ผมอายุ33ปีครับ ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ตั้งแต่ปี2562 ได้รับการผ่าตัดสมอง(ครั้งที่1)เนื่องจากมีเลือดครั้งในสมองจนต้องเปิดกระโหลกศีรษะออกและผ่าตัด(ครั้งที่2)เพื่อปิดกระโหลกผ่าตัด(ครั้งที่3)เนื่องจากเกิดการติดเชื้อที่กระโหลกศีรษะผ่าตัด(ครั้งที่4)เพื่อใส่กระโหลกศรีษะเทียม
จนตอนนี้กลายเป็นผู้พิการประเภทที่3(นั่งรถเข็น(เดินได้แต่ต้องใช้ไม้พยุงเดิน)ได้เข้าทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งตามคำแนะนำของรุ่นพี่มหาลัยเดียวกันเนื่องจากแกเคยทำงานที่นี่และเห็นผมโพสต์หางานในเฟสบุ๊คแกบอกจะถามผอ.ให้เพราะแกสนิทกับผอ.โรงพยาบาลพอโรงพยาบาลรับผมเขาก็จัดให้ทำตำแหน่งธุรการแผนกคอมพิวเตอร์(สัญญาจ้างรายปีเงินเดือน9,xxx)ซึ่งพอเข้ามาอยู่แผนกก็ได้เรียนรู้การทำงานแล้วก็นั่งสังเกตการทำงานของคนอื่นๆในแผนกซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานที่ต้องออกไปเซอร์วิสตามแผนกต่างๆแต่ด้วยความที่เราเดินไม่ได้เขาเลยสอนงานที่สามารถRemoteEditผ่านคอมฯเราให้แล้วก็รอพี่ธุรการอีกคนแจกงานมาให้ บ้างก็มีพิมำ์เอกสาร รวมถึงสรุปยอดคนไข้ให้กับหัวหน้าแผนก งานค่อยๆห่างออกๆเคยได้มีโอกาสสอบถามจากผู้จัดการฝ่ายบุคคลว่าที่รับเราเนี่ยเพราะรุ่นพี่เราฝากเรากับผอ.รึป่าวเขาก็บอกว่าไม่ใช่คือทางโรงพยาบาลเนี่ยมีโควต้าจะรับคนพิการ5คนอยู่แล้ว(ตามกฎหมายที่จะต้องรับคนงานคนพิการ1%ของแรงงานทั้งหมด)ก่อนหน้านี้มีพนักงานคนพิการแล้วคนโดยที่2คนจะให้ทำงานที่โรงพยาบาลส่วนอีก2คนโรงพยาบาลจะจ้างให้ไปทำงานที่โรงเรียนฝึกคนพิการที่ทางโรงพยาบาลได้มีคอนเนกชั่นกันอยู่ คราวนี้พอเรามาสมัครเขาก็ถามว่าสามารถมาทำงานที่โรงพยาบาลได้ไหมเราก็บอกมาได้ทางโรงพยาบาลก็เลยไปยกเลิกสัญญาจ้างคนพิการอีกคนที่เขาเคยจ้างที่โรงเรียนฝึกคนพิการแล้วมาจ้างเราแทน พอทำงานที่นี่1ปีผ่านไปงานที่เคยถูกมอบให้ก็ไม่มีแล้วเวลามาทำงานก็มานั่งเล่นคอมฯดูหนัง/ฟังเพลงเล่นเกมแต่ก็ยังได้ต่อสัญญาในปีที่2 พอเข้าปีที่2มาได้4-5เดือน หัวหน้างานก็ให้เหตุผลว่าช่วงนี้คนไข้ของทางโรงพยาบาลลดลงนะเลยอยากจะขอลดเวลาการมาทำงานของเราลงจากมาทำงานจันทร์ พุธ ศุกร์ เหลือแค่จันทร์ พุธ ศุกร์รวม24ชม./สัปดาห์แทน พอเจอกับผู้จัดการฝ่ายบุคคล แกก็ถามว่าได้มาทำงานกี่วัน/สัปดาห์เราก็บอกสามวันแกเลยบอกว่าจริงๆลดเหลือค่จันทร์กับศุกร์ก็ได้นะ จริงๆเราก็บอกปฏิเสธเพราะรู้สึกเบื่อที่จะอยู่ที่บ้าน
จนถึงปลายเดือนที่แล้วผู้จัดการฝ่ายบุคคลโทร.บอกแม่ผมว่าสิ้นปีนี้จะขอยกเลิกสัญญาจ้างนะ พอถึงวันที่ได้มาทำงานผมก็เข้าไปถามกับผู้จัดการฝ่ายบุคคลโดยตรงเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ขอโอกาสให้ผมได้ทำงานต่ออีกปีได้ไหม(ปีหน้าค่างวดรถของที่บ้านจะเป็นปีสุดท้าย) คำตอบที่ได้คือเขาบอกว่าเขาดูแลเราค่อนข้างเยอะ(พนักงานในแผนกแจ้งเขาว่าแบบนั้น..อย่างเช่นช่วยเราเปิดประตูเวลาจะไปเข้าห้องน้ำ/เวลาจะเข้าห้อง เพราะการจะเข้าห้องต้องมีการสแกนนิ้วแต่ผมเป็นพนักงานสัญญาจ้างเลยไม่อนุญาตให้มีลายนิ้วมือต้องให้คนข้างในห้องกดสวิตซ์เปิดประตูให้ แค่กดสวิตช์ให้เพราะเวลาเปิดประตูผมจะใช้วิธีเปิดเกาะประตูแล้วดันประตูเปิดข้างไว้แล้วเดินเกาะประตูกลับมานั่งรถเข็นแล้วค่อยเข้าห้อง ทั้งๆที่ก็ขอว่างั้นช่วยย้ายแผนกที่ผมสามารถทำงานได้ให้หน่อยเพราะผมก็เรียนจบวิศวกรรมมาประสบการณ์ด้านการเขียนแบบ การใช้โปรแกรม microsoft officeผมก็ทำได้หมดจะให้รวบรวมข้อมูล ช่วยสังเคราะห์/วิเคราะห์ข้อมูลและการทำพรีเซนต์เคชั่นผมก็ทำได้หมด แต่ผู้จัดการก็ให้เหตุผลว่ามันเป็นข้อมูลของคนไข้ค่อนข้างจะconfidentialถ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมามันจะค่อนข้างเสียเวลาในการตามแก้ไข เหลือเวลาอีก3เดือนที่จะต้องกลับไปเป็นคนตกงานอีกครั้ง..สิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุดคือเหมือนเขาจะเห็นว่าเราเป็นแค่ภาระที่ต้องคอยดูแล(การกดสวิตช์เปิดประตูห้องให้ซึ่งสวิตช์จะถูกติดตั้งไว้ประจำโต๊ะของพนักงานในห้องเกือบทุกโต๊ะ เห็นเราเป็นตัวพลาญงบประมาณแผนกทั้งๆที่ความรู้ความสามารถเราก็มีแต่ไม่เคยจะดูแบล็กกราวด์และprofileของเราเลย...เสียใจมาก
สุดท้ายแล้วคนพิการก็ยังไม่ถูกยอมรับในสังคม(บางหน่วยงาน)
จนตอนนี้กลายเป็นผู้พิการประเภทที่3(นั่งรถเข็น(เดินได้แต่ต้องใช้ไม้พยุงเดิน)ได้เข้าทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งตามคำแนะนำของรุ่นพี่มหาลัยเดียวกันเนื่องจากแกเคยทำงานที่นี่และเห็นผมโพสต์หางานในเฟสบุ๊คแกบอกจะถามผอ.ให้เพราะแกสนิทกับผอ.โรงพยาบาลพอโรงพยาบาลรับผมเขาก็จัดให้ทำตำแหน่งธุรการแผนกคอมพิวเตอร์(สัญญาจ้างรายปีเงินเดือน9,xxx)ซึ่งพอเข้ามาอยู่แผนกก็ได้เรียนรู้การทำงานแล้วก็นั่งสังเกตการทำงานของคนอื่นๆในแผนกซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานที่ต้องออกไปเซอร์วิสตามแผนกต่างๆแต่ด้วยความที่เราเดินไม่ได้เขาเลยสอนงานที่สามารถRemoteEditผ่านคอมฯเราให้แล้วก็รอพี่ธุรการอีกคนแจกงานมาให้ บ้างก็มีพิมำ์เอกสาร รวมถึงสรุปยอดคนไข้ให้กับหัวหน้าแผนก งานค่อยๆห่างออกๆเคยได้มีโอกาสสอบถามจากผู้จัดการฝ่ายบุคคลว่าที่รับเราเนี่ยเพราะรุ่นพี่เราฝากเรากับผอ.รึป่าวเขาก็บอกว่าไม่ใช่คือทางโรงพยาบาลเนี่ยมีโควต้าจะรับคนพิการ5คนอยู่แล้ว(ตามกฎหมายที่จะต้องรับคนงานคนพิการ1%ของแรงงานทั้งหมด)ก่อนหน้านี้มีพนักงานคนพิการแล้วคนโดยที่2คนจะให้ทำงานที่โรงพยาบาลส่วนอีก2คนโรงพยาบาลจะจ้างให้ไปทำงานที่โรงเรียนฝึกคนพิการที่ทางโรงพยาบาลได้มีคอนเนกชั่นกันอยู่ คราวนี้พอเรามาสมัครเขาก็ถามว่าสามารถมาทำงานที่โรงพยาบาลได้ไหมเราก็บอกมาได้ทางโรงพยาบาลก็เลยไปยกเลิกสัญญาจ้างคนพิการอีกคนที่เขาเคยจ้างที่โรงเรียนฝึกคนพิการแล้วมาจ้างเราแทน พอทำงานที่นี่1ปีผ่านไปงานที่เคยถูกมอบให้ก็ไม่มีแล้วเวลามาทำงานก็มานั่งเล่นคอมฯดูหนัง/ฟังเพลงเล่นเกมแต่ก็ยังได้ต่อสัญญาในปีที่2 พอเข้าปีที่2มาได้4-5เดือน หัวหน้างานก็ให้เหตุผลว่าช่วงนี้คนไข้ของทางโรงพยาบาลลดลงนะเลยอยากจะขอลดเวลาการมาทำงานของเราลงจากมาทำงานจันทร์ พุธ ศุกร์ เหลือแค่จันทร์ พุธ ศุกร์รวม24ชม./สัปดาห์แทน พอเจอกับผู้จัดการฝ่ายบุคคล แกก็ถามว่าได้มาทำงานกี่วัน/สัปดาห์เราก็บอกสามวันแกเลยบอกว่าจริงๆลดเหลือค่จันทร์กับศุกร์ก็ได้นะ จริงๆเราก็บอกปฏิเสธเพราะรู้สึกเบื่อที่จะอยู่ที่บ้าน
จนถึงปลายเดือนที่แล้วผู้จัดการฝ่ายบุคคลโทร.บอกแม่ผมว่าสิ้นปีนี้จะขอยกเลิกสัญญาจ้างนะ พอถึงวันที่ได้มาทำงานผมก็เข้าไปถามกับผู้จัดการฝ่ายบุคคลโดยตรงเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ขอโอกาสให้ผมได้ทำงานต่ออีกปีได้ไหม(ปีหน้าค่างวดรถของที่บ้านจะเป็นปีสุดท้าย) คำตอบที่ได้คือเขาบอกว่าเขาดูแลเราค่อนข้างเยอะ(พนักงานในแผนกแจ้งเขาว่าแบบนั้น..อย่างเช่นช่วยเราเปิดประตูเวลาจะไปเข้าห้องน้ำ/เวลาจะเข้าห้อง เพราะการจะเข้าห้องต้องมีการสแกนนิ้วแต่ผมเป็นพนักงานสัญญาจ้างเลยไม่อนุญาตให้มีลายนิ้วมือต้องให้คนข้างในห้องกดสวิตซ์เปิดประตูให้ แค่กดสวิตช์ให้เพราะเวลาเปิดประตูผมจะใช้วิธีเปิดเกาะประตูแล้วดันประตูเปิดข้างไว้แล้วเดินเกาะประตูกลับมานั่งรถเข็นแล้วค่อยเข้าห้อง ทั้งๆที่ก็ขอว่างั้นช่วยย้ายแผนกที่ผมสามารถทำงานได้ให้หน่อยเพราะผมก็เรียนจบวิศวกรรมมาประสบการณ์ด้านการเขียนแบบ การใช้โปรแกรม microsoft officeผมก็ทำได้หมดจะให้รวบรวมข้อมูล ช่วยสังเคราะห์/วิเคราะห์ข้อมูลและการทำพรีเซนต์เคชั่นผมก็ทำได้หมด แต่ผู้จัดการก็ให้เหตุผลว่ามันเป็นข้อมูลของคนไข้ค่อนข้างจะconfidentialถ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมามันจะค่อนข้างเสียเวลาในการตามแก้ไข เหลือเวลาอีก3เดือนที่จะต้องกลับไปเป็นคนตกงานอีกครั้ง..สิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุดคือเหมือนเขาจะเห็นว่าเราเป็นแค่ภาระที่ต้องคอยดูแล(การกดสวิตช์เปิดประตูห้องให้ซึ่งสวิตช์จะถูกติดตั้งไว้ประจำโต๊ะของพนักงานในห้องเกือบทุกโต๊ะ เห็นเราเป็นตัวพลาญงบประมาณแผนกทั้งๆที่ความรู้ความสามารถเราก็มีแต่ไม่เคยจะดูแบล็กกราวด์และprofileของเราเลย...เสียใจมาก