สวัสดีค่ะ คือมีคำถามอยู่ในใจเราเสมอ ว่าผิดไหม ที่ไม่ได้รัก ไม่ได้ห่วงพวกเขาขนาดนั้น เพราะตั้งแต่เล็กจนโต(ปัจจุบันเรียนจบแล้ว) พ่อแม่ไม่เคยถามไถ่ชีวิตการเรียนเลยเท่าที่จำได้ แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามีเพื่อนชื่ออะไรบ้าง แต่พอย้ายไปเรียนมหาลัยต่างจังหวัด ก็พึ่งจะถามไถ่ แต่ก็ถามแค่ กินข้าวยัง งานเยอะไหม แค่นั้นแต่พอเขาไม่เคยถามเรามาก่อน มันก็ทำให้เราไม่ได้อยากตอบ เพราะไม่ชิน คือเป็นพ่อแม่ที่ไม่ได้สนิทกับลูก ค่อนข้างห่างเหิน บอกกับพี่สาวเราว่าพอเราไปเรียนมหาลัยก็คิดถึง พี่ก็บอกว่าตอนอยู่บ้านไม่เห็นจะถามไถ่คุยกัน แม่ก็พูดว่า ถึงไม่คุยก็ยังรู้ว่าเราอยู่ในห้อง เอาจริงๆ เราก็แค่น้อยใจแหละค่ะที่โตมาเหมือนพ่อแม่ไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้น เรามีพี่สาวอายุห่างกัน 3 ปี ครอบครัวฐานะปานกลางแต่หนี้สินค่อนข้างเยอะ แม่ทำงานรับจ้าง พ่อเป็นข้าราชการ พอขึ้นม.4 พี่สาวต้องไปเรียนมหาลัยในกทม เป็นเอกชนกู้กยศ. แต่ก็ต้องส่งเงินให้ พ่อแม่ให้เราทำงาน เสาร์-อาทิตย์ จันทร์-ศุกร์ เราเรียน เราทำงาน 9 โมง - 3 ทุ่ม คือเหนื่อยมากๆ ทำจนเป็นปัญหาสุขภาพถึงจะได้เลิกทำ ก็ปาไป 2 ปีกว่าๆ ตลอดระยะเวลานั้นเราไม่ได้ขอเงินค่าขนมพ่อแม่สักบาทเดียว มันไม่ใช่เพราะเราอยากทำ แต่เราไม่มีทางเลือกแม้แต่ทางเดียว เราก็น้อยใจอีกว่าตอนที่พี่สาวอายุเท่าเราเขายังไม่เห็นต้องทำอะไรแบบนี้ ทำไมเป็นเราที่ลำบาก คือมันเหนื่อยจริงๆช่วงนั้นจนน้อยใจมากตลอดว่า ถ้าไม่พร้อมจะมีเราทำไม เราผิดอะไร ปิดเทอมเราก็ต้องทำงานแม่บอกให้ทำงานเก็บเงิน เพื่อเป็นค่าหอ ค่ามหาลัย ตลอดม.ปลาย 3 ปีสุดท้ายที่อยู่บ้าน เรานั่งกินข้าวเย็นคนเดียวทุกวัน เอาจริงๆมันเหมือนอยู่คนเดียวในบ้านที่มีพ่อแม่อยู่นะ 555
พูดตรงๆเลย คือเราน้อยใจแหละมั้ง ที่บางทีเห็นพ่อแม่เพื่อนๆที่มอ เค้าถามไถ่ ครอบครัวอบอุ่น เราร้องไห้ในใจเลยจริงๆ ว่าอยากอบอุ่นแบบนั้นบ้างจัง ตอนม.ต้นเราพยายามเปิดใจให้แม่ อยากเป็นลูกที่คุยกับแม่ได้ทุกเรื่อง เราบอกแม่ว่าเรามีแฟน แม่ก็ไม่ได้อะไร เราก็คิดว่าน่าจะไปได้สวย แต่ตอนที่เลิกแม่ไม่รู้ แล้วพอแม่ถามหาว่าไม่คุยกับแฟนเหรอ เราบอกว่าเลิกกันแล้ว แต่แทนที่แม่จะปลอบเรา สิ่งที่แม่เราทำคือปรบมือ และทำท่าดีใจ พูดว่าเย้ๆๆๆ จุดนั้นเลยทำให้เราปิดใจและไม่คุยเรื่องส่วนตัวอะไรกับแม่อีกเลย ประมาณม.6 เราเลิกกับแฟนอีกคนจนเป็นซึมเศร้าแต้ราไปหาหมอจิตเวชคนเดียวตลอด เพราะไม่อยากให้พ่อแม่รู้ จนเกิดเรื่องที่โรงเรียนต้องให้เราเข้าโรงพยาบลแต่เราปฏิเสธ จนทำให้พ่อแม่รู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ดูเสียใจ แต่ไม่ถามอะไรเราเลยสักคำแล้วทำให้เรารู้สึกผิดมาตลอด หลังจากนั้นแม่ก็เหมือนพยายามเข้ามาอยู่ตอนเรากำลังจะนอน แต่ก็พูดว่า ยาน่ะ (ยาซึมเศร้า) ดีขึ้นแล้วก็ไม่ต้องกินหรอก มันไม่ดี เอาจริงๆเรารู้สึกว่าถ้าเขาไม่เข้าใจก็อย่าพูดอะไรเลยดีกว่า ตอนนั้นมันทำให้เรารู้สึกแย่มากๆ
ขอบคุณทุกความคิดเห็นและขอโทษทุกๆคนที่ทำให้ต้องมาอ่านอะไรแบบนี้ค่ะ
ผิดไหม? ที่รู้สึกไม่ได้รักพ่อแม่ขนาดนั้น
พูดตรงๆเลย คือเราน้อยใจแหละมั้ง ที่บางทีเห็นพ่อแม่เพื่อนๆที่มอ เค้าถามไถ่ ครอบครัวอบอุ่น เราร้องไห้ในใจเลยจริงๆ ว่าอยากอบอุ่นแบบนั้นบ้างจัง ตอนม.ต้นเราพยายามเปิดใจให้แม่ อยากเป็นลูกที่คุยกับแม่ได้ทุกเรื่อง เราบอกแม่ว่าเรามีแฟน แม่ก็ไม่ได้อะไร เราก็คิดว่าน่าจะไปได้สวย แต่ตอนที่เลิกแม่ไม่รู้ แล้วพอแม่ถามหาว่าไม่คุยกับแฟนเหรอ เราบอกว่าเลิกกันแล้ว แต่แทนที่แม่จะปลอบเรา สิ่งที่แม่เราทำคือปรบมือ และทำท่าดีใจ พูดว่าเย้ๆๆๆ จุดนั้นเลยทำให้เราปิดใจและไม่คุยเรื่องส่วนตัวอะไรกับแม่อีกเลย ประมาณม.6 เราเลิกกับแฟนอีกคนจนเป็นซึมเศร้าแต้ราไปหาหมอจิตเวชคนเดียวตลอด เพราะไม่อยากให้พ่อแม่รู้ จนเกิดเรื่องที่โรงเรียนต้องให้เราเข้าโรงพยาบลแต่เราปฏิเสธ จนทำให้พ่อแม่รู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ดูเสียใจ แต่ไม่ถามอะไรเราเลยสักคำแล้วทำให้เรารู้สึกผิดมาตลอด หลังจากนั้นแม่ก็เหมือนพยายามเข้ามาอยู่ตอนเรากำลังจะนอน แต่ก็พูดว่า ยาน่ะ (ยาซึมเศร้า) ดีขึ้นแล้วก็ไม่ต้องกินหรอก มันไม่ดี เอาจริงๆเรารู้สึกว่าถ้าเขาไม่เข้าใจก็อย่าพูดอะไรเลยดีกว่า ตอนนั้นมันทำให้เรารู้สึกแย่มากๆ
ขอบคุณทุกความคิดเห็นและขอโทษทุกๆคนที่ทำให้ต้องมาอ่านอะไรแบบนี้ค่ะ