รู้สึกผิดต่อคุณยายที่เพิ่งเสียไป ให้อภัยตัวเองไม่ได้ มีแนวทางในการดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรดีครับ

สวัสดีและขอบคุณล่วงหน้าที่กรุณาเข้ามาอ่านและให้คำปรึกษาแก่ผมนะครับ

ผมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 อายุ 20 ปี ที่เพิ่งเสียคุณยายวัย 71 ปี ไปเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน 2567 ด้วยโรคมะเร็งเต้านมหลังจากที่ท่านต่อสู้กับมันมายาวนานกว่า 2 ปี 10 เดือนครับ
.
คุณยายของผมเป็นคนน่ารักมาก รักลูกหลานทุกคน ท่านชอบทำอาหารให้ทุกคนในครอบครัวทานเกือบทุกวัน เลี้ยงดูทั้งคุณแม่ คุณน้าทั้ง ๆ ที่คุณยายผมเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวและมีรายได้น้อยนิดจากการเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย

และต่อมาก็เลี้ยงพี่สาวและตัวผมเองด้วย อะไรที่ทำให้ลูกหลานมีความสุขท่านจะทำทันทีโดยไม่ลังเล ท่านไม่เคยโกรธเกลียดลูก ๆ หลาน ๆ เลย มีแต่ความหวังดีที่จะมอบให้
.
.
แต่แล้วคุณยายของผมท่านตรวจเจอมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายเมื่อเดือนกันยายน ปี 2564 หลังจากเก็บเป็นความลับต่อครอบครัวไว้นานเพราะไม่อยากให้ลูกหลานเสียเงินเสียทองจำนวนมากในการรักษา
.
.
หลังจากหมอวินิจฉัยและทราบว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 4 ก็รักษาตามแผนของหมอมาโดยตลอดนั่นคือให้คีโมเป็นระยะครับ
.
.
และแล้วสัญญาณว่าเวลากำลังจะหมดก็มาถึงเมื่อหมอแจ้งว่าคีโมเริ่มไม่สามารถต้านทานมะเร็งได้อีกแล้วเมื่อเดือน เมษายน 2567 ครับ มะเร็งได้ลุกลามเข้าสู่ปอดและลามไปส่วนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว จนวาระสุดท้ายท่านเกือบเป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องให้ลูกหลานพาเข้าห้องน้ำ พาลุกจากเตียง
.
.
ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิตท่าน ตัวผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับท่านเท่าใดนัก ด้วยเหตุผลคือผมเรียนหนักและต้องอ่านหนังสือมาก ซึ่งจริง ๆ มาพิจารณาภายหลังแล้วก็แค่ข้ออ้างเท่านั้นเอง สิ่งที่คนแก่ต้องการไม่มีอะไรมากหรอกครับนอกจากคำทักทาย และถามสารทุกข์ สุขดิบเล็กน้อย
.
.
แต่ผมกลับละเลยมัน ช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตท่าน ในช่วงที่ท่านไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้วตัวผมเองก็ชอบบ่นอิดออดกับแม่ของผมอยู่บ่อยครั้งว่า

" ทำไมผมต้องเจอเรื่องแบบนี้ "

" ผมมีภาระเรื่องการเรียนนะ "

" ผมต้องสอบนะ "

" ทำไมผมต้องเสียเวลาช่วยดูแลยายทั้งวันด้วย "

แต่ไม่ใช่ว่าผมปฏิเสธที่จะช่วยเหลือยายนะครับ ตัวผมทำหน้าที่ของผมอย่างสมบูรณ์ ไม่เคยทอดทิ้งคุณยายเลย ทั้งพาท่านเข้าห้องน้ำช่วงกลางดึกบางครั้งก็ ตี2 ตี3
.
.
ขับรถพาท่านไปโรงพยาบาล ผมทำทุกอย่าง ผมช่วยคุณยายทุกครั้งเมื่อท่านขอความช่วยเหลือแค่มีบางอารมณ์ที่ท้อใจและไม่อยากจะทำมัน
.
.
แต่อย่างไรก็ตามผมยอมรับเลยว่าในห้วงเวลานั้นผมละเลยความรู้สึกและช่วงเวลาอันมีค่าไป ผมน่าจะเต็มใจในการทำให้ท่านมากกว่านี้ ผมน่าจะใช้เวลาร่วมกับท่านมากกว่านี้  
.
.
บางครั้งหลังจากกลับจากมหาวิทยาลัยผมก็ไม่ได้ทักทายท่านด้วยซ้ำ
.
ผมมันเป็นหลานที่แย่จริง ๆ ว่าไหมครับ ผมล้มเหลวในการเป็นหลานที่ดีอย่างสิ้นเชิง ผมร้องไห้ทุกวัน ขณะที่ผมกำลังพิมพ์อยู่นี้น้ำตาก็ไหลไม่หยุดมันนองเต็มแก้มของผมไปหมด ผมรู้ว่าผมจะปวารณา อาลัยอาวรณ์ให้ตายอย่างไร คุณยายผมก็ไม่ฟื้นคืนกลับมาอีก
.
.
แต่ผมก็เสียใจและให้อภัยตัวเองไม่ได้สักที ผมควรจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรดีกับความรู้สึกผิดนี้ครับ ทรมานเหลือเกิน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่