- รู้จักเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่สมัยเป็น VCD ตามร้านเช่าหนังทั่วไป พอรู้คร่าว ๆ ว่า เนื้อเรื่องเป็นอย่างไร ? ใครเป็นผู้กำกับ ? พอหลังจากดูจบเข้าใจเลยว่า ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงเป็นที่รักและถูกพูดถึงกันมานานกว่าเกือบ 2 ทศวรรษแถมคว้ารางวัลออสการ์สาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยมมาแล้วเมื่อปี 2008 บางคนก็หยิบมาดูซ้ำจนแผ่นเป็นรู บางคนก็ฟังวนจนจำเนื้อได้ขึ้นใจทุกเพลง ก็เพราะ มันเป็นหนังที่หยิบเรื่องใกล้ตัวมาเล่าแล้วใช้เพลงที่ขนกันมาเป็นอัลบั้มเป็นตัวขับเคลื่อนช่วยเสริมให้เรื่องมีจังหวะและแก่นสารที่เสิร์ฟก็สามารถซื้อใจและเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปเล่นท่ายากตามเสด็จพ่อโนแลน ให้ปวดหัวเอาเปล่า ๆ
- จากที่ดูผลงานของผู้กำกับ John Carney ก็พอจะทราบ Concept ได้ว่า ทุกเรื่องจะพูดถึง ดนตรี กับ ความฝัน ผ่านตัวละครหลักที่เป็นคนชนชั้นกลางและรากหญ้าเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น Begin Again (2013) , Sing Street (2016) และ Flora & Son (2023) โดยแต่ละเรื่องจะมีปมเข้ามาส่งผลมากน้อยต่างกันไปตามสเกลที่ขยายตามงบที่ได้มา แต่สำหรับเรื่องนี้เบาสบาย เดินเรื่องเป็นเส้นตรง มีปมเกริ่นมาแต่ไม่ได้ขยี้ให้เกิดอารมณ์หดหู่หรือโศกเศร้าขายพลังลบ หรือ เป็นเพราะเรื่องแรกด้วยทุกอย่างมันเลยดูสดไปหมด ทั้งตัวนักแสดงหรือวิธีการถ่ายแบบกองโจรภาพที่เห็นก็จะเป็นแสงเรียล ๆ ดิบ ๆ แล้วไปนั่งตัดต่อฉากกับ PC อีกที โอเคว่า ตัวพระ -นาง จะมีปมส่วนตัวแต่ละคนกล่าวให้ทราบโดยสังเขปแทนที่จะเน้นไปในแง่ของการเล่นกับความรู้สึกให้เกิดพลังลบแต่กลายเป็นว่าเปลี่ยนมันให้กลายเป็น Inspiration เป็นพลังบวกให้ตัวละครมีแรงผลักดัน อยากทำในสิ่งที่วางเป้าไว้ ซึ่งต้องขอบคุณ เครื่องดูดฝุ่น ที่ทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันมันเลยทำให้ความสัมพันธ์จากคนแปลกหน้ามาสู่ Friend Zone ในช่วงแรกจึงขยับไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
- ระหว่างนั้นมันจะมีกลิ่นอายความเป็น Romance แทรกผ่านความสัมพันธ์พระ-นางเบา ๆ มีการโชว์ Scene ด้วยการโชว์ร้องเพลงไปในขณะที่นางเอกกำลังเดินออกจากร้านขายของชำเพื่อกลับบ้านในลักษณะ Long Take ให้เราดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบข้าง มีการชวนนักดนตรีเปิดหมวก 3 คนช่วยมาอัดเสียงในห้องส่งเหมือนเป็น Mission เฉพาะกิจ เพื่อจะส่งชุดเดโมที่แต่งมาไป Audition ที่ลอนดอน ขณะดูช่วงนี้นอกจากจะเห็นวิธีการอัดเสียงว่ามีขั้นตอนเป็นอย่างไร ? พร้อมกับชีวิตส่วนตัวของพระ-นางที่มีการไปมาหาสู่เพิ่มขึ้นก็ค่อย ๆ พัฒนาประคับประคองตามไปแล้วยังตื่นตาไปกับ gadget ยอดฮิตยุค 2000’s ที่เคยผ่านตาหรือสัมผัสมาบางชิ้นอย่าง เครื่องเล่น CD หรือ โทรศัพท์มือถือแบบฝาพับ ให้รู้สึกหวนคิดถึงช่วงเวลานั้นขึ้นมาในหัวว่านี่เราผ่านอะไรมากันเยอะอยู่เหมือนกันนะเนี่ย
- ถึงตลอดเรื่องจะเดินไปด้วยพลังบวกอย่างสัตย์จริงแทบไม่มีอุปสรรคใด ๆ แต่บทสรุปกลับเลือกเป็นปลายเปิด ซึ่งชอบที่ให้เป็นแบบนั้น อีกเพราะมันจบได้ Impact ดี โดยเฉพาะ Scene ที่พระเอกนั่งฟังเพลงที่ตนเองเพิ่งทำเดโมเสร็จร่วมกับพ่อบนโต๊ะจนกระทั่งพ่อถามว่าจะไปลอนดอนเมื่อไหร่ พระเอกตอบไปว่า พรุ่งนี้ แล้วถามพ่อกลับประมาณว่า ผมไม่อยู่แล้วพ่อจะอยู่คนเดียวได้มั้ย ? พ่อตอบกลับไปว่า ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ตอนแกไม่เกิดพ่อยังเป็นโสดได้เลย ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องห่วง เอาเงินพ่อไปก่อนเผื่อไว้เป็นค่าเครื่องบิน ค่ากิน ค่าห้อง พอพูดจบพ่อก็ยื่นเงินให้ เท่านั้นแหล่ะทำเอาผมทราบซึ้งใจในความรักของพ่อที่ Support ลูกอย่างอบอุ่น ไม่เหมือนในประเทศกะลาคนดีย์ที่พอได้ยินปุ๊ปจะมีชุดคำถามก่อนเลยว่า ไปแล้วจะรอดเหรอ? อยู่บ้านเราไม่ดีกว่าเหรอ ? ใครจะอยู่ดูแลล่ะ ? แทนที่จะ Support ให้ลูกได้สิ่งที่ดีแต่กลับขัดขวางด้วยความห่วงใยซะงั้น ไอ้ชิหาย มันเลยทำให้คนไม่สามารถเติบโตได้และยังมองเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งบันเทิงคลายเครียดมากกว่าจะทำให้เป็นอาชีพอย่างจริงจัง แต่ถ้าไม่ลองทำก็ไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ? แต่ที่แน่ ๆ คือ ชนะใจตนเองเรียบร้อยแล้ว
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม By : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.109 Once (2007) : ร้องเล่น เต้นตามฝัน
- รู้จักเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่สมัยเป็น VCD ตามร้านเช่าหนังทั่วไป พอรู้คร่าว ๆ ว่า เนื้อเรื่องเป็นอย่างไร ? ใครเป็นผู้กำกับ ? พอหลังจากดูจบเข้าใจเลยว่า ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงเป็นที่รักและถูกพูดถึงกันมานานกว่าเกือบ 2 ทศวรรษแถมคว้ารางวัลออสการ์สาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยมมาแล้วเมื่อปี 2008 บางคนก็หยิบมาดูซ้ำจนแผ่นเป็นรู บางคนก็ฟังวนจนจำเนื้อได้ขึ้นใจทุกเพลง ก็เพราะ มันเป็นหนังที่หยิบเรื่องใกล้ตัวมาเล่าแล้วใช้เพลงที่ขนกันมาเป็นอัลบั้มเป็นตัวขับเคลื่อนช่วยเสริมให้เรื่องมีจังหวะและแก่นสารที่เสิร์ฟก็สามารถซื้อใจและเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปเล่นท่ายากตามเสด็จพ่อโนแลน ให้ปวดหัวเอาเปล่า ๆ
- จากที่ดูผลงานของผู้กำกับ John Carney ก็พอจะทราบ Concept ได้ว่า ทุกเรื่องจะพูดถึง ดนตรี กับ ความฝัน ผ่านตัวละครหลักที่เป็นคนชนชั้นกลางและรากหญ้าเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น Begin Again (2013) , Sing Street (2016) และ Flora & Son (2023) โดยแต่ละเรื่องจะมีปมเข้ามาส่งผลมากน้อยต่างกันไปตามสเกลที่ขยายตามงบที่ได้มา แต่สำหรับเรื่องนี้เบาสบาย เดินเรื่องเป็นเส้นตรง มีปมเกริ่นมาแต่ไม่ได้ขยี้ให้เกิดอารมณ์หดหู่หรือโศกเศร้าขายพลังลบ หรือ เป็นเพราะเรื่องแรกด้วยทุกอย่างมันเลยดูสดไปหมด ทั้งตัวนักแสดงหรือวิธีการถ่ายแบบกองโจรภาพที่เห็นก็จะเป็นแสงเรียล ๆ ดิบ ๆ แล้วไปนั่งตัดต่อฉากกับ PC อีกที โอเคว่า ตัวพระ -นาง จะมีปมส่วนตัวแต่ละคนกล่าวให้ทราบโดยสังเขปแทนที่จะเน้นไปในแง่ของการเล่นกับความรู้สึกให้เกิดพลังลบแต่กลายเป็นว่าเปลี่ยนมันให้กลายเป็น Inspiration เป็นพลังบวกให้ตัวละครมีแรงผลักดัน อยากทำในสิ่งที่วางเป้าไว้ ซึ่งต้องขอบคุณ เครื่องดูดฝุ่น ที่ทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันมันเลยทำให้ความสัมพันธ์จากคนแปลกหน้ามาสู่ Friend Zone ในช่วงแรกจึงขยับไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
- ระหว่างนั้นมันจะมีกลิ่นอายความเป็น Romance แทรกผ่านความสัมพันธ์พระ-นางเบา ๆ มีการโชว์ Scene ด้วยการโชว์ร้องเพลงไปในขณะที่นางเอกกำลังเดินออกจากร้านขายของชำเพื่อกลับบ้านในลักษณะ Long Take ให้เราดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบข้าง มีการชวนนักดนตรีเปิดหมวก 3 คนช่วยมาอัดเสียงในห้องส่งเหมือนเป็น Mission เฉพาะกิจ เพื่อจะส่งชุดเดโมที่แต่งมาไป Audition ที่ลอนดอน ขณะดูช่วงนี้นอกจากจะเห็นวิธีการอัดเสียงว่ามีขั้นตอนเป็นอย่างไร ? พร้อมกับชีวิตส่วนตัวของพระ-นางที่มีการไปมาหาสู่เพิ่มขึ้นก็ค่อย ๆ พัฒนาประคับประคองตามไปแล้วยังตื่นตาไปกับ gadget ยอดฮิตยุค 2000’s ที่เคยผ่านตาหรือสัมผัสมาบางชิ้นอย่าง เครื่องเล่น CD หรือ โทรศัพท์มือถือแบบฝาพับ ให้รู้สึกหวนคิดถึงช่วงเวลานั้นขึ้นมาในหัวว่านี่เราผ่านอะไรมากันเยอะอยู่เหมือนกันนะเนี่ย
- ถึงตลอดเรื่องจะเดินไปด้วยพลังบวกอย่างสัตย์จริงแทบไม่มีอุปสรรคใด ๆ แต่บทสรุปกลับเลือกเป็นปลายเปิด ซึ่งชอบที่ให้เป็นแบบนั้น อีกเพราะมันจบได้ Impact ดี โดยเฉพาะ Scene ที่พระเอกนั่งฟังเพลงที่ตนเองเพิ่งทำเดโมเสร็จร่วมกับพ่อบนโต๊ะจนกระทั่งพ่อถามว่าจะไปลอนดอนเมื่อไหร่ พระเอกตอบไปว่า พรุ่งนี้ แล้วถามพ่อกลับประมาณว่า ผมไม่อยู่แล้วพ่อจะอยู่คนเดียวได้มั้ย ? พ่อตอบกลับไปว่า ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ตอนแกไม่เกิดพ่อยังเป็นโสดได้เลย ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องห่วง เอาเงินพ่อไปก่อนเผื่อไว้เป็นค่าเครื่องบิน ค่ากิน ค่าห้อง พอพูดจบพ่อก็ยื่นเงินให้ เท่านั้นแหล่ะทำเอาผมทราบซึ้งใจในความรักของพ่อที่ Support ลูกอย่างอบอุ่น ไม่เหมือนในประเทศกะลาคนดีย์ที่พอได้ยินปุ๊ปจะมีชุดคำถามก่อนเลยว่า ไปแล้วจะรอดเหรอ? อยู่บ้านเราไม่ดีกว่าเหรอ ? ใครจะอยู่ดูแลล่ะ ? แทนที่จะ Support ให้ลูกได้สิ่งที่ดีแต่กลับขัดขวางด้วยความห่วงใยซะงั้น ไอ้ชิหาย มันเลยทำให้คนไม่สามารถเติบโตได้และยังมองเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งบันเทิงคลายเครียดมากกว่าจะทำให้เป็นอาชีพอย่างจริงจัง แต่ถ้าไม่ลองทำก็ไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ? แต่ที่แน่ ๆ คือ ชนะใจตนเองเรียบร้อยแล้ว
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม By : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้