“พิชัย” รมว.คลัง ประกาศกลางสภา ดีเดย์ 25 ก.ย.นี้ เริ่มแจกเงินดิจิทัล 1.45 แสนล้านให้ 2 กลุ่มเปราะบาง ส่วนเฟส 2 อาจไม่ทันปีนี้ ส่วนแผนสร้าง Entertainment Complex นอกจากสร้างเม็ดเงิน มีคนทำงานมากกว่า 1 หมื่นคน เป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวใช้จ่ายเพิ่ม คาดตกคนละกว่า 6 หมื่นบาท เผยเล็ง 2 เป้าเดิม “อู่ตะเภา-คลองเตย” ด้านปลัดคลังคาดไตรมาสสุดท้ายมีเม็ดเงินกว่า 4 แสนล้านเข้าระบบ จากเงินดิจิทัล การลงทุนภาครัฐ และกองทุนรวมวายุภักษ์
แจกเงินกลุ่มเปราะบาง 25 ก.ย.
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวตอนหนึ่งระหว่างชี้แจงการแถลงนโยบายรัฐบาลแพทองธารต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 กันยายน ถึงโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเลตว่า การแจกเงินก้อนแรก 10,000 บาท กลุ่มแรกคือ กลุ่มเปราะบาง
“เราได้เช็กแล้ว ณ วันนี้ 96% ได้ดู ได้ทบทวน ผมพร้อมทีมงาน เราน่าที่จะสามารถกดปุ่มเคาะระฆังให้เงินก้อนแรกไหลในวันที่ 25 กันยายนนี้โดยประมาณ กำลังดูอยู่ 25 หรือ 26 กันยายนนี้ แต่น่าจะ 25 กันยายนนี้ได้”
1.45 แสนล้านให้ 2 กลุ่มเปราะบาง
ขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวเพิ่มเติมถึงการแจกเงิน 10,000 บาทว่า เรื่องของงบประมาณตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 และพ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 เรามีเงินอยู่ 300,000 กว่าล้านบาท สำหรับดำเนินโครงการ
การแจกเงินส่วนแรกคือ กลุ่มเปราะบาง ที่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนพิการราว 2.1 ล้านคน ไม่ได้จำกัดเรื่องของอายุ และรายได้ กลุ่มสองเป็นกลุ่มผู้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเงินจะโอนผ่านบัญชีของธนาคารกรุงไทย ที่ผูกไว้กับระบบพร้อมเพย์ มีอยู่ราว 13.5 ล้านคน รวมทั้งสองกลุ่ม 14.5 ล้านคน ใช้เม็ดเงินซึ่งมีการเตรียมการเรียบร้อยนะครับ 145,000 ล้านบาท โดยประมาณ
ยันระบบพร้อม-จ่ายเงินครบ
ส่วนเฟสถัดไป 30 ล้านคน คงจะต้องมาบริหารจัดการกันในงบประมาณส่วนที่เหลือ อย่างไรก็ตาม การเติมเงินผ่านดิจิทัลวอลเลตยังคงมีทุกอย่างเหมือนเดิม มีบล็อกเชน มีวอลเลต มีกลไกในการจำกัดพื้นที่การใช้ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น ซึ่งระบบพร้อมจะทำเสร็จได้ในไม่นาน จากนั้นจะประกาศวันให้ชัดอีกที ถือว่าสุดท้ายจะเป็นวันไหนที่จะเริ่มโครงการ
“สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเงินก็จะถึงมือพี่น้องประชาชน 10,000 บาทจนครบ เราจะสามารถเดินหน้าได้ทั้งเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะเบื้องต้นคือเดือนกันยายนนี้ ได้ทั้งเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจในระลอกถัดไป และที่สำคัญที่สุดก็คือ ได้ในเรื่องของการสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับพี่น้องประชาชนให้มีความคุ้นชิน” นายจุลพันธ์กล่าว
ชี้จ่ายเงินเฟส 2 ไม่ทันปี 2567
ต่อมา นายพิชัยให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลถึงการจ่ายเงินโครงการเงินดิจิทัลวอลเลต เฟสที่ 2 สำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐ 30 ล้านคน จะสามารถดำเนินการจ่ายได้วันไหนว่า ขอดำเนินการเฟส 1 ให้เสร็จก่อน ส่วนเฟสที่ 2 จะสามารถดำเนินการภายในปี 2567 ได้หรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า “ไม่น่าจะทันครับ”
เมื่อถามต่อว่า หากเป็นปี 2568 ในเฟส 2 นั้นจะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือนใด นายพิชัยระบุว่า เราจะดูความต่อเนื่องอีก 2-3 เรื่อง โดยจะดูพร้อม ๆ กันว่าอันไหนดีที่สุด ส่วนจะได้ไตรมาสไหนนั้นจะต้องขอดูหลังจากนี้ก่อน
ขอดูก่อนจะให้แบบไหน
เมื่อถามว่าการจ่ายเงินเฟสที่ 2 จะเป็นการแบ่งจ่ายอีกหรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า ต้องดูหลายปัจจัย ดูความพร้อมทุก ๆ อย่าง รวมถึงความพร้อมของช่องทางการจ่ายด้วย
เมื่อถามต่อว่างบประมาณที่เหลือจะไปดำเนินในโครงการใด หากว่าไม่นำมาใช้ในโครงการนี้ หรือมีโครงการอื่นรองรับแล้ว อย่างเช่นเรื่องการลงทุนต่าง ๆ นายพิชัยกล่าวว่า เรื่องนั้นเราถือว่ามีความสำคัญ ถ้าอะไรตัดปัญหา และสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศ ก็ต้องมาที่หนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า การสร้างความเข้มแข็งคือการลงทุนในระดับฐานรากใช่หรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า วิธีการจัดเงินก็คงต้องจัดอะไรที่สำคัญ และให้ผลต่อเนื่องอย่างเร็วที่สุด
เผยกาสิโนช่วยดันจีดีพี
อีกเรื่องหนึ่งคือ นโยบายสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ซึ่งเป็นเครื่องยนต์กระตุ้นเศรษฐกิจยุครัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร นายจุลพันธ์ในฐานะ รมช.คลัง อธิบายโครงการดังกล่าวในการแถลงนโยบายรัฐบาลว่า ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยเป็น 2 ช่วง
หนึ่ง คือช่วงการก่อสร้าง ซึ่งกินเวลาราว 3 ถึง 4 ปี การลงทุนจริงจะมีอย่างน้อยจุดละ 100,000 ล้านบาท ถือเป็นเม็ดเงินลงทุนใหม่ จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้นและไม่ต่ำกว่า 0.23 มีการลงทุน 3 ปีก็ตกจุดละไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท ส่วนการจ้างงานจะได้รับผลในเชิงบวกมีการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 10,000 ตำแหน่ง ต่อเม็ดเงินลงทุน 100,000 ล้าน ในช่วง 3 ปีหรือ 4 ปี ที่มีการลงทุนในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน
คาดนักท่องเที่ยวใช้เงินเพิ่ม
นายจุลพันธ์กล่าวอีกว่า สองคือในช่วงเวลาของการเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบ จากตัวเลขของสิงคโปร์ที่เรานำมาใช้เป็นโมเดล รายจ่ายของนักท่องเที่ยวต่อหัวได้ไม่ต่ำกว่า 22,300 บาทต่อหัว สำหรับประเทศไทยก็จะถือเอารายจ่าย 66,000 เศษ ซึ่งถ้านับฐานของนักท่องเที่ยวที่ 36 ล้านคนโดยประมาณ จะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 1%
ส่วนเรื่องการดูแลรายได้ของรัฐ เรื่องการกำกับ การเยียวยาประชาชน จะเป็นภาระหน้าที่ของรัฐสภาในการพิจารณาตัวกฎหมายว่าจะมีประเด็นใดที่ปรับแก้ให้เหมาะสมต่อไป
“เผ่าภูมิ” ชี้ เป็นการลงทุนใหม่
ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลเห็นและทำเป็นดีเอ็นเอคือใช้เงินใหม่ ที่ผ่านมารัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ เดินสายไปต่างประเทศเพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามา การเสนอจึงเป็นการลงทุนใหม่ให้ต่างชาติมาลงทุนในไทย สร้างงานสร้างอาชีพ รวมถึงการแก้ไขกฎหมายเพื่อดึงสถาบันการเงิน หลักทรัพย์ มาตั้งถิ่นฐานในไทย เพื่อเป็นเงินที่นอกงบประมาณให้เศรษฐกิจโตก้าวกระโดด
“การบริหารหนี้สามกองของประเทศ ดึงเงินใหม่เข้ามาในประเทศนอกจากงบประมาณ หากอ่านและจับแกนความคิด จะมองเห็นนโยบายรัฐบาลว่าเดินไปสู่จุดไหน” นายเผ่าภูมิกล่าว
ยังเล็ง “อู่ตะเภา-คลองเตย”
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับโครงการสถานบันเทิงครบวงจร Entertainment Complex นั้น ความคืบหน้าการเล็งสถานที่ล่าสุดจำกัดวงอยู่ 2 แห่ง คือ ตัวเลือกแรกพื้นที่อู่ตะเภา เพื่อสอดคล้องในปี 2568 จะมีการเร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน ที่จะเชื่อมโยงไปถึงสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งมีแผนที่จะพัฒนาเป็น Airport City
ขณะที่ตัวเลือกแห่งที่ 2 ยังเป็นบริเวณท่าเรือคลองเตย ด้วยยุทธศาสตร์ในการเดินทางสะดวก อยู่ในใจกลาง กทม. และใกล้แหล่งช็อปปิ้งของนักท่องเที่ยว
3 เดือนท้ายเติมเม็ดเงิน 4 แสนล้าน
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ช่วงตั้งแต่นี้ไปจนถึงสิ้นปี 2567 จะมีเม็ดเงินเข้าระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจร่วม ๆ 400,000 ล้านบาท ทั้งจากการแจกเงินกลุ่มเปราะบาง 10,000 บาท กว่า 14 ล้านคน ที่ต้องใช้เงินกว่า 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
ขณะที่กลุ่มคนชั้นกลางถึงคนรวย จะมีเม็ดเงินจากการเสนอขายหน่วยลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์ อีก 1-1.5 แสนล้านบาท ที่จะสร้างความคึกคักให้ตลาดทุน ซึ่งสองส่วนนี้ก็ใกล้ ๆ 3 แสนล้านบาทแล้ว และยังมีงบฯลงทุนจากงบประมาณปี 2568 ที่เริ่มใช้ตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้อีก เพราะงบประมาณปี 2568 ไม่สะดุดเหมือนปีที่ผ่านมา โดยจะพยายามเร่งเบิกจ่ายให้ได้ใกล้ ๆ ระดับ 1 แสนล้านบาท ยังไม่นับรวมเงินลงทุนจากต่างชาติที่จะไหลกลับเข้ามาต่อเนื่องอีก จากที่สหรัฐมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้
“ผมดูแล้วจากนี้ไป 3 เดือนสุดท้ายไม่น่าห่วงเลย มีเม็ดเงิน 3-4 แสนล้านบาท คึกคักแน่นอน แล้วถ้าไตรมาส 1 ปีหน้ามีดิจิทัลวอลเลตมาต่อ ก็จะมีโมเมนตัมต่อไปอีกได้ ไม่นับโครงการอื่น ๆ ที่จะออกมาอีก ผมคิดว่าปีหน้าจะไม่น่าห่วง ส่วนปีนี้ก็หวังว่าเศรษฐกิจจะโตได้ถึง 3% โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายจะโตกระโดดเลย” ปลัดกระทรวงการคลังกล่าว...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1652204
ทุ่ม 4 แสนล้านไตรมาสท้าย “เงิน 1 หมื่น-งบรัฐ-วายุภักษ์” ดันจีดีพี
แจกเงินกลุ่มเปราะบาง 25 ก.ย.
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวตอนหนึ่งระหว่างชี้แจงการแถลงนโยบายรัฐบาลแพทองธารต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 กันยายน ถึงโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเลตว่า การแจกเงินก้อนแรก 10,000 บาท กลุ่มแรกคือ กลุ่มเปราะบาง
“เราได้เช็กแล้ว ณ วันนี้ 96% ได้ดู ได้ทบทวน ผมพร้อมทีมงาน เราน่าที่จะสามารถกดปุ่มเคาะระฆังให้เงินก้อนแรกไหลในวันที่ 25 กันยายนนี้โดยประมาณ กำลังดูอยู่ 25 หรือ 26 กันยายนนี้ แต่น่าจะ 25 กันยายนนี้ได้”
1.45 แสนล้านให้ 2 กลุ่มเปราะบาง
ขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวเพิ่มเติมถึงการแจกเงิน 10,000 บาทว่า เรื่องของงบประมาณตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 และพ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 เรามีเงินอยู่ 300,000 กว่าล้านบาท สำหรับดำเนินโครงการ
การแจกเงินส่วนแรกคือ กลุ่มเปราะบาง ที่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนพิการราว 2.1 ล้านคน ไม่ได้จำกัดเรื่องของอายุ และรายได้ กลุ่มสองเป็นกลุ่มผู้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเงินจะโอนผ่านบัญชีของธนาคารกรุงไทย ที่ผูกไว้กับระบบพร้อมเพย์ มีอยู่ราว 13.5 ล้านคน รวมทั้งสองกลุ่ม 14.5 ล้านคน ใช้เม็ดเงินซึ่งมีการเตรียมการเรียบร้อยนะครับ 145,000 ล้านบาท โดยประมาณ
ยันระบบพร้อม-จ่ายเงินครบ
ส่วนเฟสถัดไป 30 ล้านคน คงจะต้องมาบริหารจัดการกันในงบประมาณส่วนที่เหลือ อย่างไรก็ตาม การเติมเงินผ่านดิจิทัลวอลเลตยังคงมีทุกอย่างเหมือนเดิม มีบล็อกเชน มีวอลเลต มีกลไกในการจำกัดพื้นที่การใช้ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น ซึ่งระบบพร้อมจะทำเสร็จได้ในไม่นาน จากนั้นจะประกาศวันให้ชัดอีกที ถือว่าสุดท้ายจะเป็นวันไหนที่จะเริ่มโครงการ
“สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเงินก็จะถึงมือพี่น้องประชาชน 10,000 บาทจนครบ เราจะสามารถเดินหน้าได้ทั้งเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะเบื้องต้นคือเดือนกันยายนนี้ ได้ทั้งเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจในระลอกถัดไป และที่สำคัญที่สุดก็คือ ได้ในเรื่องของการสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับพี่น้องประชาชนให้มีความคุ้นชิน” นายจุลพันธ์กล่าว
ชี้จ่ายเงินเฟส 2 ไม่ทันปี 2567
ต่อมา นายพิชัยให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลถึงการจ่ายเงินโครงการเงินดิจิทัลวอลเลต เฟสที่ 2 สำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐ 30 ล้านคน จะสามารถดำเนินการจ่ายได้วันไหนว่า ขอดำเนินการเฟส 1 ให้เสร็จก่อน ส่วนเฟสที่ 2 จะสามารถดำเนินการภายในปี 2567 ได้หรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า “ไม่น่าจะทันครับ”
เมื่อถามต่อว่า หากเป็นปี 2568 ในเฟส 2 นั้นจะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือนใด นายพิชัยระบุว่า เราจะดูความต่อเนื่องอีก 2-3 เรื่อง โดยจะดูพร้อม ๆ กันว่าอันไหนดีที่สุด ส่วนจะได้ไตรมาสไหนนั้นจะต้องขอดูหลังจากนี้ก่อน
ขอดูก่อนจะให้แบบไหน
เมื่อถามว่าการจ่ายเงินเฟสที่ 2 จะเป็นการแบ่งจ่ายอีกหรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า ต้องดูหลายปัจจัย ดูความพร้อมทุก ๆ อย่าง รวมถึงความพร้อมของช่องทางการจ่ายด้วย
เมื่อถามต่อว่างบประมาณที่เหลือจะไปดำเนินในโครงการใด หากว่าไม่นำมาใช้ในโครงการนี้ หรือมีโครงการอื่นรองรับแล้ว อย่างเช่นเรื่องการลงทุนต่าง ๆ นายพิชัยกล่าวว่า เรื่องนั้นเราถือว่ามีความสำคัญ ถ้าอะไรตัดปัญหา และสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศ ก็ต้องมาที่หนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า การสร้างความเข้มแข็งคือการลงทุนในระดับฐานรากใช่หรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า วิธีการจัดเงินก็คงต้องจัดอะไรที่สำคัญ และให้ผลต่อเนื่องอย่างเร็วที่สุด
เผยกาสิโนช่วยดันจีดีพี
อีกเรื่องหนึ่งคือ นโยบายสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ซึ่งเป็นเครื่องยนต์กระตุ้นเศรษฐกิจยุครัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร นายจุลพันธ์ในฐานะ รมช.คลัง อธิบายโครงการดังกล่าวในการแถลงนโยบายรัฐบาลว่า ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยเป็น 2 ช่วง
หนึ่ง คือช่วงการก่อสร้าง ซึ่งกินเวลาราว 3 ถึง 4 ปี การลงทุนจริงจะมีอย่างน้อยจุดละ 100,000 ล้านบาท ถือเป็นเม็ดเงินลงทุนใหม่ จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้นและไม่ต่ำกว่า 0.23 มีการลงทุน 3 ปีก็ตกจุดละไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท ส่วนการจ้างงานจะได้รับผลในเชิงบวกมีการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 10,000 ตำแหน่ง ต่อเม็ดเงินลงทุน 100,000 ล้าน ในช่วง 3 ปีหรือ 4 ปี ที่มีการลงทุนในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน
คาดนักท่องเที่ยวใช้เงินเพิ่ม
นายจุลพันธ์กล่าวอีกว่า สองคือในช่วงเวลาของการเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบ จากตัวเลขของสิงคโปร์ที่เรานำมาใช้เป็นโมเดล รายจ่ายของนักท่องเที่ยวต่อหัวได้ไม่ต่ำกว่า 22,300 บาทต่อหัว สำหรับประเทศไทยก็จะถือเอารายจ่าย 66,000 เศษ ซึ่งถ้านับฐานของนักท่องเที่ยวที่ 36 ล้านคนโดยประมาณ จะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 1%
ส่วนเรื่องการดูแลรายได้ของรัฐ เรื่องการกำกับ การเยียวยาประชาชน จะเป็นภาระหน้าที่ของรัฐสภาในการพิจารณาตัวกฎหมายว่าจะมีประเด็นใดที่ปรับแก้ให้เหมาะสมต่อไป
“เผ่าภูมิ” ชี้ เป็นการลงทุนใหม่
ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลเห็นและทำเป็นดีเอ็นเอคือใช้เงินใหม่ ที่ผ่านมารัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ เดินสายไปต่างประเทศเพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามา การเสนอจึงเป็นการลงทุนใหม่ให้ต่างชาติมาลงทุนในไทย สร้างงานสร้างอาชีพ รวมถึงการแก้ไขกฎหมายเพื่อดึงสถาบันการเงิน หลักทรัพย์ มาตั้งถิ่นฐานในไทย เพื่อเป็นเงินที่นอกงบประมาณให้เศรษฐกิจโตก้าวกระโดด
“การบริหารหนี้สามกองของประเทศ ดึงเงินใหม่เข้ามาในประเทศนอกจากงบประมาณ หากอ่านและจับแกนความคิด จะมองเห็นนโยบายรัฐบาลว่าเดินไปสู่จุดไหน” นายเผ่าภูมิกล่าว
ยังเล็ง “อู่ตะเภา-คลองเตย”
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับโครงการสถานบันเทิงครบวงจร Entertainment Complex นั้น ความคืบหน้าการเล็งสถานที่ล่าสุดจำกัดวงอยู่ 2 แห่ง คือ ตัวเลือกแรกพื้นที่อู่ตะเภา เพื่อสอดคล้องในปี 2568 จะมีการเร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน ที่จะเชื่อมโยงไปถึงสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งมีแผนที่จะพัฒนาเป็น Airport City
ขณะที่ตัวเลือกแห่งที่ 2 ยังเป็นบริเวณท่าเรือคลองเตย ด้วยยุทธศาสตร์ในการเดินทางสะดวก อยู่ในใจกลาง กทม. และใกล้แหล่งช็อปปิ้งของนักท่องเที่ยว
3 เดือนท้ายเติมเม็ดเงิน 4 แสนล้าน
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ช่วงตั้งแต่นี้ไปจนถึงสิ้นปี 2567 จะมีเม็ดเงินเข้าระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจร่วม ๆ 400,000 ล้านบาท ทั้งจากการแจกเงินกลุ่มเปราะบาง 10,000 บาท กว่า 14 ล้านคน ที่ต้องใช้เงินกว่า 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
ขณะที่กลุ่มคนชั้นกลางถึงคนรวย จะมีเม็ดเงินจากการเสนอขายหน่วยลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์ อีก 1-1.5 แสนล้านบาท ที่จะสร้างความคึกคักให้ตลาดทุน ซึ่งสองส่วนนี้ก็ใกล้ ๆ 3 แสนล้านบาทแล้ว และยังมีงบฯลงทุนจากงบประมาณปี 2568 ที่เริ่มใช้ตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้อีก เพราะงบประมาณปี 2568 ไม่สะดุดเหมือนปีที่ผ่านมา โดยจะพยายามเร่งเบิกจ่ายให้ได้ใกล้ ๆ ระดับ 1 แสนล้านบาท ยังไม่นับรวมเงินลงทุนจากต่างชาติที่จะไหลกลับเข้ามาต่อเนื่องอีก จากที่สหรัฐมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยลงในเร็ว ๆ นี้
“ผมดูแล้วจากนี้ไป 3 เดือนสุดท้ายไม่น่าห่วงเลย มีเม็ดเงิน 3-4 แสนล้านบาท คึกคักแน่นอน แล้วถ้าไตรมาส 1 ปีหน้ามีดิจิทัลวอลเลตมาต่อ ก็จะมีโมเมนตัมต่อไปอีกได้ ไม่นับโครงการอื่น ๆ ที่จะออกมาอีก ผมคิดว่าปีหน้าจะไม่น่าห่วง ส่วนปีนี้ก็หวังว่าเศรษฐกิจจะโตได้ถึง 3% โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายจะโตกระโดดเลย” ปลัดกระทรวงการคลังกล่าว...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1652204