่นอนอยู่แล้วว่า มันทำให้ผมเหลียวซ้ายแลขวามองอะไรต่อมิอะไรได้อย่างสะดวกโดยไม่ขัดหูขวางตาคนอื่น อีกทั้งยังทำให้ผมสามารถสังเกตพฤติกรรมของใครต่อใครง่ายขึ้นได้อีกด้วย

              คนที่กำลังเดินอยู่บนทางเท้า ใครที่กำลังรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ผู้มีกำลังพอจะซื้อรถยนต์ซึ่งกำลังขับรถของพวกเขาอยู่บนท้องถนน ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้โดยสารทั้งหมดที่อยู่บนรถโดยสารคันเดียวกันนี้กับผม

              โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า การที่คน ๆ หนึ่งจะทำอากัปกิริยาท่าทางอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างออกมา นั่นเพราะในใจของพวกเขาเหล่านั้นกำลังมีอารมณ์ความรู้สึก หรือความนึกคิดถึงเรื่องบางเรื่องอยู่

              ซึ่งสิ่งเหล่านั้นที่กำลังวนเวียนอยู่ภายใน จะส่งผลให้แสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างออกมา อาจจะด้วยในรูปแบบความเคยชิน จนแม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่ทันรู้ตัวและคาดไม่ถึงเช่นกัน

              จากประสบการณ์ตรงในเรื่องการสังเกตผู้อื่นที่ได้สั่งสมมาในระดับหนึ่ง ผมค้นพบว่า ไม่ว่าพฤติกรรมของคนแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันมากน้อยสักเพียงใด แม้ว่าการแสดงออกของแต่ละคนจะดูเหมือนหรือคล้ายกับว่า เป็นการกระทำหรือแสดงออกที่มีลักษณะของความเป็นส่วนตัวและมีความเฉพาะบุคคลขนาดไหนก็ตาม

              แต่หากได้ลองวิเคราะห์ลงไปให้ลึก เมื่อจำแนกแยกแยะพฤติกรรมฟุ่มเฟือยหรือพฤติกรรมแวดล้อมเสริมออกไปจนหมดแล้ว ก็จะเหลือเพียงพฤติกรรมหรือการแสดงออกที่เป็นใจความสำคัญ หรือแก่นหลักแห่งพฤติกรรมอยู่เพียงสองประเภทเท่านั้น

              ซึ่งผมตั้งชื่อให้มันว่า ‘ทฤษฎีพฤติกรรมสากลและพฤติกรรมเฉพาะ’

              พฤติกรรมที่ไม่ว่าใครก็ตามที่กำลังเกิดอารมณ์ความรู้สึกใดความรู้สึกหนึ่ง ซึ่งทำให้เผยหรือแสดงอาการ ท่าทาง รวมถึงอากัปกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เหมือนหรือคล้ายกันออกมา ตามทฤษฎีของผมนั่นคือพฤติกรรมสากล

              หากจะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกหน่อยสำหรับกรณีนี้ ก็อย่างเช่นคนที่กำลังใช้ความคิดมักจะขมวดคิ้วเข้าหากัน คนที่กำลังปวดหัว นอกจากขมวดคิ้วแล้วก็มักจะใช้นิ้วบีบนวดบริเวณขมับหรือหัวคิ้วควบคู่ไปด้วย

              หรือถ้ายกตัวอย่างให้ชัดเจนและง่ายกว่านี้ ก็เช่น คนที่กำลังกลุ้มใจมักถอนหายใจออกมาให้เห็นเป็นระยะ หากหนักมากจนรู้สึกหดหู่ก็จะมีอาการเหม่อลอยร่วมด้วย และถ้าหากเรื่องกลุ้มใจนั้นเกิดจากการคิดไม่ตก หัวคิ้วก็จะขมวดเข้าหากันอย่างคนกำลังใช้ความคิด

              ทั้งนี้ความถี่ในพฤติกรรมการถอนหายใจ เหม่อลอย ขมวดคิ้ว ก็มักจะสัมพันธ์กับความบ่อยของการวกกลับมาคิดถึงและความรุนแรงของปัญหานั่นเอง

              จะเห็นว่าพฤติกรรมสากลเป็นพฤติกรรมที่เรา ๆ ต่างก็คุ้นเคย และพบเห็นกันได้บ่อย ๆ อยู่แล้ว ซึ่งมันก็ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นสามารถคาดเดาได้ไม่ยากนัก ว่าผู้ที่แสดงอาการเหล่านี้ออกมาน่าจะเป็นอะไรหรือกำลังคิดอะไรอยู่

              ส่วนพฤติกรรมเฉพาะนั้นต่างออกไป แน่นอนว่านั่นก็ตรงตัวกับสิ่งที่ผมตั้งให้อยู่แล้ว ว่ามันคือพฤติกรรมที่คน ๆ หนึ่งจะแสดงออกมาในรูปแบบเฉพาะของตัวเองเท่านั้น อาจจะมีซ้ำกันบ้างในคนบางคน แต่ก็ต้องไม่ใช่อาการที่คนส่วนใหญ่ทำกัน

              เป็นอาการหรืออากัปกิริยาที่ถึงแม้คนแต่ละคนจะคิดเหมือน ๆ กัน แต่พวกเขาก็จะไม่แสดงให้เห็นในแบบเดียวกันนั่นเอง

              หากมีคนสามคนนั่งอยู่ด้วยกัน และทั้งสามคนนี้ต่างก็กำลังลูบไล้เส้นผมของตัวเองอยู่ คนที่หนึ่งอาจทำเพราะมั่นใจในความงามและสุขภาพเส้นผมของตัวเองเป็นอย่างมาก คนที่สอง แทนที่จะเป็นเส้นผม แต่เขาหรือเธออาจทำไปเพราะมั่นใจในรูปร่างหน้าตา รวมถึงเครื่องแต่งกายที่กำลังสวมประดับอยู่ในวันนี้

              ในขณะที่คนที่สามนั้น อาจเป็นคนที่ขาดความมั่นใจอย่างหนักจนต้องหาสิ่งยึดเหนี่ยว ต้องย้ำคิดย้ำทำเพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง ซึ่งตรงกันข้ามกับสองคนที่กล่าวไปแล้วอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง

              พฤติกรรมเฉพาะจึงเป็นอะไรที่คาดเดาได้ยากกว่า และมีความไม่แน่นอนสูงกว่าพฤติกรรมสากล แต่ก็เพราะว่ามันเป็นอย่างนี้นี่ละ สิ่งที่เรียกว่าพฤติกรรมเฉพาะจึงมีความน่าสนใจมากกว่า

              นั่นเพราะการแสดงออกในชั่วขณะนั้นของใครต่อใครที่ผมสังเกตเห็น มันทำให้จินตนาการของผมทำงาน ทำให้ความคิดของผมได้โลดแล่นไปยังที่ไกลแสนไกล ไปไหนต่อไหนได้อย่างไร้ขีดจำกัด

              บางครั้งการแสดงพฤติกรรมอันแสนธรรมดาสามัญก็ทำให้ผมรู้สึกตลกขบขันได้ บ่อยครั้งที่ทำให้ผมรู้สึกคล้ายกับว่าตนเองกำลังล่องลอยอยู่ในภวังค์ของใครคนนั้น และนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว ที่จู่ ๆ เลือดลมในกายก็เกิดสูบฉีดรุนแรงขึ้นมา ด้วยเพราะอารมณ์อันแสนเบิกบานหฤหรรษ์ที่ก่อเกิด ถาโถมปั่นป่วนอยู่ภายในอกจนแทบระงับยับยั้งเอาไว้ไม่ไหว

              ดำดิ่งลึกลงไปในอารมณ์ผ่านทางสีหน้า ทางพฤติกรรมการแสดงออก จนเกิดอยากรู้ขึ้นมาจริง ๆ ว่าพวกเราจะใจตรงกันไหม เขาหรือเธอผู้นั้นกำลังคิดและรู้สึกเหมือนกันกับที่ผมคิดและรู้สึกอยู่หรือเปล่า

              อันที่จริงผมเพิ่งเริ่มงานอดิเรกอันน่าหลงใหลนี้ได้ไม่นานเท่าใดนัก แต่กลายเป็นว่ามันกลับทำให้ผมได้ค้นพบโลกใบใหม่ ได้พึงพอใจในแบบที่งานอดิเรกแบบอื่นไม่มีวันจะให้ผมได้อย่างน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว
 

              อา...ผมยังจำวันแรกวันนั้นได้เป็นอย่างดี
 

              มันเป็นวันหยุดประจำที่มีเพียงสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง วันอาทิตย์อันแสนร้อนอบอ้าวซึ่งไม่ได้แตกต่างไปจากวันนี้สักนิด และมันก็น่าจะเหมือนกับวันหยุดที่ผ่านมาอย่างทุกครั้ง ที่ผมจะมีนัดกับแฟนไปเดินเที่ยว ดูข้าวของเครื่องใช้ เลือกซื้อเสื้อผ้า ของกระจุกกระจิก และกินมื้ออร่อย ๆ ด้วยกันในห้างสรรพสินค้า

              เป็นกิจกรรมซึ่งเหมือนกับที่คู่รักส่วนใหญ่ทั่วไปทำกันนั่นละ

              ผมและแฟนสาวที่กำลังพูดถึงอยู่คนนี้คบหาดูใจกันมาได้ปีกว่าแล้ว เธอเคยเล่าให้ผมฟังว่าเธอเป็นเด็กสาวจากซอกหลืบหนึ่งของถิ่นเมืองอันทุรกันดาร

              เพราะอยากมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ อยากมีรายได้มีเงินเป็นกอบเป็นกำไว้ใช้จ่าย รวมถึงเลี้ยงครอบครัวข้างหลังให้ได้สุขสบายขึ้น พอเริ่มเติบใหญ่และมีกำลังมากพอ จึงตัดสินใจออกจากบ้านเกิดเมืองนอนมา เพื่อหวังขุดทองเก็บเงินอยู่ภายในเมืองหลวงอันแสนเจริญรุ่งเรืองที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้

              ใบหน้าใสหมดจดไร้ซึ่งเครื่องประทินผิวแต่งแต้ม รอยยิ้มใสซื่อดูไร้เดียงสา เสียงหัวเราะกังวานอย่างจริงใจไร้จริตจะก้าน นั่นคือความงดงามตามแบบฉบับสาวบ้านนาของเธอ เป็นเสน่ห์อันติดตาตรึงใจตั้งแต่แรกเห็นจนไม่อาจลบเลือนให้หายไป
 

              ใช่...วันอาทิตย์วันนั้นน่าจะเหมือนกับทุกวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พวกเราสองคนควรได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเหมือนกับทุกวันหยุด

              แต่มันกลับไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด ในวันนั้น ทุกอย่างที่เป็นเธอหายไปราวกับผมกำลังเดินเล่น เลือกซื้อข้าวของ กินข้าว และจับจูงมืออยู่กับคนแปลกหน้าที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน

              บรรยากาศอึมครึมหม่นมัวแผ่ขยายปกคลุมไปทุกสถานที่ที่พวกเราเดินผ่าน เมฆหมอกแห่งความคลางแคลงหนาแน่นทึมทึบขึ้นเรื่อย ๆ ทุกขณะจนผมรู้สึกอึดอัดแทบทนไม่ไหว เธอเอาแต่นิ่งเงียบราวกับหุ่นยนต์ไร้ชีวิต ก้มหน้าก้มตามองพื้นอยู่แทบตลอดเวลา ทำทุกอย่างอย่างไร้จิตใจคล้ายต้องการให้มันผ่านพ้นและจบลงไปเสียที

              เวลาซึ่งควรจะเป็นช่วงแห่งความสุขผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า เหงาหงอย ไร้ความหมาย และสุดแสนทรมาน มันเหลือทิ้งไว้ทั้งความว่างเปล่า ความหวาดระแวง ให้ต้องติดค้างอยู่ในใจอย่างน่าขนลุก วันหยุดวันเดียวต่อสัปดาห์อันแสนมีค่ากำลังจะจบลงไป โดยยังคงค้างคาความรู้สึกอันหดหู่แสนเลวร้ายเหล่านี้เอาไว้

              ดวงตะวันคล้อยต่ำลง แสงสีส้มสุดท้ายของวันทอลงมา อาบย้อมสภาพแวดล้อมอย่างเงียบเหงาเศร้าสร้อย ในขณะที่พวกเราสองคนนั่งอยู่ด้วยกันบนรถโดยสารประจำทางสายเดิม เพื่อที่ผมจะได้ส่งเธอกลับถึงห้องพักอย่างปลอดภัย

              “เราเลิกกันเถอะนะ”

              แล้วคำพูดสั้น ๆ ประโยคนี้ที่ถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากบางของเธอ ก็ราวกับประกาศิตหรือคำสั่งประหารชีวิต รวดเร็วและเด็ดขาดจนผมไม่มีเวลาเหลือพอให้ได้ตั้งตัวหรือทำใจเลยแม้แต่วินาทีเดียว

              ไม่กี่อึดใจที่เกิดขึ้นทำให้ผมแทบสิ้นสติ ชัดเจนทรงพลังจนราวกับถูกนักมวยชกเข้าอย่างจังตรงใบหน้าจนรู้สึกมึนชาไปถึงสมอง เจ็บปวดแสนสาหัสจนติดตาตรึงใจมาจนทุกวันนี้

              หลังจากนั้น...ตลอดระยะทางที่เหลือของเราทั้งสองก็มีเพียงความเงียบเชียบ ไม่มีใครเหลียวมองสบตาใคร ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลยแม้เพียงสักคำเดียว

              บรรยากาศหดหู่หนักอึ้งก่อนหน้านี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ผมรู้สึกหูอื้อ ตาลาย ไม่อาจได้ยินเสียงอะไร ไม่สามารถเห็นสิ่งใดได้ชัดเจน ไม่ต้องการรับรู้อะไรอีกแล้วต่อจากนี้ ผมอยากหายตัวไป อยากหายไป หายไปจากตรงนี้ แล้วไปโผล่ที่ไหนก็ได้ที่มีแต่ผมเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้

              ชั่วขณะที่รถเมล์เดินทางมาจนถึงปลายทาง วินาทีที่เธอลุกขึ้นและก้าวเดินลงจากรถไป โดยไม่แม้แต่แค่จะหันหรือชายตากลับมามอง

จบตอน (2)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่