คริสโตเฟอร์ชายชราที่กำลังมีปัญหาในเรื่องสุขภาพ ความทรงจำเขาไม่ดีเหมือนเก่า ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน
แพทย์ประจำตัวได้แนะนำให้เขาจัดการในเรื่องต่างๆที่ยังค้างคาอยู่ในช่วงเวลาที่ตัวเองยังจัดการได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป..
Touch (ในชื่อไอซ์แลนด์ว่า Snerting) เป็นภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติก กำกับโดย Baltasar Kormákur
เขียนบทโดย Baltasar และ Ólafur Jóhann Ólafsson สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกันของโอลาฟูร์ ในปี 2022
ผลงานผลิตร่วมกันระหว่างไอซ์แลนด์ สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร
ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของไอซ์แลนด์ในการเข้าชิงสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97
และล่าสุดสามารถผ่านเข้ารอบ 15 เรื่องสุดท้ายได้เป็นที่เรียบร้อย (เช่นเดียวกับหลานม่าของบ้านเรา และ Flow ที่ผมเคยรีวิวไป)
เหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้นำเสนอแบบ 2 ช่วงเวลาคือยุคปัจจุบัน กับช่วงปี 1965
ซึ่งเป็นยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมภายหลังผ่านพ้นช่วงทศวรรษแห่งสงครามก่อนหน้า
พระเอกของเรา คริสโตเฟอร์ในวัยหนุ่มเป็นนักศึกษาหัวรุนแรงจากไอซ์แลนด์ที่ถวิลหาความเท่าเทียมกันในสังคม
ด้วยความต้องการท้าทายและพิสูจน์ตัวเองให้เพื่อนๆได้เห็น
เขาจึงไปสมัครงานเป็นผู้ช่วยคนครัวในร้านอาหารญี่ปุ่นใจกลางกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ
และที่ร้านอาหารญี่ปุ่น คริสได้พบกับมิตรภาพที่ดีแม้ว่าการสื่อสารเรื่องของภาษาอาจจะมีปัญหาบ้างในช่วงแรก
แต่ก็ไม่มีปัญหาสำหรับเขาในเรื่องการปรับตัว และมากไปกว่านั้นชายหนุ่มได้พบกับหญิงสาว
ผู้ที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล.. เธอชื่อมิโกะ
อย่างที่บอกไว้ครับ เล่าเรื่องแบบตัดสลับ 2 ช่วงเวลา ให้เห็นเรื่องราวของคริสโตเฟอร์ทั้งตอนวัยหนุ่มและวัยชรา
ชีวิตที่ผ่านประสบการณ์มากมายจนถึงช่วงสุดท้ายที่มีโรครุมเร้า
แต่เขาก็ต้องการทำบางสิ่งบางอย่างที่ยังค้างคาใจให้เสร็จสิ้นก่อนที่ความจำของเขาจะเลือนหาย
Egill Ólafsson ดาราดังของไอซ์แลนด์กับบทคริสโตเฟอร์วัยชรา ที่เริ่มมีอาการหลงลืมของโรคอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้น
เจ้าตัวต้องฝึกภาษาญี่ปุ่นเพื่อบทนี้เลยทีเดียว เช่นเดียวกับ Palmi Kormakur ในวัยหนุ่ม
นี่คืองานแสดงหนังยาวเรื่องแรกของเขา แต่ก็ทำได้ดีไม่แพ้รุ่นใหญ่เลย ..
ขณะที่บทของมิโกะ ก็ได้ มิตซึกิ คิมูระ นักแต่งเพลงและนางแบบชื่อดังของญี่ปุ่น คิมูระ คุ้นๆใช่ไหมครับ
เพราะว่าเธอคือลูกสาวของทาคุยะ คิมูระ พระเอกสุดเท่ตลอดกาลขวัญใจสาวไทยยุค 90 ของวง SMAPนั่นเอง
สวยมากกกกก ปัจจุบันอายุ 21 แล้ว หน้าตาดีเหมือนคุณพ่อจริงๆ
สำหรับ Touch ก็คือหนังรักปกติๆนี่ล่ะ แต่มันมีความดราม่าที่แฝงมาด้วยและเป็นปมของหนังนั่นก็คือ
การทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมะ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คน บาดเจ็บอีกมหาศาล
และนอกจากนั้นก็คือผู้ที่ได้รับผลจากกัมมันตรังสีที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากการระเบิดอีกนับหมื่นคน
สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับภาพยนตร์ในเมื่อเหตุการณ์มันผ่านมาแล้วกว่า 20 ปี
เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่คุณต้องหาคำตอบด้วยตัวเองครับ
และด้วยความที่ตัวเอกเป็นชาวไอซ์แลนด์ นางเอกเป็นญี่ปุ่น ทั้งสองมาเจอกันที่ลอนดอน อังกฤษ
จึงทำให้หนังเรื่องนี้พูดกันทั้งสิ้น 3 ภาษา โดยโอลาฟูร์ ผู้แต่งเรื่องนี้ (และร่วมเขียนบท)
มีความสนใจในวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ถ่ายทอดออกมาได้ดีไม่มีตกหล่น
ผ่านทางอาหารการกิน การดื่มสาเก รวมไปถึงบทกวีญี่ปุ่น หรือไฮกุ ก็มีการถูกพูดถึงในหนังเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
นี่คือหนังที่บอกเล่าเรื่องราวความรักอันบริสุทธิ์ เรียบง่าย สะเทือนอารมณ์แบบตรงไปตรงมา
ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับ Covid-19 ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน แต่มันทัชใจสมชื่อเรื่องโดยแท้ มันสัมผัสได้จริง
ชายหนุ่มหญิงสาวที่มีที่มาแสนแตกต่างทั้งภาษา วัฒนธรรมไม่น่ามีอะไรจะมาบรรจบกันได้
แต่ด้วยพลังแห่งรักก็สามารถผ่านข้ามทุกพรมแดนไม่มีอะไรมาขวางกั้น โอ... นี่ผมพิมพ์อะไรออกมา 55
สุดท้ายแล้วหนังตัวแทนจากไอซ์แลนด์เรื่องนี้จะไปได้ไกลถึง 5 เรื่องสุดท้ายบนเวทีออสการ์ได้หรือไม่
ก็ต้องลุ้นกันต่อไป ถ้ามีโอกาสผมจะหาหนังที่เป็นตัวแทนชิงในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมมารีวิวให้ได้อ่านกันอีก
รอติดตามกันต่อนะครับ
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Touch (2024) ตามหารักแรก.. 50 ปี ไม่มีวันลืม... ==
คริสโตเฟอร์ชายชราที่กำลังมีปัญหาในเรื่องสุขภาพ ความทรงจำเขาไม่ดีเหมือนเก่า ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน
แพทย์ประจำตัวได้แนะนำให้เขาจัดการในเรื่องต่างๆที่ยังค้างคาอยู่ในช่วงเวลาที่ตัวเองยังจัดการได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป..
Touch (ในชื่อไอซ์แลนด์ว่า Snerting) เป็นภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติก กำกับโดย Baltasar Kormákur
เขียนบทโดย Baltasar และ Ólafur Jóhann Ólafsson สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกันของโอลาฟูร์ ในปี 2022
ผลงานผลิตร่วมกันระหว่างไอซ์แลนด์ สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร
ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของไอซ์แลนด์ในการเข้าชิงสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97
และล่าสุดสามารถผ่านเข้ารอบ 15 เรื่องสุดท้ายได้เป็นที่เรียบร้อย (เช่นเดียวกับหลานม่าของบ้านเรา และ Flow ที่ผมเคยรีวิวไป)
เหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้นำเสนอแบบ 2 ช่วงเวลาคือยุคปัจจุบัน กับช่วงปี 1965
ซึ่งเป็นยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมภายหลังผ่านพ้นช่วงทศวรรษแห่งสงครามก่อนหน้า
พระเอกของเรา คริสโตเฟอร์ในวัยหนุ่มเป็นนักศึกษาหัวรุนแรงจากไอซ์แลนด์ที่ถวิลหาความเท่าเทียมกันในสังคม
ด้วยความต้องการท้าทายและพิสูจน์ตัวเองให้เพื่อนๆได้เห็น
เขาจึงไปสมัครงานเป็นผู้ช่วยคนครัวในร้านอาหารญี่ปุ่นใจกลางกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ
และที่ร้านอาหารญี่ปุ่น คริสได้พบกับมิตรภาพที่ดีแม้ว่าการสื่อสารเรื่องของภาษาอาจจะมีปัญหาบ้างในช่วงแรก
แต่ก็ไม่มีปัญหาสำหรับเขาในเรื่องการปรับตัว และมากไปกว่านั้นชายหนุ่มได้พบกับหญิงสาว
ผู้ที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล.. เธอชื่อมิโกะ
อย่างที่บอกไว้ครับ เล่าเรื่องแบบตัดสลับ 2 ช่วงเวลา ให้เห็นเรื่องราวของคริสโตเฟอร์ทั้งตอนวัยหนุ่มและวัยชรา
ชีวิตที่ผ่านประสบการณ์มากมายจนถึงช่วงสุดท้ายที่มีโรครุมเร้า
แต่เขาก็ต้องการทำบางสิ่งบางอย่างที่ยังค้างคาใจให้เสร็จสิ้นก่อนที่ความจำของเขาจะเลือนหาย
Egill Ólafsson ดาราดังของไอซ์แลนด์กับบทคริสโตเฟอร์วัยชรา ที่เริ่มมีอาการหลงลืมของโรคอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้น
เจ้าตัวต้องฝึกภาษาญี่ปุ่นเพื่อบทนี้เลยทีเดียว เช่นเดียวกับ Palmi Kormakur ในวัยหนุ่ม
นี่คืองานแสดงหนังยาวเรื่องแรกของเขา แต่ก็ทำได้ดีไม่แพ้รุ่นใหญ่เลย ..
ขณะที่บทของมิโกะ ก็ได้ มิตซึกิ คิมูระ นักแต่งเพลงและนางแบบชื่อดังของญี่ปุ่น คิมูระ คุ้นๆใช่ไหมครับ
เพราะว่าเธอคือลูกสาวของทาคุยะ คิมูระ พระเอกสุดเท่ตลอดกาลขวัญใจสาวไทยยุค 90 ของวง SMAPนั่นเอง
สวยมากกกกก ปัจจุบันอายุ 21 แล้ว หน้าตาดีเหมือนคุณพ่อจริงๆ
สำหรับ Touch ก็คือหนังรักปกติๆนี่ล่ะ แต่มันมีความดราม่าที่แฝงมาด้วยและเป็นปมของหนังนั่นก็คือ
การทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมะ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คน บาดเจ็บอีกมหาศาล
และนอกจากนั้นก็คือผู้ที่ได้รับผลจากกัมมันตรังสีที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากการระเบิดอีกนับหมื่นคน
สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับภาพยนตร์ในเมื่อเหตุการณ์มันผ่านมาแล้วกว่า 20 ปี
เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่คุณต้องหาคำตอบด้วยตัวเองครับ
และด้วยความที่ตัวเอกเป็นชาวไอซ์แลนด์ นางเอกเป็นญี่ปุ่น ทั้งสองมาเจอกันที่ลอนดอน อังกฤษ
จึงทำให้หนังเรื่องนี้พูดกันทั้งสิ้น 3 ภาษา โดยโอลาฟูร์ ผู้แต่งเรื่องนี้ (และร่วมเขียนบท)
มีความสนใจในวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ถ่ายทอดออกมาได้ดีไม่มีตกหล่น
ผ่านทางอาหารการกิน การดื่มสาเก รวมไปถึงบทกวีญี่ปุ่น หรือไฮกุ ก็มีการถูกพูดถึงในหนังเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
นี่คือหนังที่บอกเล่าเรื่องราวความรักอันบริสุทธิ์ เรียบง่าย สะเทือนอารมณ์แบบตรงไปตรงมา
ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับ Covid-19 ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน แต่มันทัชใจสมชื่อเรื่องโดยแท้ มันสัมผัสได้จริง
ชายหนุ่มหญิงสาวที่มีที่มาแสนแตกต่างทั้งภาษา วัฒนธรรมไม่น่ามีอะไรจะมาบรรจบกันได้
แต่ด้วยพลังแห่งรักก็สามารถผ่านข้ามทุกพรมแดนไม่มีอะไรมาขวางกั้น โอ... นี่ผมพิมพ์อะไรออกมา 55
สุดท้ายแล้วหนังตัวแทนจากไอซ์แลนด์เรื่องนี้จะไปได้ไกลถึง 5 เรื่องสุดท้ายบนเวทีออสการ์ได้หรือไม่
ก็ต้องลุ้นกันต่อไป ถ้ามีโอกาสผมจะหาหนังที่เป็นตัวแทนชิงในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมมารีวิวให้ได้อ่านกันอีก
รอติดตามกันต่อนะครับ
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===