JJNY : พิธาชี้ศก.เหนือ โตช้า-ดิ่งลึก│ติงรบ.คิดให้ดีรับซื้อปลาหมอคางดำ│เงินบาทพลิกอ่อนค่า│รัสเซียจำคุก 16 ปี นักข่าวสหรัฐ

ก้าวไกล จัดสภากาแฟลำพูน ถกเอกชน พิธาชี้ เศรษฐกิจเหนือมีลักษณะพิเศษ โตช้า-ดิ่งลึก
https://www.matichon.co.th/politics/news_4690484

‘ก้าวไกล’ จัดสภากาแฟ ‘ลำพูน’ แลกเปลี่ยนปัญหาเศรษฐกิจภาคเอกชน ‘พิธา’ บอกทำการบ้านมา เศรษฐกิจภาคเหนือมี ‘แรงเฉื่อย’ ลักษณะพิเศษ ‘โตช้า-ดิ่งลึก’
 
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ จ.ลำพูน พรรคก้าวไกล นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค, ส.ส.ลำพูน พรรคก้าวไกล, ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.ลำพูน พรรคก้าวไกล และทีมงานจังหวัดของพรรค ลงพื้นที่พบปะภาคเอกชนจังหวัดลำพูน เพื่อรับฟังปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยจัดรูปแบบคอฟฟี่ทอล์ก หรือสภากาแฟ

นายพิธากล่าวว่า จุดประสงค์ในการลงพื้นที่เพื่อเปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ. เลยอยากมาแวะดูผู้ประกอบการด้วยว่ามีข้อกังวลใจ มีปัญหาอะไรท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เศรษฐกิจภาคเหนือตนได้ติดตามมาโดยตลอด ซึ่งยังมีแรงเฉื่อย โดยต่างจากภาคอื่นคือโตช้าและดิ่งลึกกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ แต่ไม่เอาทุกจังหวัดของภาคเหนือมาดู จะพบว่าลำพูนจะเด่นกว่าจังหวัดอื่น มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุด

จังหวัดลำพูนก็มีตัวเลขการเข้าสู่บัตรรัฐสวัสดิการ 25-30% เช่นเดียวกัน ลำพูนมีโรงงานเยอะ ขณะเดียวกันประชาชนก็ยังได้รับความเดือดร้อนเยอะ ทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม เรื่องการท่องเที่ยว เดือนหน้าก็จะเป็นโลว์ซีซั่น
 
ลำพูน พะเยา เป็นจังหวัดที่ไฮเทคและไฮทัชที่เป็นตัวอย่างของภาคเหนือได้เป็นอย่างดี ผมเชื่อว่าพี่น้องชาวลำพูนเชื่อในประชาธิปไตยอยู่เสมอ ตนหวังว่าพี่น้องชาวลำพูนจะเห็นถึงการพัฒนาด้านต่างๆ ไปด้วยกัน ตนพอทำการบ้านมาแล้วบ้าง แต่ไม่มีข้อมูลไหนที่ไม่ดีเท่าฟังผู้ประกอบการเอง” นายพิธากล่าว
 
ด้านผู้ประกอบการ สะท้อนปัญหาว่า ตอนนี้หลายโรงงานย้ายไปประเทศอื่น เช่น ลาว เวียดนามแล้ว เนื่องจากระบบไม่ออกแบบให้ฐานอุตสาหกรรมเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจในพื้นที่ ซึ่งต้องสร้างซัพพลายเชนในพื้นที่
 
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปอาหาร เป็นหัวใจสำคัญต่ออนาคตของชาติ แต่ลำไย มะม่วงเรามักมีปัญหาอยู่เรื่อย แก้ปัญหาโดยการช่วยซื้อกันเอง มีล้งจากชาวจีน จึงมีความพยายามผลักดันอุตสาหกรรมนี้มา 2 ปีแล้ว แต่ยังไม่ตั้งไข่ มีแต่คำพูดสวยหรู มองว่านวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญ มันไม่มีการเสริมสร้าง

ที่เขาเรียกล้อกันว่าขึ้นหิ้ง ไม่ลงมาสู่พื้นบ้าน มาสู่การเกษตร เรามองว่าถ้าเรามีแผนชัดเจน มีการวิจัย ที่เราเรียกว่าเซอร์วิส เป็นการเพิ่มมูลค่า
 
ตัวแทนผู้ประกอบการ ยังย้ำถึงการขออนุญาต อย. ขอได้ค่อนข้างยาก ภาครัฐไม่ได้สนับสนุนที่แท้จริงนอกจากนี้ ยังมีระบบใต้โต๊ะ จึงอยากให้ภาครัฐช่วยกันส่งเสริม โดยเฉพาะเรื่องการแก้กฎหมาย อยากให้ภาครัฐสนับสนุนตั้งแต่วิจัย หาตลาดให้ เพราะขายอยู่แค่ลำพูนมันไม่รุ่ง
 
ขณะที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว กล่าวทำนองน้อยใจว่า ลำพูนเป็นเมืองเมียน้อย เพราะเวลาไปท่องเที่ยวกัน ก็จะไปแต่เชียงใหม่ ซึ่งจริงๆ ลำพูนมีของดีเยอะ คนที่จะมาต้องตั้งใจมาจริงๆ น้อยคนมากจะมาเที่ยว บางคนมาแค่ทำธุระ ดังนั้นจะทำอย่างไรให้คนหันมาเที่ยว เราไม่มีงบประมาณจากภาครัฐตั้งแต่เริ่มต้น เหมือนพรรคก้าวไกลที่ต้องลงแรงเอง ไม่มีใครยอมเป็นหินก้อนแรกที่ถมลงไปในบ่อ มีแต่คนอยากเป็นหินที่อยู่ด้านบนแล้ว เราไม่มีอะไรไปแข่งกับเมืองใหญ่ แต่เรามีวัฒนธรรมของตัวเอง


  
“พิธา-ชัยธวัช” ติงรบ.คิดให้ดีรับซื้อปลาหมอคางดำ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_748912/

“พิธา” ติงรัฐบาลคิดให้ดี ไม่เคยเห็นประเทศไหนแก้ปัญหา “ปลาหมอคางดำ” ระบาดด้วยการรับซื้อ “ชัยธวัช” โอดพื้นที่ระบาดมีแต่ของก้าวไกล
 
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาปลาหมอคางดำระบาด ว่า ตนให้นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. และนายแพทย์วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ ตามอยู่ เห็นข้อมูลใหม่เข้ามาว่ามีการส่งออกกว่า 320,000 ตัว ถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะปลาหมอคางดำเป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ ที่จะทำให้ระบบนิเวศของไทยเสีย
 
ทั้งนี้ ตนศึกษามาว่า ไทยไม่ได้เป็นที่แรก ที่อเมริกา ฟลอริด้า ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ โดนหนักมาหลาย 10 ปี อยากให้กรมประมงและรัฐบาลได้ลองศึกษาดูว่าในต่างประเทศทำอย่างไร เพื่อให้มีแผนการทำงานออกมาชัดเจนวิธีกำจัดด้วยชีวภาพ กำจัดด้วยกายภาพ สารเคมีก็มีนะ ออสเตรเลียก็มีสารเคมี ระยะสั้น กลาง และยาว ถ้าเอามาประกบกัน
 
เข้าใจว่า กรมประมงก็ทำอยู่แล้ว คือ ใช้ปลาที่เป็นคู่แข่งกันในการเข้าไปจับ หรือการใช้ตัวผู้ที่เป็นหมันก็เป็นวิธีที่ต่างประเทศทำ แต่ที่รู้สึกว่าไม่เคยเห็นประเทศไหนทำคือการรับซื้อ เพราะจะทำให้เกิด Cobra Effect ยิ่งรับซื้อปุ๊บ คนไม่มีความสนใจมาก่อน ก็พร้อมที่เพาะ ยิ่งขาย มันก็จะยิ่งไปกันใหญ่ ดังนั้น ไม่เคยเห็นการสร้างมูลค่าให้ปลาหมอคางดำ คนอาจจะใช้โอกาสนี้เพาะเลี้ยงมากขึ้น และส่งให้กรมประมง มันก็มีข้อเสีย อยากให้รัฐบาลคิดให้ดี
 
นายพิธา กล่าวต่อว่า ตนเข้าใจว่ากรมประมงก็ไม่เห็นด้วย เพราะเคยทำมาแล้วในปี 2561 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร และทำให้ประชากรปลาหมอคางดำมากขึ้น ดังนั้น ขอให้ลองคิดเรื่องนี้ดีๆ ว่ากายภาพ ชีวภาพ เคมี แผนการเป็นอย่างไร ขอย้ำว่า ต้องจัดการให้รวดเร็ว เพราะแข่งกับเวลา
 
นายพิธา กล่าวเสริมว่า เราตั้งกระทู้สดถามรัฐบาลตั้งแต่ ต.ค. ปีที่แล้ว สส.เขตหลายคนต้องไปช่วยชาวบ้านจับปลาหมอคางดำมาตลอด แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจน มีการเคลื่อนไหวบ้างในการปล่อยปลากะพงขาวนิดๆหน่อยๆพอเป็นพิธี แต่พอรัฐมนตรีไปปล่อยแล้วก็พบปัญหา เพราะคนในพื้นที่บอกว่าภายหลังรัฐมนตรีไปปลากระพงไซต์เล็ก แล้วมันจะไปสู้ปลาหมอคางดำได้
 
ด้านนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ขอขยายความว่า ระหว่างที่มีประชุมสภา ตนได้พูดคุยกับ สส. เขต ตอนนี้ผลกระทบที่รุนแรงมาก ล้วนอยู่ในพื้นที่ที่มี สส.เขตเป็นของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะพื้นที่ 3 สมุทรรวมไปถึงบางขุนเทียน โดยตนได้บอก สส. เขตว่ารัฐบาลกำลังชูนโยบายเรื่องรับซื้อปลาหมอคางดำมาเป็นพระเอกในการแก้ปัญหาเรื่องนี้
 
จึงเป็นความเป็นห่วงว่า นโยบายนี้ จะสร้างผลกระทบมุมกลับ กลายเป็นว่า จะมีข้อดี หากรับซื้อ จะมีการช่วยกันจับในแหล่งน้ำสาธารณะ ซึ่งหลายพื้นที่ไม่มีมาตรการที่ชัดเจน และสิ่งที่กังวลมาก คือ หากรัฐบาลเน้นตรงนี้เป็นพระเอกจะส่งเสริมให้คนไปเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ ยิ่งสถานการณ์เศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ การทำมาหากินอย่างอื่นก็มีปัญหา แล้วปลาหมอสีขายได้กิโลกรัมละ 15 บาท บ่อปลา บ่อกุ้งที่ทำมาหากินไม่ได้เพราะราคาตก ก็ไปเลี้ยงปลาหมอสีเอามาขายเลย อันนี้เราคุยกันมาก่อน
 
แล้วเราก็ไปพบว่า มีคนแอบเพาะเลี้ยงส่งออกไปแล้ว จึงอยากให้เน้นมาตรการอย่างอื่น และความรับผิดชอบของคนหรือเอกชนที่ชัดเจนว่าจะต้องมีความรับผิดชอบอย่างไร ร่วมกับภาครัฐที่จะมาจัดการปลาหมอสีให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ อันนี้ประเด็นสำคัญเลย ตนจึงกังวล เพราะเห็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ออกมาเล่นใหญ่ในเรื่องนี้ คิดว่าอาจจะผิดที่ผิดทาง
 
สำหรับการระบาดในพื้นที่ สส.พรรคก้าวไกล จะเป็นการวัดฝีมือ สส.ในพื้นที่หรือไม่ นายชัยธวัช ย้ำว่า เรื่องนี้สำคัญ เพราะจริงๆ แล้ว สส.ของพรรคก้าวไกล ในพื้นที่เราไม่ได้เพิ่งมาตื่นตัวเรื่องนี้ หากจำกันได้ การประชุมสภาสมัยที่แล้ว ก็มีการพูดคุยเรื่องนี้แล้ว เพราะ สส.ในพื้นที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านอย่างไร
 
นายชัยธวัช ย้ำด้วยว่า เราจะต้องชัดเจน สส.จะต้องมีการสรุปให้ชัดเจนว่า มาตรการในการแก้ปัญหาตรงนี้ควรมีอะไรบ้าง และน่าจะต้องมีการไปจัดเวทีเพื่อพูดคุยกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อตั้งเป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม คู่ขนานกันไปกับการประสานงานและผลักดันให้เรื่องนี้ร่วมกับรัฐบาลจากนั้น นายพิธา กล่าวต่อว่า อะไรก็ตามที่มีมูลค่ามันไม่หายไปหรอก พอไปใส่มูลค่าให้มัน ฟาร์มกุ้งที่ได้รับผลกระทบมันมากกว่า 15 บาทเพราะฉะนั้น ต้องคิดดีว่านี้คือวิธีที่ถูกต้องหรือไม่


 
เงินบาทพลิกอ่อนค่า ตามราคาทองโลก หลังทำสถิติแข็งค่ารอบ 4 เดือน
https://www.dailynews.co.th/news/3664164/

สรุปค่าเงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับแข็งค่าทำสถิติในรอบ 4 เดือน ก่อนพลิกกลับอ่อนค่าช่วงท้าย ตามแรงขายทำกำไรทองคำตลาดโลก

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” รายงานเงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมาแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือน ก่อนจะลดช่วงบวกและอ่อนค่ากลับมาในช่วงปลายสัปดาห์ หลังเงินดอลลาร์ฯ ทยอยฟื้นตัวขึ้นตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ

เงินบาทแข็งค่าหลุดแนว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือนที่ 35.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงกลางสัปดาห์ ตามทิศทางการแข็งค่าของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย นำโดย เงินเยนซึ่งแข็งค่าขึ้นท่ามกลางการคาดการณ์ว่า ทางการญี่ปุ่นอาจเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดไม่ให้เงินเยนอ่อนค่าเร็ว นอกจากนี้ เงินบาทยังได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของราคาทองคำในตลาดโลก ประกอบกับ ของเงินดอลลาร์ฯ ยังคงอ่อนแอลงท่ามกลางกระแสการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
 
อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงบวกและกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบที่อ่อนค่ากว่าแนว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ อีกครั้ง ตามจังหวะแรงขายทำกำไรทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวกลับมาตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังจากที่ตลาดปรับตัวตอบรับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงที่เหลือของปีนี้ไปมากแล้ว ประกอบกับน่าจะมีแรงซื้อเงินดอลลาร์ฯ ท่ามกลางแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ในช่วงปลายสัปดาห์ด้วยเช่นกัน

ในวันศุกร์ที่ 19ก.ค. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ระดับ 36.27 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือน 35.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในระหว่างสัปดาห์ เทียบกับระดับ 36.19 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (12 ก.ค. 67) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 15-19 ก.ค. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1,755.2 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 1,118.3 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 785.3 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 333 ล้านบาท)
 
สัปดาห์ถัดไป (22-26 ก.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 36.00-36.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกเดือนมิ.ย. ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินในภูมิภาค และประเด็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือนมิ.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นและตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในมุมมองของผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนก.ค. ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 (advanced) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามการกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR ของธนาคารกลางจีน และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ (เบื้องต้น) เดือนก.ค. ของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษและสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่