พระป่า เดอะซีรี่ ep1 : พระพุทธเจ้าไม่ใช่ยอดมนุษย์

สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่น้องชาวพันทิพทุกท่าน
จากการที่ผมได้มีโอกาสได้ไปบวชเป็นพระป่า ระยะเวลารวม 9 เดือน - เป็นผ้าขาว 2 เดือน และเป็นพระ 7 เดือน
วันนี้อยากมาเล่าสู่กันฟังครับ ว่าผมได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง โดยผมไม่ได้มีเจตนามาสอนหรือเผยแพร่ศาสนา แต่เป็นเพียงการบอกเล่าประสบการณ์ในฐานะนักศึกษา และฝึกฝนปฏิบัติให้แก่ผู้สนใจครับ ทุกท่านสามารถคอมเม้น สอบถามได้ตามแต่ที่ทุกคนสนใจ/ สงสัย หากเนื้อหาที่ผมนำมาเล่า มีความเอนเอียง ไม่เหมาะสม หรือผิดพลาดประการใด ยินดีอย่างยิ่งที่ท่านจะบอกกล่าว ตักเตือนได้ที่คอมเม้นกระทู้นะครับ

และส่วนตัวผมเองไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดี หรือเก่งกว่าใคร ที่ออกมาบอกเล่า ก็เพียงหวังว่าสิ่งที่เราได้เรียนรู้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้าง จะมากน้อยตามแต่ที่แต่ละคนจะเก็บเกี่ยวได้นะครับ

ทำไมไม่เขียนเล่าให้จบในกระทู้เดียว เพราะผมมีนิสัยที่ถ้าต้องเล่าอะไรจริงจังสักหน่อย ผมจะรู้สึกว่ามันมีรายละเอียดมากมายที่ต้องพูดถึง ถึงจะทำให้มีความครบถ้วนที่ผมเห็นว่าควรจะถูกสื่อสารออกไป ถ้าเขียนลงในกระทู้เดียวคงยาวมากจนไม่มีใครทนอ่านไหว เลยคิดว่า ทะยอยเล่าเป็นเรื่องเป็นเรื่องไป น่าจะทำให้เพื่อนๆ อ่านกันสบายกว่าครับ

และเพื่อเป็นความสบายใจของผม ผมจะขอไม่บอกถึงสถานที่ หรือชื่อครูบาอาจารย์ รวมทั้งชื่อของสหายพระในวัด เพื่อความเป็นส่วนตัวของท่าน แต่หากอยากทราบจริงๆ ว่าคือที่ไหน ผมยินดีที่จะบอกให้ทางหลังไมค์นะครับ แต่เอาจริงๆ ผมว่าลูกศิษย์ของ "หลวงปู่" ถ้าอ่านไปถึงจุดนึง ก็น่าจะรู้ว่าคือที่ไหนครับ

---------- ep.1 : พระพุทธเจ้าไม่ใช่ยอดมนุษย์ ----------

วัดแห่งนี้ผมไม่ได้รู้จักมาก่อน แม้จะฝึกฝนปฏิบัติมาหลายปี แต่ด้วยที่เราเป็นคนที่ถ้าเจอที่ที่คิดว่าโอเคแล้ว ก็จะใช้เวลาอยู่กับตรงนั้นเลย พอเจออาจารย์ที่สอนเราได้ผมก็จะใช้เวลาศึกษาอยู่กับอาจารย์ท่านนั้นๆ ไม่ได้มีความคิดที่จะต้องไปไหน ผมจึงไม่ใช่สายตระเวณ ที่ต้องไปดูให้เยอะๆๆๆๆๆๆ แล้วค่อยเลือกที่ที่ดีที่สุด ผมมาลงเอยที่นี่ได้ด้วยคำแนะนำของเพื่อนนักปฏิบัติที่เจอในคอร์สปฏิบัติธรรมที่ผมไปเล่าให้ท่านฟังว่าเราอยากลองบวช อยากไปบวชเป็น "พระแท้ๆ" แต่ไม่รู้ว่าควรไปที่ไหน เพื่อนนักปฏิบัติท่านนี้จึงบอกว่า ไปที่นี่สิ - จังหวัดสกลนคร

กิจวัตรของพระที่นี่ คือ
02.00 ตื่นมาถูศาลาให้เสร็จเตรียมทำวัตรเช้าก่อนตีสาม
03.30 ท่านเจ้าอาวาสจะลงมาเริ่มพาทำวัตรเย็นตีสามครึ่ง
05.00 เตรียมออกบิณฑบาตรนอกวัด
07.00 บิณฑบาตรในวัดหน้าศาลาสำหรับโยมที่นอนพักที่วัดและโยมลูกวัด
08.00 พิจารณาอาหาร/ ฉันท์เช้า ล้างบาตร ทำความสะอาดบริขาร
09.00 ถูศาลา ทำความสะอาดหลังฉันท์
10.00 - 13.00 ทำข้อวัตรช่วงเช้า หรือแล้วแต่อาจารย์จะให้ทำงานอะไร
13.30 เตรียมปานะ
14.00 ฉันปานะ
15.00 - 18.00 ทำข้อวัตรช่วงเย็น
19.00 ทำวัตรเย็น
21.00 แยกย้ายกลับกุฏิ

แม้ผมจะแจกแจงให้เป็นเวลาๆๆ แต่ชีวิตจริงตอนไปถึงจะไม่มีใครมาบอกเราเป็นตารางแบบนี้ แต่ให้เราสังเกตุเอาว่าเวลาไหนหมู่พระทำอะไรกัน เรียนรู้จากการสังเกตุ แรกๆ ผมต้องปรับตัวเป็นอย่างมาก กับการที่ต้องทำงานตลอดเวลาเกือบทั้งวัน มีจังหวะให้แวบนั่งพักเหนื่อยได้ 15-30 นาที ซึ่งก็ไม่พอที่จะเดินกลับไปเอนหลังนอนที่กุฏิ เพราะวัดกว้างมาก และกุฏิก็ไกล แค่จากศาลาเดินไปกุฏิก็ 10-15 นาทีแล้ว

กิจวัตรทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่พระที่นี่ทำทุกวัน ไม่มีวันหยุด และทำทุกคน/ ทุกองค์/ ทุกรูป ขนาดท่านเจ้าอาวาสยังลงมานำสวดมนต์ทำวัตรเช้าด้วยตัวเองทุกวันไม่มีเว้น พูดถึงท่านเจ้าอาวาส ท่านเจ้าอาวาสนี่แหละที่เป็นเหตุผลเลยที่ทำให้ผมตัดสินใจบวชและฝากตัวฝากชีวิตเป็นศิษย์

ครั้งแรกที่ผมมาที่วัดนี้ ตอนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะบวชที่ไหน ก็มาขอท่านเจ้าอาวาสนอนที่วัด 3 คืนเพื่อศึกษาข้อปฏิบัติว่าที่นี่จะเหมาะกับเรามั้ย บ่ายวันแรกผมรู้ว่าบ่ายสามคือเวลาเริ่มทำข้อวัตร ผมก็ไปเดินจงกรมรอหน้าศาลา เดินได้ไม่กี่นาทีผมก็ได้ยินเสียงกระแอม อะแฮ่มๆ ดังมาจากในศาลา เงยหน้าขึ้นไปเห็นท่านเจ้าอาวาสกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหา

"ถ้าจะทำความเพียรในรูปแบบ ให้ไปทำในที่ลับตา ที่กุฏิ ไม่ต้องให้ใครเห็น" ผมก็ อ้าว ปฏิบัติไม่ได้เหรอ เพราะที่เราปฏิบัติกันในคอร์ส เราก็ทำกันตามลานโล่ง มีที่ไหนเหมาะเราก็นั่งทำความเพียรกันได้นิ ?
"การมาทำความเพียง 'ให้คนอื่นเห็น' มันเหมือนเราอวดตัวว่าเป็นนักปฏิบัติ คนทั่วไปอาจจะไม่เป็นไร แต่สำหรับพระหรืออย่างเราที่กำลังจะบวชพระ ต้องระวัง เพราะมันสามารถหมายถึงเรากำลังอวดตัวว่าเราเป็นนักปฏิบัติ และถ้าไม่ระวังมันไปถึงขั้นอวดอุตริได้เลยนะ"

ผมฟังท่านพูดถึงตรงนี้แล้วขนลุกเลยว่า จริงด้วยว่ะ ตอนเดินจงกรมเวลามีใครเดินผ่านมาเห็น เราจะมีความตั้งใจผิดปกติ เราอวดอยู่นี่หว่า

ท่านสอนต่อ "การปฏิบัติน่ะ ไม่ได้มีแค่ในรูปแบบ จะสอนให้ มานี่" ท่านก็พาผมเดินไปที่โต๊ะกลางศาลา แล้วก็ชี้

"เห็นมั้ยว่าใต้โต๊ะมีแพ็คน้ำที่โยมเค้าเอามาถวายวางอยู่ เห็นมั้ยว่ามันไม่เรียบร้อย" ท่านก็นั่งลง ลากเอาแพคน้ำใต้โต๊ะออกมาเรียงๆๆๆๆๆ ใหม่ เสร็จก็พูดต่อว่า "วัดเราคนแก่มาใส่บาตรเยอะ ลองคิดดูถ้าเค้าจะมาหยิบน้ำไปดื่ม แล้วต้องแกะแพคพลาสติก มันง่ายหรือยาก ? เราจะทำยังไงให้อะไรมันง่ายดีมั้ย" ท่านก็หยิบกุญแจที่ผูกกับประคดเอวใช้ต่างมีดกรีดแพคน้ำออก "การปฏิบัติในชีวิตประจำวันคือแบบนี้ คือการพิจารณาว่าอะไรควรทำ การทำงานคือการปฏิบัติธรรม คือแบบนี้"

พอเสร็จ ท่านเจ้าอาวาสก็ไปทำกิจของท่านต่อ ผมนั่งอึ้งแหลกอยู่ตรงนั้นอยู่พักนึง เพราะมันผิดจากที่ผมคิด คือผมไม่นึกว่าท่านเจ้าอาวาสจะสละเวลามาสอนโยมแปลกหน้าจากไหนก็ไม่รู้แบบตัวต่อตัวให้แบบนี้ ภาพที่ผมเคยคิดคือ เจ้าอาวาสคงยุ่งและไม่มาทำอะไรกับโยมขาจรแบบเรา แต่ท่านสอนเราปฏิบัติด้วยตัวท่านเอง ผมรู้สึกได้ว่าท่านไม่ได้มีตัวตนว่าท่านเป็นถึงเจ้าอาวาส แต่ท่านให้ความสำคัญกับเราแบบรู้สึกได้ว่าเท่าเทียมกับคนอื่นที่ท่านนั่งตอบคำถามหลังฉันท์ตอนเช้า ผมตัดสินใจตอนนั้นเลยว่าจะบวชที่นี่

แล้วที่ผมว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ยอดมนุษย์....... คือยังไง ???

ถ้าท่านที่เคยฟังพุทธประวัติ ก็คงรู้นะครับว่าพระพุทธเจ้าทรงพระบรรทมเพียงคืนละ 4 ชั่วโมง คือแค่ชั่วราตรีที่ 2

*ราตรีที่ 1 คือหกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม ราตรีที่ 2 คือสี่ทุ่มถึงตีสอง และราตรีที่สาม คือตีสองถึงหกโมงเช้า ตามพุทธประวัติบอกว่าพระพุทธเจ้าจะตื่นตอนสิ้นราตรีที่ 2 แล้วใช้เวลาในราตรีที่ 3 พิจารณาว่าจะไปโปรดสัตว์โลกที่ไหน

ผมเคยมีความคิดว่า ก็พระพุทธเจ้านี่ เราคนธรรมดานอนแค่นั้นไม่ได้หรอก คือเดิมผมเป็นสัตว์สันหลังยาวครับ 55555+ นอนไม่ต่ำกว่า 6-8 ชั่วโมง น้อยกว่านี้ไม่ไหวครับ ความคิดและความเคยชินที่เรามี ก็ทำให้เรารู้สึกว่า พระพุทธเจ้านี่คงเป็นยอดมนุษย์ คนธรรมดาเดินดินแบบเราทำไม่ได้หรอก

แต่การมาบวชที่นี่ และต้องทำข้อปฏิบัติแบบนี้ "ทุกวัน" มันทำให้ความเข้าใจผมเปลี่ยนไป ช่วงแรกๆ ที่ผมปรับตัวไม่ได้กับการนอนน้อย ผมยังมีบางแวบเลยที่รู้สึกว่า อยากไปอยู่ที่อื่น แต่พอเวลาผ่านไป ความรู้สึกอยากไปอยู่ที่อื่นเพื่อจะได้มีเวลานอนให้มากกว่านี้ มันหายไปเฉยเลย

เราปรับตัวได้แล้วนี่เอง ไม่ต้องเป็นยอดมนุษย์ก็ทำได้นี่หว่า !? พอพิจารณาถึงจุดนี้ มันทำให้เข้าใจเลย ว่าพระพุทธเจ้าก็คนธรรมดาเหมือนๆ กับเรานี่เอง แต่จากวิถีชีวิตแบบนี้ ก็ต้องยอมรับว่าเราคงไม่สามารถเอาเวลานอนแค่ 4 ชั่วโมงไปใช้ในชีวิตของคนปกติในโลกภายนอกได้ เพราะมันมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่เอื้อให้สามารถนอนแค่ 4 ชั่วโมงได้ทุกวันแล้วไม่ป่วยหรือโทรม อย่างเรื่องอาหารการกิน การทำงาน และสิ่งที่เราทำในแต่ละวัน

ข้อดีใหญ่ๆ เลยสำหรับพระที่นอนแค่ 4 ชั่วโมงและทำงานเยอะ (ทำอะไรบ้างไว้จะมาเล่าใน ep หน้าๆ) คือเราไม่มีพลังไปใช้กับกิเลสครับ เวลาส่วนใหญ่พอมันหมดไปกับงาน และนอนน้อย เวลาที่เหลือมันก็จะอุทิศให้กับการพัก และไม่เหลือให้ไปฟุ้งซ่านถึงเรื่องไม่เหมาะสมสำหรับพระ

ระหว่างเป็นพระ มีช่วงนึงที่ผมติดโควิด ซึ่งมันทำให้เราต้องแยกตัวและอยู่แต่ในกุฏิ เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อไปสู่พระรูปอื่น มันก็เป็นโอกาสให้เราอยู่ว่างและนอนเยอะ ช่วงนั้นบอกได้เลยว่าเป็นช่วงที่กิเลส ความอยากอะไรมิต่ออะไรรุมเร้ามาก งานก็ไม่ค่อยได้ทำ แถมนอนเยอะ มันทำให้เข้าใจเลย ว่าทำไมพระที่อยู่ว่างๆ เค้าถึง..... นั่นแหละ

สิ่งที่มันติดตัวผมมาจากการที่เรานอนแค่คืนละ 4 ชั่วโมงแทบทุกคืน และไม่ได้นอนกลางวันเลยตลอด 9 เดือน คือมันทำให้พอลาสิกขาออกมา ผมสามารถทำงานได้ทั้งวันไม่ว่าคืนนั้นผมจะนอนน้อยแค่ไหนก็ตาม ผมรู้สึกได้เลยว่า ใจผมมันเปลี่ยนไป และจากเดิมที่เป็นคนตื่นลุกจากเตียงยากมาก snoot แล้ว snoot อีก กลายเป็นผมสามารถที่จะลุกจากเตียงได้ทันทีเมื่อนาฬิกาปลุกดัง

ผมขอจบ ep 1 เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ชอบไม่ชอบ หรือมีความคิดเห็นว่าอย่างไรก็คอมเม้นกันมาได้ ถ้าทำได้ ผมจะพยายามมาลงให้ได้ทุกสัปดาห์นะครับ
เจอกันใหม่ ep หน้าครับ
ภาพประกอบ : กุฏิที่ผมนอนช่วงที่เป็นผ้าขาวรอบวช
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่