"นักวิเคราะห์" ในมุมมองของ Market Wizards ที่จะช่วยให้คุณ "เข้าใจพวกเขา + เทรด/ลงทุน" ได้ดีขึ้นแน่นอน ผมการันตี

โดย Zyo : https://www.youtube.com/@zyobooks
และ https://www.facebook.com/zyobooks/
อยากเรียนรู้ Mindset เข้ม ๆ ที่ช่วยให้นักเทรดผู้มุ่งมั่นมีโอาสสำเร็จมากขึ้น ตามได้ครับ


Market Wizard ท่านนี้ชื่อ Peter Brandt ที่เทรดมาแล้วเกือบ 50 ปี (เทรดเป็นอาชีพตั้งแต่ 1975)
ดังนั้น สิ่งที่แกพูดและตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการเทรดนั้น "ควรฟังอย่างยิ่ง" ครับ
ปล ๑). แต่ก็มีนักเทรด/ลงทุนมือใหม่จำนวนมากไม่ชอบแกนะ
เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากครับ "แกชอบพูดบางอย่าง(มุมมองการเทรดของคนประสบการณ์สูง)ที่มือใหม่รับไม่ได้" เท่านั้นเอง
ปล. ๒) บทความนี้จะชี้ให้เห็นอีกด้านที่ไม่ค่อยงดงามของนักวิเคราะห์นะครับ แต่มันก็เป็นความจริงที่มือใหม่ควรรู้
ปล. ๓) นักวิเคราะห์ มีไว้ทำไม? 
มีไว้เพื่อ นำทาง ช่วยให้มือใหม่ที่คิดเองไม่เป็น(โง่แต่อยากรวย) ตัดสินใจซื้อขายได้ง่ายขึ้น
ซึ่งมือใหม่แบบนี้มีจำนวน 80% ของตลาดครับ ดังนั้นอุตสาหกรรมตลาดหุ้น จะขาดนักวิเคราะห์ไม่ได้เด็ดขาด จำเป็นมาก
ปล. ๔) "ความโง่" ไม่ใช่เรื่องลบ แต่เป็นเรื่องบวก ถ้าคุณยอมรับ+แก้ไขปรับปรุงตนเองครับ (นี่คือ Growth mindset ครับ)
นักลงทุน/นักเทรดที่สำเร็จ ต่างก็เคย "โง่บัดซบ(หมดตัว)" มาก่อนเหมือนมือใหม่
เพราะเขาก็ต้องเริ่มจากการเป็นมือใหม่เหมือนเรา ไม่มีเซียนคนไหนขึ้นลิฟต์เก่งเทพได้ทันทีหรอก ความสำเร็จต้องการเวลาเสมอ
แต่พวกเขาไม่เคย "โง่ซ้ำซาก" พวกเขายอมรับว่าตนเองห่วย แล้วหาทางพัฒนาปรับปรุงตนเองให้เก่งขึ้น จนสำเร็จครับ
ถ้าไม่เห็นตัวอย่าง อ่านบทความ "พ่อมดก็เคยเจ๊งหุ้นมาก่อน" ดูครับ https://www.zyo71.com/2019/01/market-wizards_23.html


ประโยคนี้สามารถอธิบายและแยกแยะให้มือใหม่เข้าใจได้ดังนี้:
1.  นักวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เก่งมาก ๆ ไม่สามารถเป็นนักเทรดที่ดีได้เสมอไป
 - นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจะเก่งในการวิเคราะห์ข้อมูลและแนวโน้มของตลาด 
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถนำการวิเคราะห์เหล่านั้นมาใช้ในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพเสมอไป

2.  นักเทรดที่ดีมักจะเป็นนักจัดการความเสี่ยงที่ดีเสมอ -- นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาหรือเธอเป็นนักเทรดที่ดี
 - นักเทรดที่ดีจะต้องรู้จักการจัดการความเสี่ยง เช่น การกำหนดจุดหยุดขาดทุน (stop loss) 
และการควบคุมปริมาณการลงทุนในแต่ละครั้ง เพื่อป้องกันการสูญเสียที่มากเกินไป

3. การเทรดและการวิเคราะห์เป็นทักษะที่แตกต่างกันคนละโลก
 - การวิเคราะห์เกี่ยวข้องกับการศึกษาข้อมูลและการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด(คาดเดาไปเรื่อย เดาไปวัน ๆ)
ในขณะที่การเทรดเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในเวลาที่เหมาะสม(ต้องรับผิดชอบต่อผลการเทรดด้วย)

4. มีนักเทรดเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีทั้งสองทักษะ
 - นักเทรดที่สามารถวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำและมีทักษะในการจัดการความเสี่ยงจะเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ 
แต่คนที่มีทั้งสองทักษะนี้มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

สรุปได้ว่า การเป็นนักวิเคราะห์ที่เก่งไม่จำเป็นต้องหมายความว่าจะเป็นนักเทรดที่ดีได้ 
นักเทรดที่ดีจะต้องมีทักษะในการจัดการความเสี่ยงและการตัดสินใจที่ดี 
ซึ่งเป็นทักษะที่แตกต่างจากการวิเคราะห์ตลาด และมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถมีทั้งสองทักษะนี้พร้อมกันครับ


ประโยคนี้สามารถอธิบายและแยกแยะให้มือใหม่เข้าใจได้ดังนี้:
1. เมื่อวิเคราะห์ผิด เรียกว่า "การปรับปรุงการคาดการณ์" (หาข้อแก้ตัว ไม่ต้องรับผิดชอบ)
 - นักวิเคราะห์จะทำการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มหรือราคาของสินทรัพย
เช่น หุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเมื่อการคาดการณ์ของเขาผิดพลาด
เขาสามารถปรับปรุงการคาดการณ์ใหม่ได้ โดยไม่มีผลกระทบทางการเงินทันทีต่อตัวเขาเอง

2. เมื่อนักเทรดผิดพลาด เรียกว่า "การขาดทุน" (รับผลกรรมจากการกระทำ)
 - นักเทรดจะทำการซื้อหรือขายสินทรัพย์ตามการตัดสินใจของเขาเอง
เมื่อเขาทำผิดพลาด เช่น ซื้อหุ้นในราคาที่สูงเกินไปแล้วราคาลดลง เขาจะสูญเสียเงินทันที 
การขาดทุนนี้มีผลกระทบทางการเงินต่อนักเทรดเอง

3. นักวิเคราะห์ที่ผิดพลาดสามารถปรับปรุงการคาดการณ์ได้โดยไม่มีผลกระทบทางการเงิน(ลอยตัว)
ในขณะที่นักเทรดที่ผิดพลาดจะสูญเสียเงินทันที(เสียหาย)
ความแตกต่างนี้ทำให้การวิเคราะห์และการเทรดเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันและมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน

สรุปได้ว่า เมื่อวิเคราะห์ทางเทคนิคผิดพลาด เขาสามารถปรับปรุงการคาดการณ์ใหม่ได้โดยไม่มีผลกระทบทางการเงิน 
แต่เมื่อนักเทรดผิดพลาดจะต้องเผชิญกับการขาดทุนทันที นี่คือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการวิเคราะห์และการเทรดครับ


1. เมื่อนักวิเคราะห์ผิดพลาด เรียกว่า "การปรับปรุงการคาดการณ์"
 - นักวิเคราะห์คาดการณ์เกี่ยวกับตลาดหรือหุ้น ถ้าเขาคาดการณ์ผิด
เขาจะปรับปรุงการคาดการณ์ใหม่ได้ ซึ่งไม่มีผลกระทบทางการเงินต่อเขา

2. เมื่อนักเทรดผิดพลาด เรียกว่า "การขาดทุน"
 - นักเทรดทำการซื้อขายหุ้นหรือสินทรัพย์ตามการตัดสินใจ ถ้าเขาตัดสินใจผิด เขาจะสูญเสียเงินทันที

3. นี่คือความแตกต่างอย่างมาก
 - ความแตกต่างคือ นักวิเคราะห์ที่ผิดพลาดสามารถปรับการคาดการณ์ใหม่ได้โดยไม่มีผลกระทบทางการเงิน 
แต่นักเทรดที่ผิดพลาดจะต้องสูญเสียเงินทันที

สรุปได้ว่า นักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ผิดสามารถปรับปรุงการคาดการณ์ได้ 
แต่เมื่อนักเทรดตัดสินใจผิดพลาด เขาจะต้องสูญเสียเงิน 
ความแตกต่างนี้ทำให้การวิเคราะห์และการเทรดเป็นสิ่งที่แตกต่างกันครับ


Peter Brandt พูดอย่างภูมิใจในตนเองว่า "I am a far better risk manager than trader or analyst" 
"ผมเป็นผู้จัดการความเสี่ยง ไม่ได้เป็น นักเทรดหรือนักวิเคราะห์"
เพื่อเน้นความสำคัญของการจัดการความเสี่ยงในกระบวนการเทรดและการลงทุน
มาขยายความและแยกแยะเพื่อให้มือใหม่เข้าใจง่ายขึ้นดังนี้:

1. การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
 - การจัดการความเสี่ยงคือกระบวนการที่นักลงทุนใช้ในการลดความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินในการลงทุน
 - Peter Brandt เน้นว่าเขาเก่งในด้านนี้มากกว่าการเทรดหรือการวิเคราะห์ เพราะการจัดการความเสี่ยงช่วยปกป้องการลงทุนจากการสูญเสียที่มากเกินไป

2. นักเทรด (Trader)
 - นักเทรดคือผู้ที่ซื้อและขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสกุลเงิน เพื่อต้องการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์
 - Peter Brandt อาจไม่ได้เก่งที่สุดในการตัดสินใจซื้อขายในช่วงเวลาที่เหมาะสมเสมอไป

3. นักวิเคราะห์ (Analyst)
 - นักวิเคราะห์คือนักลงทุนที่ศึกษาตลาดและทำการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มของราคาสินทรัพย์
 - Peter Brandt อาจไม่เก่งที่สุดในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาดหรือราคาสินทรัพย์

4. เหตุผลที่ Peter Brandt เน้นความสำคัญของการจัดการความเสี่ยง
 - เพราะการจัดการความเสี่ยงสามารถช่วยลดการสูญเสียและป้องกันการล้มละลาย แม้ว่าจะมีการตัดสินใจที่ผิดพลาดในการเทรดหรือการวิเคราะห์
 - เขาเชื่อว่าการอยู่รอดในตลาดระยะยาวขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดการความเสี่ยงมากกว่าการเป็นนักเทรดหรือนักวิเคราะห์ที่เก่ง

สรุปได้ว่า Peter Brandt เน้นการจัดการความเสี่ยงเพราะมันคือสิ่งที่ช่วยปกป้องการลงทุนและทำให้เขาอยู่รอดในตลาดการเงินในระยะยาว 
แม้ว่าเขาอาจไม่เก่งในการเทรดหรือการวิเคราะห์มากที่สุดก็ตามครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่