สวัสดีครับ กระทู้นี้เอาจริงใช้เวลานานมากที่คิดว่าจะโพสดีใหม แต่ก็นั้นแหละ ต่อให้ไม่มีใครอ่านหรือสนใจ มันก็เป็นอะไรที่ผมทิ้งเอาใวตรงนี้ละกัน
เรียกว่าไงดี คิดสะว่าเป็นนิทานเรื่องนึงละกัน
ขอตั้งชื่อว่า 10 ปี ที่ไร้ความหมาย (คือชื่อเรื่องมันก็ไม่ได้สำคัญไรหรอก)
เริ่มจากการที่ชาย A เริ่มไม่เห็นความหมายของการใช้ชีวิตตอน 14 แล้วใช้ชีวิตแบบพยายามดิ้นรนเพื่อการหาความสุข แต่ไม่เคยได้รู้สึกเลย ทั้งที่เคยคิดใว้ว่า เงินเยอะก็จะทำให้มีความสุข แต่กับกัน ได้รู้ความจริงในภายหลังว่า มีเงินเยอะไม่ได้ทำให้มีความสุข แต่ทำให้ซื้อความสุขได้ง่ายขึ้นต่างหาก ใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นอยู่ 3ปี จนยอมแพ้ เลยมองหาเส้นทางอื่นว่า สรุปแล้ว ความหมายของชีวิตที่ควรจะเป็น มันเป็นยังไง แต่ก็ไม่ได้คำตอบ ชาย A ได้พบเจอคนมากมาย ทำงานหลายอย่าง ทั้งขาวบ้าง ดำบ้าง ทำเรื่องดีบ้าง ทำเรื่องชั่วบ้าง สุดท้ายตกผลึกว่า การมีชีวิต มันไม่เคยทำให้พบเจอความสุข นั่นเป็นบ่อเกิดของการทำ “อัตวินิบาตกรรม” ทำแบบนั้นอยู่หลายครั้งหลายครา ไม่เคยสำเร็จ ทุกครั้งที่ไม่สำเร็จ ก็จะตกผลึกกับตัวเองเสมอว่า สุดท้ายก็ไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลย อะไรที่ทำให้ชาย A ยังคงฝืนเดินทางต่อไป ทั้งที่ทางข้างหน้า มันมืดบอดไปแล้ว มองไม่เห็นอะไร นั้นคือความหวังเล็กๆว่า สักวันคงได้เจอความหมาย แน่นอนว่าไม่ได้หึดสู้อะไรหรอก แค่ลองไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าเริ่มที่ จะลองด้วยวิธีการใหม่
ในเฟสบุคเนี่ย จะมีกลุ่มต่างๆ มีรวบรวมคนที่สนใจในสิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน เป็นสังคมนึง ชาย A ได้เข้าร่วมกลุ่มต่างๆ หลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่ออกไปทำกิจกรรมอะไรร่วมกัน กลุ่มที่รวบรวมความรู้ต่างๆ หรือแม้แต่กลุ่มที่รวบรวมคนในสายอาชีพหมอเพื่อให้คนที่ต้องการข้อมูลมาตั้งคำถามเพื่อต้องการคำตอบจากหมอหลายๆท่านที่อยู่ภายในกลุ่ม ชาย A ได้เข้าร่วมกิจกรรมแคมปิ้ง อยู่หลายครั้ง นั้นเป็นเหตุการที่ได้พบเจอผู้คนที่มากขึ้น นอกจากแคมปิ้ง ยังมีทริปขับมอไซต์ ทริปเที่ยวเป็นกลุ่มเล็ก เรียกได้ว่า เงินที่หามาก่อหน้านี้มีเก็บอยู่ถึง 4แสนบาท หมดเกลี้ยงไปในระยะเวลาเพียง 3ปี ซึ่งในระยะเวลานี้ ชาย A ได้ความรู้ใหม่ๆในแขนงต่างๆ ออกไปพบเจอผู้คนมากขึ้น และหลากหลายสายงานและประสบการณ์ แต่แล้ว ชาย A ได้เล่าเรื่องประสบการณ์ตัวเองไปในกลุ่มที่มีการรวบรวมหมอใว้ หมอแทบทุกคนบังคับให้ไปพบแพทย์ในทันที นั้นเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เค้าได้รู้ตัวว่า ตัวเองนั้น กำลังป่วย
ผลตรวจออกมา ชาย A เป็นโรคซึมเศร้า เข้าสู่กระบวนการรักษา นั้นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ชาย A ไม่อยากจดจำ การรักษาเต็มไปด้วยความลำบาก และความท้อ หลายครั้งที่คิดว่า ไม่จำเป็นต้องรักษาก็ได้ แค่ปล่อยให้ตัวเองตายจากไปก็เพียงพอแล้ว ในช่วงระหว่าการรักษานั้น เงินที่มีอยู่ก็เริ่มหมดไป เริ่มเป็นมีหนี้สินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นความเครียด แน่นอนว่าการรักษาเป็นผลในทางที่ดี จนหมอได้ให้หยุดยาได้แล้ว แต่ก็นะ ชีวิตมันไม่เคยราบรื่นเลย ชาย A ตรวจเจอโรคร้ายแรง “มะเร็ง” แต่นับเป็นโชคดีได้ใหมเพราะว่า ในระยะเวลา 2ปี ชายรักษาหาย เพราะเป็นอาการระยะเริ่มแรก ประสบการณ์ที่ผ่านมากว่า 10ปี ตอนนี้ชาย A ก็ยังไม่พบเจอกับความหมายของการใช้ชีวิต แต่ตอนนี้ชาย A มีแรงหึดสู้มากขึ้นเพราะ เค้าได้เจอคนที่อยากปกป้อง เจอคนที่อยากดูแล และยอมหันมองคนที่อยู่กับตัวเองมาโดยตลอด และยอมรับตัวเองได้แล้วว่า ต่อให้ตัวเองนั้นไม่มีค่าอะไรในชีวิตนี้แล้ว แต่คนอื่นที่อยู่ข้างเราไม่คิดยังนั้น และถ้าชีวิตมันไม่มีความหมายให้ใช้ ใช้ลมหายใจที่มีตอนนี้ เพื่อคนอื่นแทนน่าจะดีกว่าทิ้งมันไป
อย่างที่ผมบอก คิดสะว่าเป็นนิทานเรื่องนึงละกัน ที่ผมเอามาเล่าสู่กันฟัง ถ้าใครที่คิดว่าตัวเองไร้หนทาง ไร้แรงที่สู้ ลองหันมองหาคนรอบข้างที่อยู่ข้างเราดูครับ ไม่ว่าจะ ครอบครัว เพื่อน คนรัก หรือถ้าหากมีลูก ก็พวกเค้านั้นล่ะครับ ที่พร้อมเป็นกำลังใจให้เสมอ ถ้าอ่านมาถึงตอนนี้ หวังว่าผมจะเป็นกำลังใจให้ใครได้บ้าง จงสู้และอยู่ต่อเถอะครับ
10 ปี ที่ไร้ความหมาย
เรียกว่าไงดี คิดสะว่าเป็นนิทานเรื่องนึงละกัน
ขอตั้งชื่อว่า 10 ปี ที่ไร้ความหมาย (คือชื่อเรื่องมันก็ไม่ได้สำคัญไรหรอก)
เริ่มจากการที่ชาย A เริ่มไม่เห็นความหมายของการใช้ชีวิตตอน 14 แล้วใช้ชีวิตแบบพยายามดิ้นรนเพื่อการหาความสุข แต่ไม่เคยได้รู้สึกเลย ทั้งที่เคยคิดใว้ว่า เงินเยอะก็จะทำให้มีความสุข แต่กับกัน ได้รู้ความจริงในภายหลังว่า มีเงินเยอะไม่ได้ทำให้มีความสุข แต่ทำให้ซื้อความสุขได้ง่ายขึ้นต่างหาก ใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นอยู่ 3ปี จนยอมแพ้ เลยมองหาเส้นทางอื่นว่า สรุปแล้ว ความหมายของชีวิตที่ควรจะเป็น มันเป็นยังไง แต่ก็ไม่ได้คำตอบ ชาย A ได้พบเจอคนมากมาย ทำงานหลายอย่าง ทั้งขาวบ้าง ดำบ้าง ทำเรื่องดีบ้าง ทำเรื่องชั่วบ้าง สุดท้ายตกผลึกว่า การมีชีวิต มันไม่เคยทำให้พบเจอความสุข นั่นเป็นบ่อเกิดของการทำ “อัตวินิบาตกรรม” ทำแบบนั้นอยู่หลายครั้งหลายครา ไม่เคยสำเร็จ ทุกครั้งที่ไม่สำเร็จ ก็จะตกผลึกกับตัวเองเสมอว่า สุดท้ายก็ไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลย อะไรที่ทำให้ชาย A ยังคงฝืนเดินทางต่อไป ทั้งที่ทางข้างหน้า มันมืดบอดไปแล้ว มองไม่เห็นอะไร นั้นคือความหวังเล็กๆว่า สักวันคงได้เจอความหมาย แน่นอนว่าไม่ได้หึดสู้อะไรหรอก แค่ลองไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าเริ่มที่ จะลองด้วยวิธีการใหม่
ในเฟสบุคเนี่ย จะมีกลุ่มต่างๆ มีรวบรวมคนที่สนใจในสิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน เป็นสังคมนึง ชาย A ได้เข้าร่วมกลุ่มต่างๆ หลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่ออกไปทำกิจกรรมอะไรร่วมกัน กลุ่มที่รวบรวมความรู้ต่างๆ หรือแม้แต่กลุ่มที่รวบรวมคนในสายอาชีพหมอเพื่อให้คนที่ต้องการข้อมูลมาตั้งคำถามเพื่อต้องการคำตอบจากหมอหลายๆท่านที่อยู่ภายในกลุ่ม ชาย A ได้เข้าร่วมกิจกรรมแคมปิ้ง อยู่หลายครั้ง นั้นเป็นเหตุการที่ได้พบเจอผู้คนที่มากขึ้น นอกจากแคมปิ้ง ยังมีทริปขับมอไซต์ ทริปเที่ยวเป็นกลุ่มเล็ก เรียกได้ว่า เงินที่หามาก่อหน้านี้มีเก็บอยู่ถึง 4แสนบาท หมดเกลี้ยงไปในระยะเวลาเพียง 3ปี ซึ่งในระยะเวลานี้ ชาย A ได้ความรู้ใหม่ๆในแขนงต่างๆ ออกไปพบเจอผู้คนมากขึ้น และหลากหลายสายงานและประสบการณ์ แต่แล้ว ชาย A ได้เล่าเรื่องประสบการณ์ตัวเองไปในกลุ่มที่มีการรวบรวมหมอใว้ หมอแทบทุกคนบังคับให้ไปพบแพทย์ในทันที นั้นเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เค้าได้รู้ตัวว่า ตัวเองนั้น กำลังป่วย
ผลตรวจออกมา ชาย A เป็นโรคซึมเศร้า เข้าสู่กระบวนการรักษา นั้นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ชาย A ไม่อยากจดจำ การรักษาเต็มไปด้วยความลำบาก และความท้อ หลายครั้งที่คิดว่า ไม่จำเป็นต้องรักษาก็ได้ แค่ปล่อยให้ตัวเองตายจากไปก็เพียงพอแล้ว ในช่วงระหว่าการรักษานั้น เงินที่มีอยู่ก็เริ่มหมดไป เริ่มเป็นมีหนี้สินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นความเครียด แน่นอนว่าการรักษาเป็นผลในทางที่ดี จนหมอได้ให้หยุดยาได้แล้ว แต่ก็นะ ชีวิตมันไม่เคยราบรื่นเลย ชาย A ตรวจเจอโรคร้ายแรง “มะเร็ง” แต่นับเป็นโชคดีได้ใหมเพราะว่า ในระยะเวลา 2ปี ชายรักษาหาย เพราะเป็นอาการระยะเริ่มแรก ประสบการณ์ที่ผ่านมากว่า 10ปี ตอนนี้ชาย A ก็ยังไม่พบเจอกับความหมายของการใช้ชีวิต แต่ตอนนี้ชาย A มีแรงหึดสู้มากขึ้นเพราะ เค้าได้เจอคนที่อยากปกป้อง เจอคนที่อยากดูแล และยอมหันมองคนที่อยู่กับตัวเองมาโดยตลอด และยอมรับตัวเองได้แล้วว่า ต่อให้ตัวเองนั้นไม่มีค่าอะไรในชีวิตนี้แล้ว แต่คนอื่นที่อยู่ข้างเราไม่คิดยังนั้น และถ้าชีวิตมันไม่มีความหมายให้ใช้ ใช้ลมหายใจที่มีตอนนี้ เพื่อคนอื่นแทนน่าจะดีกว่าทิ้งมันไป
อย่างที่ผมบอก คิดสะว่าเป็นนิทานเรื่องนึงละกัน ที่ผมเอามาเล่าสู่กันฟัง ถ้าใครที่คิดว่าตัวเองไร้หนทาง ไร้แรงที่สู้ ลองหันมองหาคนรอบข้างที่อยู่ข้างเราดูครับ ไม่ว่าจะ ครอบครัว เพื่อน คนรัก หรือถ้าหากมีลูก ก็พวกเค้านั้นล่ะครับ ที่พร้อมเป็นกำลังใจให้เสมอ ถ้าอ่านมาถึงตอนนี้ หวังว่าผมจะเป็นกำลังใจให้ใครได้บ้าง จงสู้และอยู่ต่อเถอะครับ