ท่านมุ้ย เป็นผู้กำกับคนแรกๆ ในเมืองไทยที่ผมรู้จัก และทำให้ผมชอบดูหนังไทยในยุคนั้น เป็นผู้กำกับที่มักจะหยิบยกเรื่องราวของชนชั้นล่าง จนถึงชนชั้นกลาง ในยุคนั้น ได้อย่างดุเดือด ชัดเจน และไม่เกรงหน้าอินทร์ หน้าพรหม
หนังเรื่อง ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น ออกฉายปี 2520 บอกตรงๆ ผมยังไม่เกิดครับ ได้มาดูก็ตอนเริ่มเข้าวัยรุ่นแล้ว ช่วงที่เริ่มมีเคเบิ้ล ผมจำไม่ได้นะว่าดูจากเคเบิ้ลค่ายไหน แต่ตอนดูครั้งแรกคืออยู่ในยุคที่หนังวัยรุ่นไทยกำลังมาแรง ทั้ง กลิ้งไว้ก่อน พ่อสอนไว้, กระโปรงบานขาสั้น, ปีหนึ่งเพื่อนกันฯ ฯลฯ แต่ผมดันได้ดูหนังเรื่องนี้ในทีวี และทำให้ผมรู้สึกว่าหนังไทยยุคก่อน ทำออกมาดีมาก และพอหมดยุคนั้น ก็แทบจะไม่มีหนังแนวนี้ให้ดูอีกแล้ว
เนื้อเรื่อง
ทองพูน เป็นพ่อหม้ายลูกติดชาวอีสาน ที่ภรรยาทิ้งไปอยู่กับฝรั่ง มีอาชีพเป็นชาวนา แต่แร้งจัด จึงตัดสินใจขายนา และเข้ากรุงเทพฯ เอาเงินที่ขายนาไปซื้อรถแท็กซี่มาขับ ตามสไตล์คนอีสานยุคนั้น ที่ขายนาเข้าเมือง มาหางานทำ ส่วนใหญ่ก็มาซื้อรถแท็กซี่ขับบ้าง มาเช่าแท็กซี่ขับบ้าง มาทำงานโรงงาน ทำงานกรรมกร
ทองพูน เช่าซื้อรถแท็กซี่ ด้วยเงินที่ขายที่นา เจ้าของอู่บอกว่าเงินไม่พอ ทองพูนจึงถอดสร้อยทองให้เพิ่มเข้าไป จึงได้แท็กซี่มาขับ ทองพูนไปเช่าบ้านในสลัม จ้างคนช่วยเลี้ยงลูก และออกขับแท็กซี่ ลูกค้าคนแรก เป็นผู้หญิงดูมีเงิน แต่สุดท้ายก็หลอกทองพูนว่าจะลงไปซื้อของแต่มีแบงค์ห้าร้อยใบเดียว จึงจะขอแลกกับทองพูน ทองพูนไม่มีเงินให้แลก จึงให้ยืมเงินไป 40 บาท และจอดรถลูกค้าอยู่ตรงนั้น สักพักก็มีขอทานขาขาดนั่งรถเลื่อนผ่านมา ทองพูนเห็นเลยเข้าไปคุยด้วย จึงรู้ว่าขอทานขาขาดเพราะโดนระเบิดที่เวียดนาม ขอทานเห็นทองพูนจอดรถลูกค้า ก็สงสารเลยบอกทองพูนไปว่า ผู้หญิงคนนั้นหนีไปแล้ว ไม่กลับมาหรอก ทำให้ทองพูนรู้สึกเสียใจ แต่ก็ขับรถต่อไป
ทองพูน จะมีลูกค้าประจำอยู่เป็นผู้หญิงบริการชื่อ แตง ซึ่งทองพูน รู้จักแตง เพราะแตงโดนแมงดา ทำร้าย และทองพูนก็เข้ามาช่วยเอาไว้ หลายครั้ง ทำให้เธอถูกใจทองพูน และให้ทองพูนรับส่งอยู่ประจำ
วันหนึ่งขณะที่ทองพูนขับแท็กซี่อยู่ก็เจอขอทานคนนั้นอีก จึงรับขึ้นรถมาและพาไปกินก๋วยเตี๋ยว กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ กำลังจะกลับบ้าน ก็มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งเรียกให้ทองพูนไปส่ง ซึ่งขอทานที่อยู่กับทองพูนหันไปเห็นเห็นคนกลุ่มนั้นก็รู้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องแน่ แต่ห้ามไว้ไม่ทัน
ขณะที่กำลังขับรถพาคนกลุ่มนั้นไป ก็เริ่มเข้าไปพื้นที่เปลี่ยว หนึ่งในพวกนั้นก็ควักมีดออกมาขู่ให้ทองพูนจอด เมื่อลงจากรถ พวกโจรก็รุมทำร้ายจนทองพูนหมดสติ และปล้นเอารถแท็กซี่หนีไป
เมื่อทองพูนได้สติ ก็เดินทางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ตำรวจพาไปทำแผน และพยายามจะสืบหาคนร้าย แต่ไปถามที่ร้านก๋วยเตี๋ยว คนขายก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือ เพราะกลัวต้องเสียเวลาทำมาหากิน พอกลับมาถึงบ้านก็เจอลูกชายยืนร้องไห้อยู่หน้าบ้าน และเจ้าของบ้านรื้อของออกมาทิ้งนอกบ้านหมด เพราะค้างค่าเช่าถึง 4 เดือน ทองพูนจึงจำใจเก็บข้าวของและเดินออกจากสลัมไป
ทองพูนเดินหารถตามทาง แต่ก็หาไม่เจอ ลูกก็ร้องหิวข้าว และขอให้ทองพูนพากลับบ้านที่บ้านนอก แต่ทองพูนก็ไม่สามารถจะพาลูกกลับไปที่นั่นได้อีกแล้ว และบอกลูกว่า ที่จะอยู่กรุงเทพฯ ต่อ ก็เพราะอยากให้ลูกได้เรียนสูงๆ
ขณะที่ทองพูน กับลูกกำลังเดินอยู่ริมฟุตบาธ ก็เห็นขอทานกำลังปั้นเรื่องเล่าให้คนแถวนั้นฟังเพื่อขอเงิน ขอทานหันมาเห็นทองพูนพอดีทั้งสองต่างก็ยิ้มให้กัน แต่จู่ๆ ขอทานก็หุบยิ้มและรีบเลื่อนรถหนี แต่ทองพูนก็วิ่งตามไป เพราะสงสัยว่าขอทานอาจจะรู้เรื่องอะไรเข้า แต่พอพยายามบีบขั้นขอทานก็ปฏิเสธจนทองพูนเชื่อว่า ขอทานคงไม่รู้จริงๆ
ทองพูนตัดสินใจไปทำงานกรรมกร ปล่อยให้ลูกเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ที่ไซต์ก่อสร้างริมถนน ซึ่งมีรถวิ่งไปวิ่งมาตลอด ขณะที่กำลังทำงานกันอยู่ก็มีเด็กถูกรถชนแล้วหนี ทองพูนรู้สึกกลัวจึงรีบวิ่งไปดู ปรากฎว่าเด็กที่โดนชนเป็นลูกคนอื่น
ทองพูนตัดสินใจไปหาแตง เพื่อจะให้แตงช่วยดูลูกให้ตอนตัวเองไปทำงาน แตงจึงเสนอให้ทองพูนอยู่กับตัวเอง ทั้งสองจึงได้กัน แตงเสนอว่าจะดาวน์แท็กซี่ให้ แต่ทองพูนรู้สึกไม่สบายใจ และออกจากห้องของแตงแต่เช้า
ขณะที่ทองพูนกำลังเดินหมดอาลัยตายยาก ก็ได้ยินวณิพกนั่งร้องเพลงอีสาน เพลงพูดถึงบ้าน และความคิดถึง ทำให้ทองพูนรู้สึกเหงา และอยากกลับบ้าน แต่ตอนนี้เขาไม่มีบ้านให้กลับเสียแล้ว ขณะที่เขากำลังจะเดินจากไป ขอทานก็ตะโกนเรียกเขา และบอกเขาว่าจะพาเขาไปหากลุ่มโจรที่ขโมยรถเขาไป ขอทานพาทองพูนมาจนเจอกลุ่มโจร ทองพูนต่อสู้กับโจรพวกนั้น แต่สุดท้ายก็โดนทำร้ายจนหมดสติอีก แต่เขาเก็บกระเป๋าเงินของหนึ่งในพวกนั้นมาได้
ทองพูนกลับมาที่ห้องแตง แตงบอกให้ทองพูนไปแจ้งตำรวจ แต่ทองพูนก็รู้ว่าตำรวจไม่ทำอะไรอยู่แล้ว ทองพูนกับขอทาน เห็นนามบัตรอู่รถของเสี่ยสาคร ทองพูนจึงพาตำรวจไปที่อู่ของเสี่ยสาคร แต่สุดท้ายเสี่ยสาครก็ปฏิเสธทุกอย่าง และบอกว่าหัวหน้าโจรเคยทำงานที่อู่เขา แต่โดนไล่ออกไปแล้วเป็นปี ขณะที่ตำรวจคุยกับเสี่ยสาครอยู่ ทองพูนก็หันไปเห็นหัวหน้าโจรกำลังทำงาน หัวหน้าโจรหันมาเห็นทองพูนพอดี จีงรีบหนีออกจากอู่
ตำรวจบอกทองพูนว่า เสี่ยสาครเป็นคนมีชื่อเสียงในสังคม ยังไงก็คงทำอะไรไม่ได้ บอกให้ทองพูนทำใจ พอตำรวจกลับไปแล้ว ทองพูนก็กลับเข้าไปหาเสี่ยสาคร เพื่อขอรถคืน แต่เสี่ยสาครก็ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง จนสุดท้ายทองพูนก็โดนซ้อม และเอาไปทิ้งข้างกองขยะ เสี่ยสาครก็บ่นว่า แค่รถคันเดียว ถึงกับมาตามจะมาฆ่ามาแกงกัน
ทองพูน กลับไปเจอกับพวกคนขับแท็กซี่ที่รู้จักกัน และจะขอให้ช่วย แต่ไม่มีใครช่วย ทองพูน โกรธและด่าเพื่อนๆ และบอกว่า เขาไม่ได้โดนขโมยแค่แท็กซี่ไปแต่เขาโดนขโมยอนาคต ศักดิ์ศรี และความพยายามของเขาไปด้วย แต่เพื่อนๆ ของเขาก็ไม่เข้าใจ และบอกว่าก่อนจะช่วยคืนอื่น ต้องช่วยตัวเองก่อน สุดท้ายทองพูนก็กลับไปที่ห้องแตง ในสภาพที่ยับยู่ยี่
แตงทำแผลให้ทองพูน แตงพยายามดุด่า ให้ทองพูนทำใจ และบอกว่าเธอจะช่วยดูแลทองพูนเอง จะช่วยซื้อแท็กซี่ใหม่ให้ แต่ทองพูนไม่ต้องการแบบนั้น เขาแค่ต้องการอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ต้องการทำทุกอย่างด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ต้องการดูแลคนที่เขารักด้วยความสามารถของตัวเอง มีเพียงลุงคนขับแท็กซี่คนเดียวที่บอกว่าจะช่วยเขาเอง
ทองพูนพยายามออกกำลังกายฟิตร่างกาย ขณะที่เสี่ยสาครก็ออกงานสังคมสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ส่วนแตงก็ออกทำงานในอาบอบนวด ส่วนลุงก็คอยติดตามดูว่า วันๆ เสี่ยไปไหนบ้าง ทำอะไรบ้าง จนรู้ว่าเสี่ยสาครเป็นคนอยู่เบื้องหลังกลุ่มโจรจริงๆ
ตกกลางคืน ลุงคนขับแท็กซี่พาทองพูนไปที่อู่ของเสี่ยสาคร ทองพูนตัดสินใจจะวางเพลิงอู่ เพื่อล้างแค้น พอไปถึงก็เจอยามกำลังตรวจตรา ทองพูนทำร้ายยามจนหมดสติ และแย่งปืนมาได้ ทองพูนเอาถังน้ำมันไปราดใส่รถในอู่ พวกลูกน้องของเสี่ยสาครเห็นเข้าพอดี จึงเริ่มมีการต่อสู้กัน เสี่ยสาครเห็นก็รีบโทรแจ้งตำรวจ ขณะต่อสู้กันอยู่ ทองพูนก็ยิงใส่ลูกน้องสาครคนหนึ่งตาย และทำร้ายหัวหน้าโจรที่ขโมยรถไปจนตาย เสี่ยสาครถือปืนเดินออกมาและขู่ทองพูน ทองพูนควักไฟแช็คออกมาและจุดไฟ ขู่กลับไปว่าถ้าเขาโยนไฟแช็คลงพื้น อู่ก็จะไหม้พอดี เสี่ยสาครถามว่าทองพูนต้องการอะไร ทองพูนบอกว่าต้องการถแท็กซี่ตัวเองคืน เสี่ยสาครสวนกลับไปว่าแค่แท็กซี่คันเดียว ถึงกับเข้ามาฆ่าคน และจะเผาอู่ที่มีมูลค่าเป็นสิบล้าน เพื่อรถคันเดียว ทองพูนตอบว่าใช่ เสี่ยสาครจึงบอกว่า ให้เอารถไปเลย คันไหนก็ได้ และอย่ากลับมาอีก แต่ทองพูนเดินหาทั่วอู่ก็ไม่เจอรถตัวเอง ตำรวจมาพอดี ตำรวจถามว่าทองพูนเข้ามาปล้นอู่ใช่ไหม ทองพูนบอกว่าไม่ใช่ แค่จะมาหารถคืน และบอกว่า เสี่ยสาครเป็นหัวหน้าโจรที่ปล้นรถตัวเองไป เสี่ยสาครปฏิเสธ สุดท้ายทองพูนก็โดนจับ
กล้องเบนไปจนเห็นซากรถของทองพูนกองเป็นชิ้นๆ อยู่ ส่วนแตงก็เมาเหล้าจนหมดสติ ลูกชายนอนหลับอยู่บนโซฟา มีขอทานนั่งเฝ้าพวกเขารอให้ทองพูนกลับมา แล้วหนังก็จบแค่ตรงนี้
รีวิว
ครั้งแรกที่ดูหนังเรื่องนี้ ผมอยู่ในช่วงวัยรุ่น และในยุคที่คนอีสานยังแห่กันเข้ามาหางานในกรุงเทพ ยังมีคนต้องขายที่ ขายนา มาอยู่กรุงเทพฯ มาหางาน ในกรุงเทพฯ ผมยังได้ยินเสียงคนอีสาน พูดสำเนียงอีสานตามริมทาง ยังเห็นคนหาบไข่ปิ้ง เดินเข้ามาขายในหมู่บ้านและพูดว่า "เห็นเขาว่าถ้าไปขายที่กรุงเทพฯ จะขายดีมาก ก็ว่าจะไปขายที่กรุงเทพฯ" ซึ่งผมก็บอกแกว่า เอ้า นี่ก็กรุงเทพนี่ แกตอบมาแบบซื่อๆว่า เอ้าเหรอ แกก็อธิบายจนผมเข้าใจว่าแกหมายถึง สนามหลวง ซึ่งสมัยนั้นคนยังไปนั่งเล่น ยังมีคนหาบแร่ไปขายของรอบๆ สนามหลวงเยอะมาก
หนังเปิดเรื่องมาเห็นภาพชัดเจนเห็นสภาพทุกอย่างทำให้รู้สึกได้เลยว่าทำไมต้องขายที่และย้ายมาหางานในเมือง สภาพกรุงเทพฯ ในยุคนั้นก็ทำให้รู้ได้ถึงความเห็นแก่ตัว ความแก่งแย่ง คนดีอยู่ยาก คนมีเงินใช่ว่าจะไม่โกงใคร บทดึงเอาความเลวร้ายต่างๆ ในยุคนั้นออกมาได้อย่างสวยงาม ในสมัยนั้น ข่าวแท็กซี่โดนปล้นเกิดขึ้นเป็นประจำ และตำรวจก็ไม่สามารถติดตามรถมาคืนได้เพราะคนปล้นก็คือคนรวย ปล้นมาดัดแปลงรถ ถอดชิ้นส่วน และขายต่อ ผู้หญิงขายบริการก็โดนแมงดาซ้อม หาเงินปรนเปรอผู้ชาย ติดเหล้า ติดยา
ทุกครั้งที่ดนตรีขึ้นมา เพลงประกอบดังขึ้น มันช่างบีบเค้นหัวใจ ทำให้รู้สึกถึงความเร้นแค้นในใจ ความเหงา ความเศร้า ความเจ็บปวดรวดร้าว ความสำนึกผิดที่ขายที่ทำกิน และเข้าเมืองที่เต็มไปด้วยคำหลอกลวง คำโกหก คนกินคน ทุกเพลงเข้ากับบรรยากาศของหนังแบบลงตัว
ฉากแอ็คชั่นที่ดูดิบ เถื่อน และไม่มีวิทยายุทธอะไรมากมาย เป็นการต่อสู้แบบมวยวัดจริงๆ ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่สมจริง ไม่แต่งแต้มอะไร
นักแสดงมากฝีมืออย่าง จตุพล ภูอภิรมย์ ได้มารับบทนี้แบบฟลุคๆ เพราะ สรพงษ์ ที่เป็นนักแสดงคู่บุญของท่านมุ้ยติดคิวถ่ายหนังเรื่องอื่น ทำให้ต้องเอา จตุพล มาเล่นแทน แต่ทั้งๆ ที่เป็นหนังเรื่องแรก จตุพล ก็ฝากฝีมือไว้ได้อย่างงดงามและได้รับรางวัลตุ๊กตาเงิน ในสาขาสักแสดงดาวรุ่ง จตุพล ฝากฝีมือการแสดงไว้ให้เป็นที่จดจำหลายเรื่อง แต่น่าเสียดายต้องมาจบชีวิตเพราะอุบัติเหตุเสียก่อน
วิยาดา อุมารินทร์ ในบทแตง ผู้หญิงบริการที่หลงรักกับทองพูน ก็เล่นได้ดีมาก เข้าถึงบทบาทการเป็นคุณโสฯ อย่างลึกซึ้ง สายตาที่เธอมองทองพูน ดูโหยหา อาวรณ์ ทำให้รู้สึกได้ว่าเธอกำลังหลงรักทองพูนจริงๆ และคงเพราะเธอเคยเล่นบทแบบนี้ในเรื่อง เทพธิดาโรงแรม มาแล้ว ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าเธอเหมาะกับบทนี้อย่างเสียไม่ได้
บู๊ วิบูลนันท์ ในบทเสี่ยสาคร ลุงบู๊ ต้องบอกว่า เป็นนักแสดงมากฝีมือ เล่นได้ทั้งบทตลก และบทดราม่า ในเรื่องทองพูนฯ ลุงแกก็เล่นได้เลวมาก ด้วยรูปร่างหน้าตายิ่งทำให้แกดูเป็นเสี่ยนิสัยไม่ดี ดูเป็นคนขี้โกง กับความสามารถทางการแสดงที่แกทำได้ดีอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ตัวหนังออกมาดีรู้สึกเกลียดเสี่ยสาครเข้าไปอีก
ท่านมุ้ย ในยุคทองของแก ที่ทำหนังแนวสะท้อนสังคมได้อย่างถึงเครื่อง ตั้งแต่ เขาชื่อกานต์, เทพธิดาโรงแรม, ผมไม่อยากเป็นพันโท, ล่า, กาม ฯลฯ เสียดายที่ช่วงหลังๆ นี่แกหันไปทำแต่หนังประวัติศาสตร์ และเท่าที่ทราบก็เหมือนแกวางมือไปแล้ว เพราะอายุและอาการเจ็บป่วยต่างๆ แต่ก็หวังว่าจะได้เห็นหนังสะท้อนสังคมที่ดุเดือดแบบนี้อีกครั้ง
[CR] ว่างๆ ก็ขุดมาเล่า กับหนังดราม่าพันธุ์ไทย สุดคลาสสิค ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้