ใครดูจบแล้วมาแบ่งปันความคิดกันได้นะคะ
สารภาพว่ามองหน้าหนังด้วยความตื้นเขิน คิดเอาว่า Perfect Days คงเป็นพล็อตโลกสวยฟีลแบบ เฮ้ย คนล้างส้วมก็มีความสุขได้ อยู่ที่ใจและการมองโลกเว้ย พอนึกเอาไว้แบบนี้ก็เลยไม่ได้รู้สึกอยากดูเท่าไหร่ จนกระทั่งมีวันนึงที่รู้สึกแย่ เป็น Bad day วันนึงที่ไม่รู้จะเยียวยาปลอบโยนตัวเองยังไง ก็เลยได้กลับมานึกถึงหนังเรื่องนี้อีกครั้งโดยหวังว่าดูจบจะทำให้รู้สึกดีกับชีวิตตัวเองได้บ้าง ไหนหรอ แง่งามของโลกนี้ที่มองแล้วจะรู้สึกดีขึ้นได้ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย
สรุปว่าดูจบแบบงงๆ ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับตัวหนังนะ เหมือนมันเป็นความว่างเปล่าที่ก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่ารู้สึกยังไง หรือควรต้องรู้สึกยังไง คล้ายๆมีคนพยายามบอกอะไรเราบางอย่างแต่เราไม่เก็ท ได้แต่อือๆ หรอๆ กลายเป็นความตกค้างให้กลับมานึกต่ออีกว่า ยังไงวะ ทำไมวะ
จากการดูหนังเพื่อต้องการหาที่พึ่งพิงกลายเป็นภาระกูอีกที่รู้สึกคาใจว่าทำไมเราถึงไม่เก็ทนะ คุณลุงเขาโอเคกับชีวิตจริงๆหรอวะ การทำอะไรซ้ำๆเหมือนเดิมทุกวันมันมีความสุขได้อย่างนั้นเลยหรอวะ
เวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์ๆ หนัง Perfect Days ก็ยังมีแว้บๆมาให้นึกถึงอยู่เรื่อยๆ นึกถึงแล้วก็วาง นึกถึงอีกแล้วก็วาง ยังคงตอบตัวเองไม่ได้เหมือนเดิม จนอยู่มาวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันที่ร้อยแปดพันเก้ามากๆ มีสิ่งที่มากระทบใจมากมาย พี่คนนั้น เพื่อนคนนี้ เรื่องที่บ้าน ลูกน้อง ลูกค้า โอ้โห สารพัดความรู้สึกจะแบกรับ หน้าไม่รู้กี่หน้าที่ต้องรับบท มันเศร้าใจ กังวลใจ ทุกข์ใจไปหมด แล้วก็เกิดคำถามว้าบขึ้นมาในหัวว่า ในท้ายที่สุดแล้วถ้าขอได้ เราอยากให้ชีวิตเราเป็นแบบไหน
ณ เวลานั้นเราบอกกับตัวเองว่า ทุกวันนี้ไม่ขออะไรมาก นอนหลับ ตื่นเช้ามาทำกาแฟอร่อยๆกิน ขายของคุยกับลูกค้าพูดจาดีๆ ขายของได้ประมาณนึง ลูกน้องออกไปทำงานไม่มีปัญหา ไม่เจอลูกค้าแย่ๆ ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีญาติป่วย ไม่มีข่าวร้าย ขอแค่ให้แต่ละวันเป็นไปอย่างเรียบง่าย ขอแค่นี้เลย พอใจแล้ว เรียบๆแบบนี้แหล่ะดีที่สุด
พอบอกตัวเองได้แบบนี้ก็เลยฉุกคิดขึ้นมาว่า ถ้าเป้าหมายของชีวิตในแต่ละวันคือความสงบ แต่ละ Days ก็ Perfect ได้ด้วยความธรรมดา ความเรียบง่าย แบบชีวิตที่คุณลุงในหนังเรื่องนี้ใช้ให้ดูเลยนี่หว่า
สมมุติว่าเราเริ่มเข้าใจคุณลุงขึ้นมาอีกนิด เราว่าลูปชีวิตในแต่ละวันที่มองเผินๆแล้วดูน่าเบื่อที่จริงแล้วคุณลุงน่าจะดีไซน์เอาไว้ เพียงพอหรือเปล่า อยากได้อยากมีมากกว่านี้หรือเปล่าเราคงไม่อาจรู้ แต่ที่เห็นได้ชัดแน่ๆก็คือ นี่คือชีวิตที่คุณลุงโอเคและพอใจกับมันมากๆแล้ว
ตื่นเช้ามาด้วยเสียงกวาดพื้นที่คุ้นเคย เดินมารดน้ำต้นไม้ที่บ่มเพาะเอาไว้ แต่งตัวด้วยชุดที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เปิดประตูออกมายิ้มให้กับท้องฟ้าที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน ขับรถไปทำงานพร้อมกับเพลงโปรด ไปถึงที่ทำงานก็ลงมือทำอย่างตั้งใจ เจออะไรเล็กๆน้อยๆมากระทบเข้าปล่อยได้ก็ปล่อย พักกลางวันได้หย่อนใจในที่ๆรู้สึกสบาย มองต้นไม้ มองฟ้า ทำงานเสร็จกลับบ้าน ไปอาบน้ำให้ชื่นฉ่ำ แวะกินข้าวร้านประจำ กลับบ้านมานอนอ่านหนังสือจนง่วงแล้วก็หลับไป จบ แล้วก็ตื่นมาเริ่มวันใหม่ในลูปเดิม
วกกลับมามองตัวเองอีกครั้งแล้วลองสำรวจใจดูใหม่ ถ้าทุกวันนี้เราไม่ขออะไรมากไปกว่าการได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องหวือหวา ไม่ต้องมีปัญหาใดๆมากระทบให้ใจเราแกว่ง ให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนง่ายๆที่เราดีไซน์เอาไว้แบบ กูขอแค่นี้แหล่ะชีวิต วันแบบนี้หล่ะมั้งที่เราจะเรียกได้ว่า Perfect Days
พอคิดได้ถึงตรงนี้แล้วจึงเริ่มเข้าใจได้บ้างว่า ทั้งๆที่ Perfect Days ของเรามันทั้งราบเรียบ นิ่งๆเนิบๆ และดูน่าเบื่อถึงเพียงนี้ เรากลับพบเจอวันธรรมดาๆแบบนี้ยากจัง การจะรักษาจังหวะชีวิต ความคิด และอารมณ์ให้คงที่แบบที่เราตั้งใจคือแทบเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยาก นั่นเพราะชีวิตเราล้วนต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่น ต้องพบปะญาติพี่น้อง มีเพื่อนร่วมงาน มีคนที่ร้านอาหาร ที่โรงอาบน้ำ ขนาดชีวิตคุณลุงที่ดีไซน์มาแบบโคตรเรียบง่ายขนาดนี้ก็ยังมีสิ่งที่มากระทบให้กราฟเส้นตรงของคุณลุงสะเทือนได้ อยู่ๆวันที่ควรปกติก็กลายเป็นวุ่นวายเพราะเพื่อนร่วมงานลาออก อยู่ๆหลานก็โผล่มาหา มาขออยู่ด้วยเฉย บางอย่างเราควบคุมให้อยู่ในเส้นตรงเส้นเดียวกันได้ บางอย่างกระทบแล้วกราฟบวก บางอย่างกระทบแล้วกราฟลบ ซึ่งไม่ว่าทางใดก็ตามล้วนแล้วแต่เข้ามาทำให้เราหลุดออกจากเส้นตรงแห่ง Perfect Days ของเราทั้งสิ้น
การอยู่บนเส้นตรงคือการมีสติอยู่กับปัจจุบันสินะ กราฟบวกคือสุข กราฟลบก็คือทุกข์ ส่วนประโยคคุณลุงคุยกับหลานนั้นก็คงเป็นคำใบ้
“วันนี้ก็คือวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็คือวันพรุ่งนี้”
สุขทุกข์ (สิ่งที่มากระทบ) เราควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรพึงระลึกไว้เสมอก็คือ อย่าไปยึดติด ความบวกทำให้ใจเราฟูเดี๋ยวมันก็หายไป ความลบที่ทำให้ใจเราเหี่ยวเดี๋ยวมันก็หายไป
เราไม่อาจรู้เลยว่าแต่ละวันเราจะได้พบเจอกับอะไรบ้าง ก็คงมีแต่ใจและกายนี้ที่ต้องฝึกฝนไว้เผื่อวันเวลาที่เผลอออกนอกเส้นตรงไปไกล เราจะได้หาทางกลับมาสู่ Perfect Days ของเราให้ได้แค่นั้นเอง
รีวิวหนัง Perfect Day ความคิดที่ตกผลึกได้หลังดูจบไปสองอาทิตย์
สารภาพว่ามองหน้าหนังด้วยความตื้นเขิน คิดเอาว่า Perfect Days คงเป็นพล็อตโลกสวยฟีลแบบ เฮ้ย คนล้างส้วมก็มีความสุขได้ อยู่ที่ใจและการมองโลกเว้ย พอนึกเอาไว้แบบนี้ก็เลยไม่ได้รู้สึกอยากดูเท่าไหร่ จนกระทั่งมีวันนึงที่รู้สึกแย่ เป็น Bad day วันนึงที่ไม่รู้จะเยียวยาปลอบโยนตัวเองยังไง ก็เลยได้กลับมานึกถึงหนังเรื่องนี้อีกครั้งโดยหวังว่าดูจบจะทำให้รู้สึกดีกับชีวิตตัวเองได้บ้าง ไหนหรอ แง่งามของโลกนี้ที่มองแล้วจะรู้สึกดีขึ้นได้ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย
สรุปว่าดูจบแบบงงๆ ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับตัวหนังนะ เหมือนมันเป็นความว่างเปล่าที่ก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่ารู้สึกยังไง หรือควรต้องรู้สึกยังไง คล้ายๆมีคนพยายามบอกอะไรเราบางอย่างแต่เราไม่เก็ท ได้แต่อือๆ หรอๆ กลายเป็นความตกค้างให้กลับมานึกต่ออีกว่า ยังไงวะ ทำไมวะ
จากการดูหนังเพื่อต้องการหาที่พึ่งพิงกลายเป็นภาระกูอีกที่รู้สึกคาใจว่าทำไมเราถึงไม่เก็ทนะ คุณลุงเขาโอเคกับชีวิตจริงๆหรอวะ การทำอะไรซ้ำๆเหมือนเดิมทุกวันมันมีความสุขได้อย่างนั้นเลยหรอวะ
เวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์ๆ หนัง Perfect Days ก็ยังมีแว้บๆมาให้นึกถึงอยู่เรื่อยๆ นึกถึงแล้วก็วาง นึกถึงอีกแล้วก็วาง ยังคงตอบตัวเองไม่ได้เหมือนเดิม จนอยู่มาวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันที่ร้อยแปดพันเก้ามากๆ มีสิ่งที่มากระทบใจมากมาย พี่คนนั้น เพื่อนคนนี้ เรื่องที่บ้าน ลูกน้อง ลูกค้า โอ้โห สารพัดความรู้สึกจะแบกรับ หน้าไม่รู้กี่หน้าที่ต้องรับบท มันเศร้าใจ กังวลใจ ทุกข์ใจไปหมด แล้วก็เกิดคำถามว้าบขึ้นมาในหัวว่า ในท้ายที่สุดแล้วถ้าขอได้ เราอยากให้ชีวิตเราเป็นแบบไหน
ณ เวลานั้นเราบอกกับตัวเองว่า ทุกวันนี้ไม่ขออะไรมาก นอนหลับ ตื่นเช้ามาทำกาแฟอร่อยๆกิน ขายของคุยกับลูกค้าพูดจาดีๆ ขายของได้ประมาณนึง ลูกน้องออกไปทำงานไม่มีปัญหา ไม่เจอลูกค้าแย่ๆ ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีญาติป่วย ไม่มีข่าวร้าย ขอแค่ให้แต่ละวันเป็นไปอย่างเรียบง่าย ขอแค่นี้เลย พอใจแล้ว เรียบๆแบบนี้แหล่ะดีที่สุด
พอบอกตัวเองได้แบบนี้ก็เลยฉุกคิดขึ้นมาว่า ถ้าเป้าหมายของชีวิตในแต่ละวันคือความสงบ แต่ละ Days ก็ Perfect ได้ด้วยความธรรมดา ความเรียบง่าย แบบชีวิตที่คุณลุงในหนังเรื่องนี้ใช้ให้ดูเลยนี่หว่า
สมมุติว่าเราเริ่มเข้าใจคุณลุงขึ้นมาอีกนิด เราว่าลูปชีวิตในแต่ละวันที่มองเผินๆแล้วดูน่าเบื่อที่จริงแล้วคุณลุงน่าจะดีไซน์เอาไว้ เพียงพอหรือเปล่า อยากได้อยากมีมากกว่านี้หรือเปล่าเราคงไม่อาจรู้ แต่ที่เห็นได้ชัดแน่ๆก็คือ นี่คือชีวิตที่คุณลุงโอเคและพอใจกับมันมากๆแล้ว
ตื่นเช้ามาด้วยเสียงกวาดพื้นที่คุ้นเคย เดินมารดน้ำต้นไม้ที่บ่มเพาะเอาไว้ แต่งตัวด้วยชุดที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เปิดประตูออกมายิ้มให้กับท้องฟ้าที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน ขับรถไปทำงานพร้อมกับเพลงโปรด ไปถึงที่ทำงานก็ลงมือทำอย่างตั้งใจ เจออะไรเล็กๆน้อยๆมากระทบเข้าปล่อยได้ก็ปล่อย พักกลางวันได้หย่อนใจในที่ๆรู้สึกสบาย มองต้นไม้ มองฟ้า ทำงานเสร็จกลับบ้าน ไปอาบน้ำให้ชื่นฉ่ำ แวะกินข้าวร้านประจำ กลับบ้านมานอนอ่านหนังสือจนง่วงแล้วก็หลับไป จบ แล้วก็ตื่นมาเริ่มวันใหม่ในลูปเดิม
วกกลับมามองตัวเองอีกครั้งแล้วลองสำรวจใจดูใหม่ ถ้าทุกวันนี้เราไม่ขออะไรมากไปกว่าการได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องหวือหวา ไม่ต้องมีปัญหาใดๆมากระทบให้ใจเราแกว่ง ให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนง่ายๆที่เราดีไซน์เอาไว้แบบ กูขอแค่นี้แหล่ะชีวิต วันแบบนี้หล่ะมั้งที่เราจะเรียกได้ว่า Perfect Days
พอคิดได้ถึงตรงนี้แล้วจึงเริ่มเข้าใจได้บ้างว่า ทั้งๆที่ Perfect Days ของเรามันทั้งราบเรียบ นิ่งๆเนิบๆ และดูน่าเบื่อถึงเพียงนี้ เรากลับพบเจอวันธรรมดาๆแบบนี้ยากจัง การจะรักษาจังหวะชีวิต ความคิด และอารมณ์ให้คงที่แบบที่เราตั้งใจคือแทบเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยาก นั่นเพราะชีวิตเราล้วนต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่น ต้องพบปะญาติพี่น้อง มีเพื่อนร่วมงาน มีคนที่ร้านอาหาร ที่โรงอาบน้ำ ขนาดชีวิตคุณลุงที่ดีไซน์มาแบบโคตรเรียบง่ายขนาดนี้ก็ยังมีสิ่งที่มากระทบให้กราฟเส้นตรงของคุณลุงสะเทือนได้ อยู่ๆวันที่ควรปกติก็กลายเป็นวุ่นวายเพราะเพื่อนร่วมงานลาออก อยู่ๆหลานก็โผล่มาหา มาขออยู่ด้วยเฉย บางอย่างเราควบคุมให้อยู่ในเส้นตรงเส้นเดียวกันได้ บางอย่างกระทบแล้วกราฟบวก บางอย่างกระทบแล้วกราฟลบ ซึ่งไม่ว่าทางใดก็ตามล้วนแล้วแต่เข้ามาทำให้เราหลุดออกจากเส้นตรงแห่ง Perfect Days ของเราทั้งสิ้น
การอยู่บนเส้นตรงคือการมีสติอยู่กับปัจจุบันสินะ กราฟบวกคือสุข กราฟลบก็คือทุกข์ ส่วนประโยคคุณลุงคุยกับหลานนั้นก็คงเป็นคำใบ้
“วันนี้ก็คือวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็คือวันพรุ่งนี้”
สุขทุกข์ (สิ่งที่มากระทบ) เราควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรพึงระลึกไว้เสมอก็คือ อย่าไปยึดติด ความบวกทำให้ใจเราฟูเดี๋ยวมันก็หายไป ความลบที่ทำให้ใจเราเหี่ยวเดี๋ยวมันก็หายไป
เราไม่อาจรู้เลยว่าแต่ละวันเราจะได้พบเจอกับอะไรบ้าง ก็คงมีแต่ใจและกายนี้ที่ต้องฝึกฝนไว้เผื่อวันเวลาที่เผลอออกนอกเส้นตรงไปไกล เราจะได้หาทางกลับมาสู่ Perfect Days ของเราให้ได้แค่นั้นเอง