พระป่า เดอะซีรี่ ep2 : ทนอยู่ได้เพราะงานหนัก
อ่าน ep1 ย้อนหลังได้ที่นี่
https://m.ppantip.com/topic/42932784/
เมื่อมั่นใจแล้วว่าที่นี่ คือที่ที่เราจะมาใช้ชีวิต สิ่งแรกเลยที่ต้องทำซึ่งไม่ได้มีอะไรซับซ้อน คือปรับตัวและทนอยู่ให้ได้
สิ่งแรกๆ ที่ผมต้องปรับตัวและฟาดฟันกะมันค่อนข้างมาก คือการที่ได้นอนเฉลี่ยคืนละ 4 ชั่วโมง (สี่ทุ่ม - ตีสอง) และทำงานทั้งวัน ไม่มีการนอนกลางวัน อาจจะพอได้งีบบ้าง ก็ตอนนั่งสมาธิภาวนาหลังทำวัตร แม้จริงๆ แล้วเราควรจะประคองสติให้ไม่หลับ แต่ต้องยอมรับว่าช่วงปรับตัวมันทนง่วงไม่ค่อยจะไหวจริงๆ
ในช่วงแรกๆ ตอนที่มันเหนื่อย มันง่วง มันล้าสายตัวแทบขาด ผมมักจะมีความคิดแวบมาในหัวบ่อยๆ “ไปอยู่ที่อื่นดีมั้ยนะ”
แต่ด้วยความที่เราลั่นวาจากับพระอาจารย์เอาไว้แล้ว ว่าจะขออยู่อย่างต่ำหนึ่งพรรษา เราก็ตั้งใจเต็มที่ที่จะทำให้ได้ตามที่เคยพูดไว้ ความคิดที่มันแวบเข้ามา เลยเป็นความคิดว่าหลังพรรษาจะเอายังไง
ระหว่างที่ยังใช้ชีวิตที่นี่ เราจึงไม่มีอะไรต้องคิดมาก เพราะยังไงก็อีกหลายเดือนถึงจะถึงเวลานั้น เราก็ทำตรงนี้ให้เต็มที่
วัดที่นี่พื้นที่กว้างขวางอย่างมาก และจำนวนพระก็ไม่ได้เยอถ ทำให้ความรับผิดชอบการดูแลวัดที่นี่ รูปหนึ่งๆ จะกินอานาบริเวณค่อนข้างกว้าง ใช้ทั้งแรงและเวลามาก แค่กวาดใบไม้ตอนทำข้อวัตรวันละ 3 ชั่วโมง เช้าเย็นก็ทำแทบไม่ทัน ช่วงที่ใบไม้ร่วงหนักๆ บางวันต้องแบ่งพื้นที่ทำสลับวัน เพราะทำทั้งพื้นที่ไม่ทัน
นอกจากพื้นที่ส่วนกลางที่ทำตอนข้อวัตร ยังต้องเผื่อเวลาดูแลบริเวณกุฏิ ปัดกวาดเช็ดถู ทำความสะอาด
งานหนึ่งที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อนคืองานเย็บผ้า ซึ่งถ้าถามว่าเรามีทัศนคติยังไกับงานเย็บผ้า ? เรานึกภาพออกแค่ตอนแม่เย็บด้วยจักรถีบที่บ้าน และไม่เคยอยู่ในความสนใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ชีวิตพระป่าของที่นี่ ถ้าผ้าเราขาดเสียหาย แล้วไปขอผ้าใหม่ รับรองโดนดุ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเรื่องความมักง่าย-เอะอะเบิกของใหม่ หรือไม่รู้จักเรียนรู้การซ่อมผ้า การเย็บผ้าจึงกลายเป็นทักษะที่มีความจำเป็นสำหรับพระที่ต้องการรักษาข้อวัตรให้ได้ดี เพราะแม้สมัยนี้ข้าวของบริขารจะมีมากมายจนเหลือใช้เหลือเก็บ แต่ก็เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่พระจะใช้ของไม่รักษา มักง่าย สุรุ่ยสุร่าย ยิ่งถ้าเรานึกถึงวิถีชีวิตพระป่าแท้ๆ ที่อยู่ป่าด้วยการใช้แค่ผ้าไตรและอัสะกับสบงอย่างละสองผืน จึงต้องสามารถดูแลรักษาผ้าของตัวเองให้ดีและให้ได้
สิ่งที่น่าประหลาดใจสำหรับผมเป็นการส่วนตัว คือผมพบกับความสุขสงบทางใจอย่างประหลาดตอนนั่งอยู่หน้าเครื่องจักตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มเรียนรู้การใช้จักรเย็บผ้า และกิจกรรมการเย็บผ้าก็ได้กลายเป็นกิจกรรมที่ทั้งให้ความสงบและเพลิดเพลินอย่างมากกับผมตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ทั้งๆที่เราไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตา
ระหว่างอยู่ที่นี่ไปได้ราวๆ 4-5 เดือน ผมเกิดติดโควิดขึ้นมา ทำให้ต้องกกตัวอยู่แต่ในกุฏิ และไปทำกิจวัตรตามปกติไม่ได้ ทำให้เป็นช่วงที่เราเว้นจากการทำงานส่วนใหญ่ไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราได้นอนเยอะขึ้น ทำงานน้อยลง แน่นอนว่ามันสบาย แต่มันกลายเป็นว่ากิเลสที่ตลอดเวลาที่ผ่านมามันเงียบหายไป มันกลับสร้างความฟุ้งซ่าน งุ่นง่าน จนเราคิดเลยว่า โห นี่ถ้าเราไปอยู่ที่อื่น ที่งานน้อยๆ มีเวลาว่างเยอะๆ เราคงครองความเป็นพระไว้ไม่ได้
งานที่เยอะ การนอนที่น้อย และฉันท์อาหารเพียงมื้อเดียวมันไม่ใช่แค่ให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิต ไม่ก่อโรค แต่มันยังเป็นการใช้พลังงานไปกับสิ่งที่ไม่ก่อให้กิเลสมันฟุ้งขึ้นมา ไม่ปล่อยช่องว่างให้กิเลส ความอยากมีที่ยืน
งานกวาดใบไม้ เป็นงานที่ผมเคยเบื่อและเกลียดมาก แต่ก็ต้องทำ ก็ทำไปแกนๆ ฝืนทำให้เวลามันหมดมันจบไปเป็นวันๆ ครั้งๆ ตลอดเวลาที่ศึกษาปฏิบัติธรรมก็จะรู้สึกแบบนี้มาตลอด
จนอยู่มาวันหนึ่ง พระอาจารย์ก็เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่เคยสอนว่า “ถ้าเรายังขี้เกียจทำความสะอาด ปัด กวาด เช็ดถู ฝุ่นผงที่เป็นสิ่งสกปรกที่ง่ายแสนง่าย จับต้องได้ มองเห็นด้วยตาเปล่า แล้วเราจะไปมีปัญญาและกำลังจากไหนมาขจัดกิเลสในใจ ที่เป็นสิ่งสกปรกที่ยาก ละเอียด จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็นด้วยตา”
คำสอนหลวงปู่ที่เล่าผ่านพระอาจารย์ มันทำให้ผมสะท้านไปถึงทรวง ว่านี่เราโดนกิเลสหลอกปั่นหัวมาตลอด เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงคำครูบาอาจารย์ที่สอนอย่างแพร่หลายว่า “เรื่องง่ายๆทางกาย ยังทำไม่ได้ ก็อย่าได้มาอวดอ้างเรื่องทางใจ” จากนั้นมา การกวาดใบไม้สำหรับผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
การกวาดใบไม้นี่แหละ การปฏิบัติธรรม การเผากิเลส
พระป่า เดอะซีรี่ ep2 : ทนอยู่ได้เพราะงานหนัก
อ่าน ep1 ย้อนหลังได้ที่นี่
https://m.ppantip.com/topic/42932784/
เมื่อมั่นใจแล้วว่าที่นี่ คือที่ที่เราจะมาใช้ชีวิต สิ่งแรกเลยที่ต้องทำซึ่งไม่ได้มีอะไรซับซ้อน คือปรับตัวและทนอยู่ให้ได้
สิ่งแรกๆ ที่ผมต้องปรับตัวและฟาดฟันกะมันค่อนข้างมาก คือการที่ได้นอนเฉลี่ยคืนละ 4 ชั่วโมง (สี่ทุ่ม - ตีสอง) และทำงานทั้งวัน ไม่มีการนอนกลางวัน อาจจะพอได้งีบบ้าง ก็ตอนนั่งสมาธิภาวนาหลังทำวัตร แม้จริงๆ แล้วเราควรจะประคองสติให้ไม่หลับ แต่ต้องยอมรับว่าช่วงปรับตัวมันทนง่วงไม่ค่อยจะไหวจริงๆ
ในช่วงแรกๆ ตอนที่มันเหนื่อย มันง่วง มันล้าสายตัวแทบขาด ผมมักจะมีความคิดแวบมาในหัวบ่อยๆ “ไปอยู่ที่อื่นดีมั้ยนะ”
แต่ด้วยความที่เราลั่นวาจากับพระอาจารย์เอาไว้แล้ว ว่าจะขออยู่อย่างต่ำหนึ่งพรรษา เราก็ตั้งใจเต็มที่ที่จะทำให้ได้ตามที่เคยพูดไว้ ความคิดที่มันแวบเข้ามา เลยเป็นความคิดว่าหลังพรรษาจะเอายังไง
ระหว่างที่ยังใช้ชีวิตที่นี่ เราจึงไม่มีอะไรต้องคิดมาก เพราะยังไงก็อีกหลายเดือนถึงจะถึงเวลานั้น เราก็ทำตรงนี้ให้เต็มที่
วัดที่นี่พื้นที่กว้างขวางอย่างมาก และจำนวนพระก็ไม่ได้เยอถ ทำให้ความรับผิดชอบการดูแลวัดที่นี่ รูปหนึ่งๆ จะกินอานาบริเวณค่อนข้างกว้าง ใช้ทั้งแรงและเวลามาก แค่กวาดใบไม้ตอนทำข้อวัตรวันละ 3 ชั่วโมง เช้าเย็นก็ทำแทบไม่ทัน ช่วงที่ใบไม้ร่วงหนักๆ บางวันต้องแบ่งพื้นที่ทำสลับวัน เพราะทำทั้งพื้นที่ไม่ทัน
นอกจากพื้นที่ส่วนกลางที่ทำตอนข้อวัตร ยังต้องเผื่อเวลาดูแลบริเวณกุฏิ ปัดกวาดเช็ดถู ทำความสะอาด
งานหนึ่งที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อนคืองานเย็บผ้า ซึ่งถ้าถามว่าเรามีทัศนคติยังไกับงานเย็บผ้า ? เรานึกภาพออกแค่ตอนแม่เย็บด้วยจักรถีบที่บ้าน และไม่เคยอยู่ในความสนใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ชีวิตพระป่าของที่นี่ ถ้าผ้าเราขาดเสียหาย แล้วไปขอผ้าใหม่ รับรองโดนดุ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเรื่องความมักง่าย-เอะอะเบิกของใหม่ หรือไม่รู้จักเรียนรู้การซ่อมผ้า การเย็บผ้าจึงกลายเป็นทักษะที่มีความจำเป็นสำหรับพระที่ต้องการรักษาข้อวัตรให้ได้ดี เพราะแม้สมัยนี้ข้าวของบริขารจะมีมากมายจนเหลือใช้เหลือเก็บ แต่ก็เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่พระจะใช้ของไม่รักษา มักง่าย สุรุ่ยสุร่าย ยิ่งถ้าเรานึกถึงวิถีชีวิตพระป่าแท้ๆ ที่อยู่ป่าด้วยการใช้แค่ผ้าไตรและอัสะกับสบงอย่างละสองผืน จึงต้องสามารถดูแลรักษาผ้าของตัวเองให้ดีและให้ได้
สิ่งที่น่าประหลาดใจสำหรับผมเป็นการส่วนตัว คือผมพบกับความสุขสงบทางใจอย่างประหลาดตอนนั่งอยู่หน้าเครื่องจักตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มเรียนรู้การใช้จักรเย็บผ้า และกิจกรรมการเย็บผ้าก็ได้กลายเป็นกิจกรรมที่ทั้งให้ความสงบและเพลิดเพลินอย่างมากกับผมตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ทั้งๆที่เราไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตา
ระหว่างอยู่ที่นี่ไปได้ราวๆ 4-5 เดือน ผมเกิดติดโควิดขึ้นมา ทำให้ต้องกกตัวอยู่แต่ในกุฏิ และไปทำกิจวัตรตามปกติไม่ได้ ทำให้เป็นช่วงที่เราเว้นจากการทำงานส่วนใหญ่ไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราได้นอนเยอะขึ้น ทำงานน้อยลง แน่นอนว่ามันสบาย แต่มันกลายเป็นว่ากิเลสที่ตลอดเวลาที่ผ่านมามันเงียบหายไป มันกลับสร้างความฟุ้งซ่าน งุ่นง่าน จนเราคิดเลยว่า โห นี่ถ้าเราไปอยู่ที่อื่น ที่งานน้อยๆ มีเวลาว่างเยอะๆ เราคงครองความเป็นพระไว้ไม่ได้
งานที่เยอะ การนอนที่น้อย และฉันท์อาหารเพียงมื้อเดียวมันไม่ใช่แค่ให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิต ไม่ก่อโรค แต่มันยังเป็นการใช้พลังงานไปกับสิ่งที่ไม่ก่อให้กิเลสมันฟุ้งขึ้นมา ไม่ปล่อยช่องว่างให้กิเลส ความอยากมีที่ยืน
งานกวาดใบไม้ เป็นงานที่ผมเคยเบื่อและเกลียดมาก แต่ก็ต้องทำ ก็ทำไปแกนๆ ฝืนทำให้เวลามันหมดมันจบไปเป็นวันๆ ครั้งๆ ตลอดเวลาที่ศึกษาปฏิบัติธรรมก็จะรู้สึกแบบนี้มาตลอด
จนอยู่มาวันหนึ่ง พระอาจารย์ก็เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่เคยสอนว่า “ถ้าเรายังขี้เกียจทำความสะอาด ปัด กวาด เช็ดถู ฝุ่นผงที่เป็นสิ่งสกปรกที่ง่ายแสนง่าย จับต้องได้ มองเห็นด้วยตาเปล่า แล้วเราจะไปมีปัญญาและกำลังจากไหนมาขจัดกิเลสในใจ ที่เป็นสิ่งสกปรกที่ยาก ละเอียด จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็นด้วยตา”
คำสอนหลวงปู่ที่เล่าผ่านพระอาจารย์ มันทำให้ผมสะท้านไปถึงทรวง ว่านี่เราโดนกิเลสหลอกปั่นหัวมาตลอด เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงคำครูบาอาจารย์ที่สอนอย่างแพร่หลายว่า “เรื่องง่ายๆทางกาย ยังทำไม่ได้ ก็อย่าได้มาอวดอ้างเรื่องทางใจ” จากนั้นมา การกวาดใบไม้สำหรับผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
การกวาดใบไม้นี่แหละ การปฏิบัติธรรม การเผากิเลส