สวัสดีครับ
ผมทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนของบริษัทฯนึงในตวจ. ตอนนี้ทำงานมาได้ 8 ปีกว่าแล้ว เริ่มรู้สึกอยากลาออก จริงๆผมอยากลาออกมานานแล้วแหละ และเหตุผลก็คงเหมือนหลายๆคนนั่นแหละครับ คือ Toxic People ในที่ทำงาน... ผมจะเล่าให้ฟังตั้งแต่เริ่มนะครับ
เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน(30 มีนาคม 2559) ผมได้มาสัมภาษณ์งานในบริษัทฯจำหน่ายปุ๋ยแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านผม ในตอนนั้นผมพึ่งเรียนจบปวส.ใหม่ๆ ซึ่งการมาสมัครและสัมภาษณ์งานในวันนั้น เป็นตำแหน่ง พนักงานทั่วไป ลักษณะคือ นับยอดปุ๋ยในสโตร์ คีย์ยอดขายลงระบบของบริษัทฯ แต่ซึ่งผมมีความสามารถนิดหน่อยในเรื่องการออกแบบกราฟิก ผมเลยพรีเซ้นต์ตัวเองกับเจ้าของบริษัทฯไป ซึ่งเขาก็พอใจและตอบตกลงรับผมเข้าทำงานในวันนั้นเลย ด้วยเงินเดือนสตาร์ท 8,500.- ซึ่งตอนนั้นเขาแนะนำว่า จะมีพี่ผู้หญิง 2 คน เป็นเพื่อนร่วมงานของผม พี่เขาค่อนข้างน่ารักครับในวันนั้น(ผมหมายถึงนิสัย การพูดจา) ในวันนั้นทุกอย่างเพอร์เฟค
ผมจะเริ่มเล่าสิ่งที่ผมเจอและเริ่มทนไม่ได้ในฟังเลยละกันครับ เพราะถ้าเล่าตั้งแต่ช่วงแรกๆ มันจะยาวเกินไป
หลังจากผมมาทำงานได้ระยะนึงเริ่มเป็นงาน พี่B1 เริ่มถมงานให้ผมมากขึ้น เอางานตัวเองให้ผมทำ แม้แต่งานส่วนตัว เช่น โปรเจคจบปริญาตรีของแก แม้แต่การบ้านในบางวิชาของแกก็ด้วย ซ้ำร้าย พี่B2 ก็เริ่มบึ้งตึงใส่ผม ผมคุยด้วยก็ไม่พูดกับผม บางวันผมพยามเอาใจแก ไปซื้อกาแฟซื้อขนมมาให้ แกก็เมินเฉยใส่ ผมถามว่า พี่ครับโกรธอะไรผมหรือป่าว แกจะปฏิเสธทุกครั้งและพูดว่า พี่แค่เครียดเรื่องงาน ผมก็พยามไม่คิดอะไรให้หนักสมอง แต่มันก็หนักขึ้นทุกวันๆ
งานผมตอนนี้คือ สโตร์ คีย์ยอดขาย ทำสไลด์นำเสนอให้เจ้านายใช้พรีเซ้นต์ จัดทำเอกสารต่างๆ ออกแบบฉลากบรรจุภัณฑ์สินค้าและแบบกระสอบปุ๋ย รวมทั้งโบรชัวร์ ใบปลิว ป้ายไวนิล และสื่อสิ่งพิมพ์อื่นๆ แต่เงินเดือนผมก็ยังอยู่ที่ 8500
ผมทนทำงานมา ตอนนี้ก็ 4 ปีแล้ว พี่B2 ก็ดีบ้างร้ายบ้าง เป็นบางวัน วันนี้พูดคุยเฮฮา แต่วันรุ่งขึ้นอย่สได้ทะลึ่งทำแบบเมื่อวาน เพราะพี่แกอารมณ์รีเซ็ตใหม่ทุกวันครับ เมื่อวานคุยกันดี วันรุ่งขึ้นแกบึ้งตึงแต่เช้าไม่พูดไม่จา ก็พยามเข้าใจแกนะ
ผมจะค่อนข้างสนิทกับพี่B1มากกว่า เพราะแกก็อายุห่างจากผมไม่กี่ปี ไปดื่มไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ สนิทมากก็ถมงานให้ผมมาก ผมก็ทำใจครับ อยากอยู่แบบไม่มีปัญหากับใคร และไม่อยากเปลี่ยนงานบ่อยๆ ผมค่อนข้างจะรักงานและรักบริษัทฯนี้ ผ่านไปไม่นานพี่B1 ก็ถูกไล่ออก(เหตุผล ผมไม่ขอพูด) ผมเลยต้องอยู่กับพี่B2 ต่อไป เพราะเจ้านายไม่อยากรับคนเพิ่ม เนื่องจากช่วงนั้นโควิดระบาดพอดี
ตอนนี้ผมได้รับงานที่เพิ่มมากขึ้นจากเดิม เพราะคนทำงานลาออก นั่นก็คือ ดูแลเรื่องประกันรถยนต์ทุกคันในบริษัทฯ คอยต่อประกัน เคลมประกัน ทั้งหมด 15 คัน บางคนอาจคิดว่า ทำไมบ.นี้รถเยอะ ก็คือจริงๆแล้ว เจ้านายผมมีบริษัทฯหลายบริษัทฯครับ เป็นโรงงานผลิตปุ๋ย ส่วนที่ผมอยู่นี่คือสำนักงานขายครับ
ตอนนี้ฝีมือเรื่องการทำงานกราฟฟิกของผมค่อนข้างพัฒนาขึ้นเยอะ เจ้านายก็คลั่งการออกแบบโลโก้และฉลากปุ๋ยอย่างหนัก ให้ผมออกแบบทีละ 5-10 แบบก็มี แล้วให้เวลาผมแบบน้อยนิด เริ่มกดดันผมในเรื่องการออกแบบ ซึ่งบอกก่อนว่า ผมไม่ได้จบออกแบบมาครับ การออกแบบที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นเป็นเพียงความชอบจึงศึกษาไว้บ้างให้พอทำได้ ตอนนี้ผมทำงานมา 4 ปีกว่าแล้ว เงินเดือนผมอยู่ที่ 10,500.- ครับ แต่งานเยอะมาก ผมก็ทนทำไปเหมือนเดิม เพราะงานในตจว.ค่อนข้างน้อย ผมจึงกลัวการตกงานถ้าคิดลาออก
ครั้งนึงผมเป็นโควิด ต้องกักตัวและรักษาตัวที่บ้าน เจ้านายผมก็เป็นห่วงครับ เลยให้พี่B2ยกคอมจากออฟฟิศ มาตั้งให้ผมหน้าบ้าน และบอกว่า ให้ผมทำงานช่วงกักตัวด้วย ซึ่งตอนนั้นผมลาป่วยอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไร ผมก็ไม่ปฏิเสธ รับไว้ และทำที่บ้าน เจ้านายบอกห่วงว่าถ้าไม่มีคนทำงานบริษัทฯจะไปต่อไม่ได้ และไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนผมครับ ฟังแล้วก็ขำแห้ง
และตอนนี้ ที่ผมตั้งกระทู้ ผ่านจากวันแรกมา 8 ปี ผมก็ได้รับมอบหมายงานจากเจ้านายอีกอย่าง ซึ่งผมรู้สึกว่ามันไม่โอเคสำหรับผมเลย คือ เจ้านายผมเปิดบริษัทฯเพิ่มอีก เป็นบริษัทจำหน่ายน้ำดื่ม เขาให้ผมคอยเช็คเที่ยวขับของคนขับรถส่งน้ำดื่ม ว่าในแต่ละวัน เขาขับกี่เที่ยว และคิดคำนวณออกมาเป็นค่าแรง พูดง่ายๆก็ทำเงินเดือนในพนง.นั่นแหละครับ และยังต้องสรุปยอดขายน้ำดื่ม ยอดค่าใช้จ่ายต่างๆในบริษัทฯที่เปิดใหม่นี้ พูดง่ายคือ ผมทำงานให้กับ 2 บริษัท โดยมีเจ้านายคนเดียวกัน แต่เจ้านายจ่ายเงินผมเพียงแค่บริษัทเดียว ณ วันนี้ผมได้เงินเดือน 11,300.- และผมก็ยังคงต้องทนกับอารมณ์รีเซ็ตใหม่ทุกวันของพี่B2 บางวันผมไม่ได้พูดกับพี่แกเลยสักคำนอกจากคำว่า "สวัสดีครับพี่" เวลามีงานที่จะให้ผมทำ แกก็จะไลน์มา ทั้งๆที่เรานั่งห่างกันเพียง 2 เมตร งานไหนที่ผมทำดี แกจะเอาไปเสนอเจ้านายและบอกว่าแกทำ ก็เอาหน้านั่นแหละครับ บางทีแกพูดว่าแกทำหมดทุกงาน จนเจ้านายบอกว่า เอ ก็ดูช่วยพี่B2เขาทำงานมั่ง เหมือนเจ้านายคิดว่า ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งๆที่งานล้นมือ แต่ถ้างานไหนมีข้อผิดพลาด แกจะโยนมาให้ผมทันที บอกว่าผมเป็นคนทำ เช่น ครั้งนึงในการจัดทำเอกสารโลจิสติกส์ InvoiceและPacking list ซึ่งจริงๆแล้วเป็นหน้าที่ของพนง.ที่อยู่โรงงานผลิตปุ๋ยต้องเป็นผู้ออกใบให้ทางลค. แต่พี่ที่นั่นบอกว่า ทำไม่เป็น เพราะต้องทำเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด พี่B2 จึงไปรับงานมาทำแทน แต่แทนที่แกจะทำเอง แกดันโยนมาให้ผมทำ เหมือนกะแค่เอาหน้าเจ้านายเฉยๆ ซึ่งผมก็ไม่เคยทำเอกสารแบบนี้ พอมีข้อผิดพลาด อาจจะคำศัพท์ที่ผมใช้หรือการพิมพ์ที่ผิดพลาดไปบ้าง ซึ่งก็โดนด่าแหละ แกก็โยนมาให้ผมทันที และผมก็โดนตำหนิมา
และล่าสุด ผมโดนเจ้านายว่าเรื่องการออกแบบ ว่า "ทำไมฝีมือห่วยขนาดนี้ ยิ่งทำยิ่งถอยหลังลงคลอง อยู่กับเฮียมากี่ปีแล้ว ทำไมไม่รู้ใจเฮียว่าเฮียชอบแบบไหน ยิ่งทำยิ่งออกทะเล ไม่มีการพัฒนา อย่ามั่นใจในตัวเองและงานของให้มากนัก งานไม่ใช่ว่าจะดีทุกงาน" เหตุที่แกว่าผมเยอะ เป็นเพราะการเข้าใจผิดกัน เจ้านายผมบรีฟงานว่า อยากให้ผมใส่รูปDNAลงไป พอผมใส่ไป แกบอกว่าไม่ใช่ อธิบายกันไปกันมา สรุปรูปที่แกจะเอาคือ โมเลกุล แต่แกพูดผิด บรีฟว่า DNA ผมบอกแกว่ามันคือโมเลกุลนะครับแกก็โกรธจัด หาว่าผมเถียงและอวดฉลาด วันนั้นผมบอกตรงๆ ยอมรับแบบลูกผู้ชาย ผมน้ำตาตกเลยครับ น้อยใจมาก ที่เจ้านายว่าผมแบบนั้น แต่ให้ผมทำงานเยอะกว่าเงินเดือนหลายเท่า แถมคอมและอุปกรณ์การทำงานของผมก็ล้าสมัยมาก คอมผมยังเป็นวินโดว์7 คอมเครื่องเก่า เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับเดี๋ยวค้าง สีจอเพี๊ยน ยื่นขอซื้อใหม่ก็ไม่เคยได้ แถมมาโดนว่าอีก
และวันนี้ผมมีความคิดที่จะลาออกจริงๆ ผมรู้สึกว่าทั้งพี่B2และเจ้านายโคตรจะToxic เลย ในการทำงาน 8 ปี ผมต้องพบจิตแพทย์หลายครั้ง เพราะปัญหาความเครียดและแรงกดดันในที่ทำงาน และครั้งล่าสุดที่ไปพบหมอ ก็เรื่องที่ผมถูกว่านี่แหละครับ ทำให้ผมรู้สึกไร้ค่า เหมือนผมถูกด้อยค่า ด้อยฝีมือการทำงาน และหมดใจกับที่นี่แล้วจริงๆ
ถึงตรงนี้พี่ๆคงคิดว่า ทำไมไม่ออกวะ เป็นกูไปนานแล้ว...
ครับผม ผมก็อยากทำแบบนั้น แต่ตอนนี้ผมมีลูกที่ต้องดูแล หากผมต้องตกงาน แล้วผมจะหาเงินที่ไหนเลี้ยงลูกในระหว่างที่ผมกำลังหางานใหม่ มันจึงทำให้ผมเครียดและคิดไม่ตกครับ ภรรยาผมเขาก็มีงานทำครับ ซึ่งทำกับที่บ้านเขา ซึ่งเงินที่ได้มา ภรรยาผมต้องรับผิดชอบค่างวดรถ ค่าบ้าน และเงินเขาจะไม่ได้แบบตายตัว หากงานเยอะ เงินจะได้เยอะ หากเดือนไหนงานน้อย เงินก็ได้น้อย ส่วนผมรับผิดชอบคชจ.ในบ้าน รวมถึงอาหาร นมและเพิสของลูกด้วย ซึ่งจริงๆแล้วภรรยาผมก็อยากให้ผมออกจากงาน เพราะผมมีความเครียดจากงานที่ทำอยู่ แต่พอผมถามว่าแล้วจะเอาเงินจากไหนมาเป็นคชจ. ภรรยาผมก็ตอบไม่ได้อยู่ดี
ซึ่งผมก็มีเงินเก็บอยู่ก้อนนึงนะ แต่กลัวจะไม่พอใช้ หากต้องตกงานหลายเดือน ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนมานาน จนกลัวที่จะต้องตกงานและเริ่มงานใหม่ หรือแม้แต่ออกมาทำงานแบบเป็นนายตัวเอง
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้ผมมาขอคำแนะนำจากพี่ๆหรือมาระบายปัญหาที่ผมเจอ แต่ขอให้พี่ๆใจดีกับผมนะครับ ผมอยากได้กำลังใจ หรือคำพูดที่ทำให้ผมกล้าที่จะก้าวออกจากจุดนี้
ขอบคุณที่อ่านปัญหาของผมจนจบ ขอบคุณมากๆครับ...
เจอแบบนี้ในที่ทำงาน ลาออกหรืออยู่ต่อครับ
ผมทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนของบริษัทฯนึงในตวจ. ตอนนี้ทำงานมาได้ 8 ปีกว่าแล้ว เริ่มรู้สึกอยากลาออก จริงๆผมอยากลาออกมานานแล้วแหละ และเหตุผลก็คงเหมือนหลายๆคนนั่นแหละครับ คือ Toxic People ในที่ทำงาน... ผมจะเล่าให้ฟังตั้งแต่เริ่มนะครับ
เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน(30 มีนาคม 2559) ผมได้มาสัมภาษณ์งานในบริษัทฯจำหน่ายปุ๋ยแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านผม ในตอนนั้นผมพึ่งเรียนจบปวส.ใหม่ๆ ซึ่งการมาสมัครและสัมภาษณ์งานในวันนั้น เป็นตำแหน่ง พนักงานทั่วไป ลักษณะคือ นับยอดปุ๋ยในสโตร์ คีย์ยอดขายลงระบบของบริษัทฯ แต่ซึ่งผมมีความสามารถนิดหน่อยในเรื่องการออกแบบกราฟิก ผมเลยพรีเซ้นต์ตัวเองกับเจ้าของบริษัทฯไป ซึ่งเขาก็พอใจและตอบตกลงรับผมเข้าทำงานในวันนั้นเลย ด้วยเงินเดือนสตาร์ท 8,500.- ซึ่งตอนนั้นเขาแนะนำว่า จะมีพี่ผู้หญิง 2 คน เป็นเพื่อนร่วมงานของผม พี่เขาค่อนข้างน่ารักครับในวันนั้น(ผมหมายถึงนิสัย การพูดจา) ในวันนั้นทุกอย่างเพอร์เฟค
ผมจะเริ่มเล่าสิ่งที่ผมเจอและเริ่มทนไม่ได้ในฟังเลยละกันครับ เพราะถ้าเล่าตั้งแต่ช่วงแรกๆ มันจะยาวเกินไป
หลังจากผมมาทำงานได้ระยะนึงเริ่มเป็นงาน พี่B1 เริ่มถมงานให้ผมมากขึ้น เอางานตัวเองให้ผมทำ แม้แต่งานส่วนตัว เช่น โปรเจคจบปริญาตรีของแก แม้แต่การบ้านในบางวิชาของแกก็ด้วย ซ้ำร้าย พี่B2 ก็เริ่มบึ้งตึงใส่ผม ผมคุยด้วยก็ไม่พูดกับผม บางวันผมพยามเอาใจแก ไปซื้อกาแฟซื้อขนมมาให้ แกก็เมินเฉยใส่ ผมถามว่า พี่ครับโกรธอะไรผมหรือป่าว แกจะปฏิเสธทุกครั้งและพูดว่า พี่แค่เครียดเรื่องงาน ผมก็พยามไม่คิดอะไรให้หนักสมอง แต่มันก็หนักขึ้นทุกวันๆ
งานผมตอนนี้คือ สโตร์ คีย์ยอดขาย ทำสไลด์นำเสนอให้เจ้านายใช้พรีเซ้นต์ จัดทำเอกสารต่างๆ ออกแบบฉลากบรรจุภัณฑ์สินค้าและแบบกระสอบปุ๋ย รวมทั้งโบรชัวร์ ใบปลิว ป้ายไวนิล และสื่อสิ่งพิมพ์อื่นๆ แต่เงินเดือนผมก็ยังอยู่ที่ 8500
ผมทนทำงานมา ตอนนี้ก็ 4 ปีแล้ว พี่B2 ก็ดีบ้างร้ายบ้าง เป็นบางวัน วันนี้พูดคุยเฮฮา แต่วันรุ่งขึ้นอย่สได้ทะลึ่งทำแบบเมื่อวาน เพราะพี่แกอารมณ์รีเซ็ตใหม่ทุกวันครับ เมื่อวานคุยกันดี วันรุ่งขึ้นแกบึ้งตึงแต่เช้าไม่พูดไม่จา ก็พยามเข้าใจแกนะ
ผมจะค่อนข้างสนิทกับพี่B1มากกว่า เพราะแกก็อายุห่างจากผมไม่กี่ปี ไปดื่มไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ สนิทมากก็ถมงานให้ผมมาก ผมก็ทำใจครับ อยากอยู่แบบไม่มีปัญหากับใคร และไม่อยากเปลี่ยนงานบ่อยๆ ผมค่อนข้างจะรักงานและรักบริษัทฯนี้ ผ่านไปไม่นานพี่B1 ก็ถูกไล่ออก(เหตุผล ผมไม่ขอพูด) ผมเลยต้องอยู่กับพี่B2 ต่อไป เพราะเจ้านายไม่อยากรับคนเพิ่ม เนื่องจากช่วงนั้นโควิดระบาดพอดี
ตอนนี้ผมได้รับงานที่เพิ่มมากขึ้นจากเดิม เพราะคนทำงานลาออก นั่นก็คือ ดูแลเรื่องประกันรถยนต์ทุกคันในบริษัทฯ คอยต่อประกัน เคลมประกัน ทั้งหมด 15 คัน บางคนอาจคิดว่า ทำไมบ.นี้รถเยอะ ก็คือจริงๆแล้ว เจ้านายผมมีบริษัทฯหลายบริษัทฯครับ เป็นโรงงานผลิตปุ๋ย ส่วนที่ผมอยู่นี่คือสำนักงานขายครับ
ตอนนี้ฝีมือเรื่องการทำงานกราฟฟิกของผมค่อนข้างพัฒนาขึ้นเยอะ เจ้านายก็คลั่งการออกแบบโลโก้และฉลากปุ๋ยอย่างหนัก ให้ผมออกแบบทีละ 5-10 แบบก็มี แล้วให้เวลาผมแบบน้อยนิด เริ่มกดดันผมในเรื่องการออกแบบ ซึ่งบอกก่อนว่า ผมไม่ได้จบออกแบบมาครับ การออกแบบที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นเป็นเพียงความชอบจึงศึกษาไว้บ้างให้พอทำได้ ตอนนี้ผมทำงานมา 4 ปีกว่าแล้ว เงินเดือนผมอยู่ที่ 10,500.- ครับ แต่งานเยอะมาก ผมก็ทนทำไปเหมือนเดิม เพราะงานในตจว.ค่อนข้างน้อย ผมจึงกลัวการตกงานถ้าคิดลาออก
ครั้งนึงผมเป็นโควิด ต้องกักตัวและรักษาตัวที่บ้าน เจ้านายผมก็เป็นห่วงครับ เลยให้พี่B2ยกคอมจากออฟฟิศ มาตั้งให้ผมหน้าบ้าน และบอกว่า ให้ผมทำงานช่วงกักตัวด้วย ซึ่งตอนนั้นผมลาป่วยอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไร ผมก็ไม่ปฏิเสธ รับไว้ และทำที่บ้าน เจ้านายบอกห่วงว่าถ้าไม่มีคนทำงานบริษัทฯจะไปต่อไม่ได้ และไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนผมครับ ฟังแล้วก็ขำแห้ง
และตอนนี้ ที่ผมตั้งกระทู้ ผ่านจากวันแรกมา 8 ปี ผมก็ได้รับมอบหมายงานจากเจ้านายอีกอย่าง ซึ่งผมรู้สึกว่ามันไม่โอเคสำหรับผมเลย คือ เจ้านายผมเปิดบริษัทฯเพิ่มอีก เป็นบริษัทจำหน่ายน้ำดื่ม เขาให้ผมคอยเช็คเที่ยวขับของคนขับรถส่งน้ำดื่ม ว่าในแต่ละวัน เขาขับกี่เที่ยว และคิดคำนวณออกมาเป็นค่าแรง พูดง่ายๆก็ทำเงินเดือนในพนง.นั่นแหละครับ และยังต้องสรุปยอดขายน้ำดื่ม ยอดค่าใช้จ่ายต่างๆในบริษัทฯที่เปิดใหม่นี้ พูดง่ายคือ ผมทำงานให้กับ 2 บริษัท โดยมีเจ้านายคนเดียวกัน แต่เจ้านายจ่ายเงินผมเพียงแค่บริษัทเดียว ณ วันนี้ผมได้เงินเดือน 11,300.- และผมก็ยังคงต้องทนกับอารมณ์รีเซ็ตใหม่ทุกวันของพี่B2 บางวันผมไม่ได้พูดกับพี่แกเลยสักคำนอกจากคำว่า "สวัสดีครับพี่" เวลามีงานที่จะให้ผมทำ แกก็จะไลน์มา ทั้งๆที่เรานั่งห่างกันเพียง 2 เมตร งานไหนที่ผมทำดี แกจะเอาไปเสนอเจ้านายและบอกว่าแกทำ ก็เอาหน้านั่นแหละครับ บางทีแกพูดว่าแกทำหมดทุกงาน จนเจ้านายบอกว่า เอ ก็ดูช่วยพี่B2เขาทำงานมั่ง เหมือนเจ้านายคิดว่า ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งๆที่งานล้นมือ แต่ถ้างานไหนมีข้อผิดพลาด แกจะโยนมาให้ผมทันที บอกว่าผมเป็นคนทำ เช่น ครั้งนึงในการจัดทำเอกสารโลจิสติกส์ InvoiceและPacking list ซึ่งจริงๆแล้วเป็นหน้าที่ของพนง.ที่อยู่โรงงานผลิตปุ๋ยต้องเป็นผู้ออกใบให้ทางลค. แต่พี่ที่นั่นบอกว่า ทำไม่เป็น เพราะต้องทำเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด พี่B2 จึงไปรับงานมาทำแทน แต่แทนที่แกจะทำเอง แกดันโยนมาให้ผมทำ เหมือนกะแค่เอาหน้าเจ้านายเฉยๆ ซึ่งผมก็ไม่เคยทำเอกสารแบบนี้ พอมีข้อผิดพลาด อาจจะคำศัพท์ที่ผมใช้หรือการพิมพ์ที่ผิดพลาดไปบ้าง ซึ่งก็โดนด่าแหละ แกก็โยนมาให้ผมทันที และผมก็โดนตำหนิมา
และล่าสุด ผมโดนเจ้านายว่าเรื่องการออกแบบ ว่า "ทำไมฝีมือห่วยขนาดนี้ ยิ่งทำยิ่งถอยหลังลงคลอง อยู่กับเฮียมากี่ปีแล้ว ทำไมไม่รู้ใจเฮียว่าเฮียชอบแบบไหน ยิ่งทำยิ่งออกทะเล ไม่มีการพัฒนา อย่ามั่นใจในตัวเองและงานของให้มากนัก งานไม่ใช่ว่าจะดีทุกงาน" เหตุที่แกว่าผมเยอะ เป็นเพราะการเข้าใจผิดกัน เจ้านายผมบรีฟงานว่า อยากให้ผมใส่รูปDNAลงไป พอผมใส่ไป แกบอกว่าไม่ใช่ อธิบายกันไปกันมา สรุปรูปที่แกจะเอาคือ โมเลกุล แต่แกพูดผิด บรีฟว่า DNA ผมบอกแกว่ามันคือโมเลกุลนะครับแกก็โกรธจัด หาว่าผมเถียงและอวดฉลาด วันนั้นผมบอกตรงๆ ยอมรับแบบลูกผู้ชาย ผมน้ำตาตกเลยครับ น้อยใจมาก ที่เจ้านายว่าผมแบบนั้น แต่ให้ผมทำงานเยอะกว่าเงินเดือนหลายเท่า แถมคอมและอุปกรณ์การทำงานของผมก็ล้าสมัยมาก คอมผมยังเป็นวินโดว์7 คอมเครื่องเก่า เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับเดี๋ยวค้าง สีจอเพี๊ยน ยื่นขอซื้อใหม่ก็ไม่เคยได้ แถมมาโดนว่าอีก
และวันนี้ผมมีความคิดที่จะลาออกจริงๆ ผมรู้สึกว่าทั้งพี่B2และเจ้านายโคตรจะToxic เลย ในการทำงาน 8 ปี ผมต้องพบจิตแพทย์หลายครั้ง เพราะปัญหาความเครียดและแรงกดดันในที่ทำงาน และครั้งล่าสุดที่ไปพบหมอ ก็เรื่องที่ผมถูกว่านี่แหละครับ ทำให้ผมรู้สึกไร้ค่า เหมือนผมถูกด้อยค่า ด้อยฝีมือการทำงาน และหมดใจกับที่นี่แล้วจริงๆ
ถึงตรงนี้พี่ๆคงคิดว่า ทำไมไม่ออกวะ เป็นกูไปนานแล้ว...
ครับผม ผมก็อยากทำแบบนั้น แต่ตอนนี้ผมมีลูกที่ต้องดูแล หากผมต้องตกงาน แล้วผมจะหาเงินที่ไหนเลี้ยงลูกในระหว่างที่ผมกำลังหางานใหม่ มันจึงทำให้ผมเครียดและคิดไม่ตกครับ ภรรยาผมเขาก็มีงานทำครับ ซึ่งทำกับที่บ้านเขา ซึ่งเงินที่ได้มา ภรรยาผมต้องรับผิดชอบค่างวดรถ ค่าบ้าน และเงินเขาจะไม่ได้แบบตายตัว หากงานเยอะ เงินจะได้เยอะ หากเดือนไหนงานน้อย เงินก็ได้น้อย ส่วนผมรับผิดชอบคชจ.ในบ้าน รวมถึงอาหาร นมและเพิสของลูกด้วย ซึ่งจริงๆแล้วภรรยาผมก็อยากให้ผมออกจากงาน เพราะผมมีความเครียดจากงานที่ทำอยู่ แต่พอผมถามว่าแล้วจะเอาเงินจากไหนมาเป็นคชจ. ภรรยาผมก็ตอบไม่ได้อยู่ดี
ซึ่งผมก็มีเงินเก็บอยู่ก้อนนึงนะ แต่กลัวจะไม่พอใช้ หากต้องตกงานหลายเดือน ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนมานาน จนกลัวที่จะต้องตกงานและเริ่มงานใหม่ หรือแม้แต่ออกมาทำงานแบบเป็นนายตัวเอง
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้ผมมาขอคำแนะนำจากพี่ๆหรือมาระบายปัญหาที่ผมเจอ แต่ขอให้พี่ๆใจดีกับผมนะครับ ผมอยากได้กำลังใจ หรือคำพูดที่ทำให้ผมกล้าที่จะก้าวออกจากจุดนี้
ขอบคุณที่อ่านปัญหาของผมจนจบ ขอบคุณมากๆครับ...