JJNY : 5in1 ลำปางเตือนแม่น้ำวังล้นตลิ่ง│กมธ.กม.ถกคดีปี’53│พี่สาววันเฉลิมร้องกมธ.│รักชนกแฉเก็บส่วย│ราคาผักพุ่งขึ้น 2 เท่า

เก็บของขึ้นที่สูง! ลำปางเตือนแม่น้ำวังล้นตลิ่งท่วมบ้านแล้ว ระดับสูงขึ้นต่อเนื่อง
ttps://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9419054
 
 
เทศบาลนครลำปาง แจ้งเตือนแม่น้ำวังเอ่อล้นตลิ่งไหลท่วมบ้านเรือนชาวบ้านแล้วหลายหลัง ระดับน้ำเริ่มสูงขึ้น ขอให้ประชาชนเก็บของไว้ที่สูง
 
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 18 ก.ย.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์น้ำในแม่น้ำวัง พบว่ามีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เริ่มเอ่อท่วมถนนเลียบแม่น้ำวังและพื้นที่ราบลุ่มต่ำ รวมทั้งบ้านเรือนชาวบ้านที่อยู่ติดถนนริมฝั่งแม่น้ำวังในเขตเทศบาลนครลำปาง ถูกน้ำท่วมแล้วหลายหลัง ชาวบ้านต้องเก็บของไปไว้ที่สูงกันจ้าละหวั่น เนื่องจากบางรายต้องทำงานกลางวันไม่มีใครอยู่บ้าน และน้ำมาเร็วมากและมีระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นครั้งแรกในรอบปี คาดว่าระดับน้ำจะมากกว่าปี 2564 ที่เคยเกิดน้ำท่วมมาแล้วครั้งหนึ่ง
 
นายสุรพล ตันสุวรรณ รองนายกเทศบาลนครลำปาง แจ้งเตือนจากเทศบาลนครลำปางระดับแม่น้ำวังในเขตเทศบาลนครลำปางตั้งแต่เวลา 11.30-15.30 น.ได้เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 1.50 เมตร และคาดการณ์ว่าจะยังสูงขึ้นอีกโดยปริมาณน้ำไหลผ่านสะพานเสตุวารี เมื่อเวลา 01.00 น. อยู่ที่ 12 ลบ.ม./ วินาที ขึ้นเป็น 250.30 ลบ.ม./ วินาที ในเวลา 16.00 น. แต่เขื่อนกิ่วลมระบายน้ำลงมาแค่ไม่เกิน 30-35 ลบ.ม./ วินาที ซึ่งปริมาณน้ำที่ไหลผ่านเขตเทศบาลนครนั้นเป็นน้ำป่าที่ไหลลงมาสมทบจาก ต.บ้านแลง บ้านเสด็จ และ ต.พิชัย เป็นส่วนใหญ่
 
โดยขณะนี้ยังมีฝนตกลงในพื้นที่ อ.เมืองลำปาง อย่างต่อเนื่องจึงขอแจ้งให้ประชาชนที่อยู่บริเวณติดแม่น้ำวังทั้ง 2 ฝั่ง ตั้งแต่สะพานเสตวารี สะพานท่ามะโอ จนถึงสะพานพัฒนาภาคเหนือ และฝายน้ำวังเฉลิมพระเกียรติ ให้ขนย้ายทรัพย์สินขึ้นที่สูง และขอให้ติดตามสถานการณ์ การแจ้งเตือนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด และสามารถขอรับกระสอบทรายได้ฟรี ณ อาคารดับเพลิงเทศบาลนครลำปาง แจ้งเหตุสาธารณภัย สายด่วน 199 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีเจ้าหน้าที่งานป้องกันฯนครลำปาง จัดเตรียมกระสอบทรายให้ประชาชนฟรีเพียงแสดงบัตรประจำตัวประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ ณ 2 จุด ดังกล่าว ด้วยความห่วงใยจาก เทศบาลนครลำปาง
 
ด้านนายพีระยุทธ์ เหมาะพิชัย ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม-กิ่วคอหมา ลงนาม ประกาศแจ้งเตือนฉบับที่ 7/2567 ช่วงวันที่ 15 – 16 ก.ย. 2567 ได้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ อ.วังเหนือ และ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ส่งผลให้เกิดน้ำบำไหลหลากโดยในวันที่ 17 ก.ย. 2567 มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนกิ่วคอหมา 11.437 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนกิ่วลม 4.784 ล้าน ลบ.ม.
 
โดยเมื่อคืนวันที่ 17 ก.ย. 2567 เกิดฝนตกหนักในพื้นที่บริเวณท้ายเขื่อนกิ่วลมใน เขต ต.บ้านแลง บุญนาคพัฒนา นิคมพัฒนา บ้านเสด็จ และ ต.ทุ่งฝ่าย ทำให้เกิดน้ำปำไหลหลากเข้าสู่ตัวเมืองลำปาง มากกว่า 236 ลบ.ม./วินาที ในระหว่างเวลา 14.00 น. ของวันที่ 18 ก.ย. 2567 นี้ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม – กิ่วคอหมา ยังจะคงการระบายน้ำเขื่อนกิ่วลมไว้ที่อัตรา 35 ลบ.ม.ต่อวินาทีต่อไป เพราะยังมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนอย่างต่อเนื่องอยู่ หากโครงการฯจะเพิ่มการระบายน้ำลงสู่แม่น้ำวังจะทำการแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ให้ทราบต่อไป



กมธ.กฎหมาย ถกคดีสลายเสื้อแดงปี’53 เห็นพ้อง เสนอแก้ พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร
https://www.matichon.co.th/politics/news_4797998

“กมธ.กฎหมาย” แถลงความคืบหน้า สอบสลายม็อบเสื้อแดง ปี 53 เผย ที่ประชุมเห็นพ้อง เสนอแก้ พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร เอื้อการถึงกระบวนการยุติธรรม

เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 ที่รัฐสภา น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน แถลงเปิดเผยผลการประชุม กมธ.ว่า วันนี้มีการพิจารณากรณีการสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ​(นปช.) เมื่อปี 53 ซึ่งเป็นการรับเรื่องต่อมาจากกรณีที่ นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธาน นปช. ยื่นหนังสือถึง นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตผู้นำฝ่ายค้าน เพื่อขอให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว โดย กมธ.ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนจากกระทรวงยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานอัยการ ซึ่งมีวาระการพิจารณา ได้แก่

1. ทวงถามความคืบหน้าการไต่สวน และการชันสูตรพลิกศพ ที่ยังไม่ได้รับความชัดเจน

2. กมธ.ได้เชิญตัวแทนจากหลายพรรคการเมืองมาหารือ ซึ่งมีประเด็นที่เห็นตรงกัน คือเสนอหลักการให้มีการพิจารณาแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร เพื่อให้การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ทำได้อย่างลุล่วง

3. กมธ.จะเรียกเอกสารและสำนวนคดีทั้งหมด ทั้งในชั้นตำรวจ อัยการ ดีเอสไอ กลับคืนมา เพื่อส่งมอบต่อให้กับทนายความ และญาติผู้เสียชีวิต
 


พี่สาววันเฉลิม ร้องกมธ.มั่นคง ถูกปิดกั้นตามหาน้อง ด้าน โรมรับเรื่อง จ่อเอาเข้าที่ประชุม
https://www.matichon.co.th/politics/news_4798146

“พี่สาววันเฉลิม” ร้อง “กมธ.มั่นคง” หลัง ถูกแบนชื่อในงานเสวนา ด้าน “โรม” จ่อหารือบรรจุระเบียบ มอง สิทธิถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบการปกครอง

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 กันยายน 2567 ที่รัฐสภา น.ส.สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พร้อมด้วยผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เข้ายื่นหนังสือต่อ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐกิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณี น.ส.สิตานัน ถูกติดตาม คุกคาม ปิดกั้นเสรีภาพ หลังออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมทางการเมืองและผู้ลี้ภัยไทยถูกบังคับสูญหายที่ประเทศกัมพูชาเมื่อปี 2563

น.ส.สิตานันกล่าวว่า นับตั้งแต่ นายวันเฉลิม ถูกบังคับให้สูญหาย ที่ประเทศกัมพูชา ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ตนออกมาเรียกร้องความยุติธรรมมาโดยตลอด แต่ปรากฏว่าในระหว่างนั้นกลับถูกติดตาม คุกคาม ข่มขู่ และปิดกั้นการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการตามหาน้องชาย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 มีสมาคมได้จัดการเสวนาเรื่อง “แล้วเธอจะปลอดภัยที่ปลายทาง : ยุติการอุ้มหาย รับมือภัยปราบปรามข้ามชาติ” ก็มีความพยายามจากหลายหน่วยงานที่ต้องการปิดปากและเซ็นเซอร์ไม่ให้งานดังกล่าวมีการพูดถึงหรือแม้แต่จัดแสดงนิทรรศการถึงกรณีเคสผู้ถูกบังคับสูญหายที่เป็นคนไทย และในเวลาต่อมามีการระบุชื่อกรณีอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ผู้จัดงานมีการพูดถึงหรือจัดแสดงกรณีของนายวันเฉลิม

รวมทั้งยังมีความพยายามในการกดดันไม่ให้พูดมากขึ้น จึงขอให้ประธาน กมธ. ตรวจสอบข้อเท็จจริงและค้นหาความจริงที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีการติดตาม คุกคาม ปิดกั้นการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับนายวันเฉลิมมากกว่า 3 ครั้ง ที่มาในรูปแบบมีเจ้าหน้าที่ปิดล้อม จำกัดสิทธิ เสรีภาพ และห้ามจัดแสดงงานรำลึกของนายวันเฉลิม และเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินการทางกฎหมายต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป

ด้านนายรังสิมันต์กล่าวว่า เรื่องนี้ถืออยู่ในอำนาจหน้าที่ของ กมธ.ความมั่นคงของประชาชนโดยเฉพาะเรื่องสิทธิและเสรีภาพ ถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบการปกครอง ในฐานะประธาน กมธ.จะนำเรื่องดังกล่าวบรรจุเข้าระเบียบวาระเพื่อพิจารณา ว่าทาง กมธ.จะสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้เกิดความยุติธรรมมากที่สุด
 


รักชนก อึ้ง พม่าครองตลาดบางบอน แฉ จนท.รัฐเก็บส่วย จี้บังคับใช้กม.-เก็บภาษีให้คุ้ม
https://www.khaosod.co.th/politics/news_9418272

ไอซ์ รักชนก อึ้ง ตลาดแถวบางบอน พม่าตั้งแผงขายของอื้อ ทั้งที่ผิดกฎหมาย แฉ จนท.รัฐ เก็บส่วย รีดไถ ขู่สารพัด จี้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมาย-เก็บภาษีให้คุ้ม

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 18 ก.ย. 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่วาระได้เปิดให้สมาชิกการหารือปัญหาาต่างๆ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) หารือปัญหาชาวเมียนมาในพื้นที่ ว่า ในเขตของตน มีตลาดพม่า-บางบอน ซึ่งมีคนไทยและเมียนมาตั้งแผงขายของ
 
มีแรงงานเมียนมา มาใช้บริการจำนวนมาก ถึงขนาดเรียกลูกค้ากันเป็นภาษาพม่าทั้งตลาด มีป้ายโฆษณาเป็นภาษาพม่าทั้งหมด ซึ่งตนได้รับการร้องเรียนของคนในพื้นที่ว่า มีแรงงานพม่าเป็นเจ้าของแผง ซึ่งเป็นอาชีพต้องห้ามสำหรับแรงงานต่างด้าว

เมื่อไปลงพื้นที่ ดิฉันถามแม่ค้าคนไทยที่ขายของว่า แผงที่แหกปากตะโกนเป็นภาษาพม่าเป็นเจ้าของแผงหรือลูกจ้าง คนไทยบอกว่าไม่กล้าตอบ เพราะตอบแล้วกลัวจะเดือดร้อน นี่มันตลาดหรือแหล่งซ่องสุมอะไร ทำไมคนไทยจะตอบคำถามแค่นี้ยังต้องกลัว” น.ส.รักชนก กล่าว
 
น.ส.รักชนก กล่าวต่อว่า นอกจากนี้เมื่อเดินไปยังพบว่ามีป้ายห้ามถ่ายรูป ทำไมต้องขออนุญาตก่อน เพราะตลาดทั่วไปก็ต้องอยากที่จะโปรโมต ตนโทรศัพท์ไปสอบถามเพราะจะถ่าย Vlog ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับ และแจ้งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบแล้ว ก็พบการกระทำผิดอยู่เนืองๆ แต่กลายเป็นว่าแทนที่จะบังคับใช้กฎหมาย กลับมารีดไถเก็บส่วย
 
ประชาชนเล่าให้ดิฉันฟังว่า เจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้เข้ามาส่วนใหญ่จะเข้ามารีดไถ เก็บส่วย มาไถทองคนพม่า มาไถแหวน ไถตุ้มหู ไถสร้อย ถ้าไม่ถอดให้ก็จะเดือดร้อน มีการข่มขู่สารพัด การกระทำที่อุกอาจทั้งหมดนี้ เป็นจุดตรวจสอบ สน.บางขุนเทียน ดิฉันอยากให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ
 
ดิฉันไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน แต่ถ้าผิดกฎหมายก็ต้องจัดการ การที่ภาครัฐปล่อยปะละเลย คนไทยต้องอยู่แบบตั้งคำถามว่าจะจัดการกี่โมง จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาบังคับใช้กฎหมายด้วย อยากให้จัดเก็บภาษีให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้คุ้มกับการมาใช้ทรัพยากรบ้านเรา” น.ส.รักชนก กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่