เครดิตบูโร เปิดตัวเลข 8 เดือน แบงก์เร่งปรับโครงสร้าง 1 ล้านบัญชี เม็ดเงิน 5.4 แสนล้าน

เครดิตบูโร เปิดข้อมูล 8 เดือน พบสินเชื่อโตต่ำ 0.8% SMEs หดตัวติดลบ 3.3% ยอดหนี้เสียคาดยังไหลแตะ 1.2 ล้านล้านบาท ด้าน SM อยู่ที่ 6.4 แสนล้านบาท หลังแบงก์ปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกสกัดหนี้ 1 ล้านบัญชี วงเงิน 5.4 แสนล้านบาท

วันที่ 19 ตุลาคม 2567 นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ได้โพสต์เฟสบุ๊ก “Surapol Opasatien” ว่า สรุปตัวเลขสิ้นสุดเดือน​สิงหาคม​ 2567​ ซึ่งขอเน้นว่ายังไม่เห็นหรือรวมผลกระทบจากการที่เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่​ โดยตัวเลขที่น่าสนใจจะเป็นตัวเลขสิ้นสุดไตรมาส​ 3 หรือ เดือนกันยายน​ 2567​ ซึ่งจะออกมาในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิ​กายน​ 2567 นี้

จากภาพที่แสดง​ 6 ภาพมีความหมายดังนี้
1.จากฐานข้อมูล​สถิติที่ไม่มีตัวตนของเครดิตบูโร​ครอบคลุมหนี้สินรายย่อยของประชาชนที่ไม่รวมลูกหนี้นิติบุคคลนั้นซึ่งรวบรวมจากสถาบันการเงิน​สมาชิกเครดิตบูโร​กว่า​ 158 แห่งพบว่า​มียอดสินเชื่อ​ 13.63 ล้านล้านบาท​ มีการเติบโต​ YoY​ 0.8%, MoM 0.0% คือแทบไม่มีการเติบโต​

2.หนี้เสียหรือ​ NPL มาหยุดอยู่ที่​ 1.18 ล้านล้านบาทเคลื่อนที่ช้าๆ ไปสู่จุด​ 1.2 ล้านล้านบาทตามที่คาดการณ์​ไว้เมื่อต้นปี​ 2567​ คิดเป็นอัตราส่วน​ 8.7% ของยอดสินเชื่อรวม​ แน่นอนว่าหนี้เสียก้อนนี้ที่ค้างเกิน​ 90 วัน​ กำลังรอมาตรการแก้ไขแบบแรงๆ​ มีแรงจูงใจสูงทั้งเจ้าหนี้​ ลูกหนี้​ ให้เข้ามาตกลงกัน​ ภายใต้กติกาที่ผู้กำกับดูแลน่าจะได้ขยับเข้ามากระชับพื้นที่​(ได้แล้ว)​ ผลัดกันเขียน​ เวียนกันอ่าน​ ผ่านกันชม​ เม้นท์​กันไปมา​ หาเหตุติชม​ มันอาจกินเวลาที่ดอกเบี้ยมันเดินทุกเมื่อเชื่อวันของผู้คนปกติธรรมดา​ เดินดิน​ กินข้าวกล่อง​ ที่ไม่ได้เข้าใจภาษาเทพภาษาพรหมของท่านๆนะครับ​ ภาษาชาวบ้าน​ จะทำอะไรก็รีบทำ​ ดอกมันเดิน​ทุกวัน​ จะได้กดเข็มไมล์เดินหน้ากับชีวิตพิชิตหนี้กันต่อไป

3.หนี้กำลังจะเสียหรือหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษหรือ​ SM ในเดือนสิงหาคม​ 2567 ในระบบของเครดิตบูโร​มาหยุดอยู่ที่​ 6.4 แสนล้านบาทคิดเป็น​ 4.7% นิ่งๆ​ มาตรการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกันหรือ​ DR หรือ​ Preemptive​ Debt​ Restructure ที่เริ่มให้มีการบันทึกข้อมูล​ในระบบเครดิตบูโรตั้งแต่เมษายน​ 2567​ ตอนนี้มียอดสะสมจนถึงสิงหาคม​ 2567​ คิดเป็น​จำนวน​ 1 ล้านบัญชีเศษ​ ผมก็ไม่รู้ว่าทำกันมากน้อยเพราะไม่มีตัวเลขเปรียบเทียบก่อนหน้าเดือนเมษา​ 2567​ เพราะไม่ได้รับอนุญาต​ให้เก็บข้อมูล​นี้

จำนวนเงินที่ทำ​ DR​ สะสมจนถึงตอนนี้​ 5.4 แสนล้านบาท​ มาตรการนี้เป็นเหมือนฝายทดน้ำไม่ให้​ SM ไหลไปเป็น​ NPLs เพราะตามเกณฑ์​การให้สินเชื่อที่รับผิดชอบ​ เจ้าหนี้ต้องยื่นข้อเสนอให้ลูกหนี้ถ้าเห็นว่าลูกหนี้จะผ่อนตามเงื่อนไขเดิมไม่ไหว​ กล่าวคือปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่จะค้างเกิน​ 90 วัน​ ที่กำลังมีจำนวนทวีเพิ่มคือ​ ลูกหนี้เริ่มร้องมาที่เครดิตบูโร​ว่า​ พอเขาไปทำ​ DR มันกลายเป็นเหตุทำให้เขาขอสินเชื่อไม่ได้​ ถูกปฎิเสธ​ หรือบางลูกหนี้บอกว่าเขายอมเข้าโครงการ​ DR เพราะนึกว่าวันไม่ใช่การปรับโครงสร้างหนี้ที่จะมีการใส่รหัสไว้ในรายงานเครดิตบูโร​ บางรายก็บอกว่าข้อเสนอเจ้าหนี้ที่ให้ทำ​ DR ไม่พูดชัดว่าถ้าทำแล้วอาจจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง​

กล่าวสรุปคือบอกว่า​ รู้ว่าจะโดนปฎิเส​ธสินเชื่อก็อาจจะไม่เข้าโครงการ​ DR ท่านที่ออกกติกาครับ​ โปรดลงไปพูดจาให้เกิดการปฎิบัติอย่างที่ท่านมุ่งหมายด้วยนะครับ​ เป้าตัวเลขที่อยากได้​ กับปริมาณ​คำร้องมันเริ่มทวีมากขึ้น​ เอาใจลูกหนี้มากก็เละ​ ไม่ชัดกับเจ้าหนี้ก็ละล้าละลัง​กัน​ สถานการณ์​กลับก็ไม่ได้​ ไปก็ไม่ถึง​ ถ้ายังเป็นแบบนี้​ ทำอยู่ผิดที​่ 10 ปีก็ไม่ถึงเป้าหมาย

4.สามภาพต่อมาคือข้อมูล​บางส่วนที่ท่านเลขา​ กนง. ได้นำออกมาแถลงชี้แจงผลการตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายของ​ กนง.นะครับ​ กล่าวคือท่านผู้อ่านจะเห็นการเติบโตของสินเชื่อทุกประเภทที่แสดงนั้นเติบโตในอัตราลดลง​ โดยเฉพาะเส้นสีฟ้าคือสินเชื่อ​ SME ติดลบ​ 3.3%
ขณะที่​ NPLs​ ของสถาบันการเงิน (โปรดดูคำนิยามนะครับว่าครอบคลุมใครบ้าง​ เดี๋ยวจะงงว่าครบไม่ครบ)​โดยเฉพาะ​ SMEs มันไปถึง​ 9.1%(ดูคำนิยามด้วยครับว่าใครคือ​ SME​s)

ต่อด้วยสรุปประเด็นสำคัญจากการตัดสินใจของกนง.ว่าเหตุปัจจัยที่ออกมา​ 5:2 ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายนั้นคืออะไรข้อมูล​เพิ่มเติมเล็กๆ คือบัญชีสินเชื่อที่ถือว่าเป็นหนี้เรื้อรังต้องได้รับการแก้ไข​(SPD) ได้รับข้อเสนอให้เข้าโครงการแก้ไข​ และตอบรับการเข้าแก้ไขมีจำนวน​ 5.3 พันบัญชีจากจำนวน​ 5 แสนบัญชีที่เข้าข่ายหนี้เรื้อรัง(ข้อมูล​ตามการแถลง)​ คิดเป็นเงินที่เก็บข้อมูล​ได้​ 247 ล้านบาทจากยอดที่เข้าข่ายเป็นหนี้เรื้อรัง​ 9.7 หมื่นล้านบาท (ข้อมูล​ตามการแถลงเช่นกัน)

ภาพสุดท้าย​ ผมใคร่ขอเสนอเพื่อเป็นเครื่องเจริญสติ​ เมื่อเราได้มีตำแหน่งหน้าที่ตามที่เรามุ่งหวัง​ ทะเยอทะยาน​ มุ่งมั่นเติบโต​ หรือเราได้สมัครเข้ามาทำหน้าที่นั้นแล้ว​ อย่ากลัวที่จะเสียตำแหน่ง​ แต่ควรกลัวที่จะไม่ได้ใช้ตำแหน่งแห่งที่​ อำนาจวาสนานั้น​อย่างเต็มศักยภาพ​ คุ้มกับค่าจ้าง เพื่ออำนวยผลประโยชน์​ในทางบวกแก่ผู้คน (เปราะบาง แม้ไม่มีคำนิยามชัดจนถูกกล่าวว่ามันคือเพียง”วาทกรรม” )​ 

ตำแหน่งอยู่ไม่นาน​ ตำนาน(การทำเรื่องดีๆ)​อยู่ตลอดไป​ พร้อมติดแฮชแท็ก #ไม่ทำอะไรสักที​ อยู่​ 4-5ปีก็ไลฟ์บอยอมยิ้ม16

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1677362

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่