จั่วหัวมาก็เหนื่อยใจเลยค่ะ ขอเอามาบ่นไว้ที่นี่ และแชร์ ๆ บ่น ๆ ให้ฟังแล้วกันนะคะ
เกริ่นก่อนว่าเราพึ่งเข้ามาทำงานอยู่ในองค์กรที่ generation ห่างกับเราแบบสุดโต่ง
เราอายุ 25 ค่ะ ประสบการณ์ทำงานก็จะเข้าปีที่ 2 แล้ว ถือว่ายังน้อยมากกับอะไรหลาย ๆ อย่าง
การเจอคนก็ยังไม่มาก ล้มลุกคลุกคลานกับเรื่องงานก็ยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่
ส่วนบริษัทที่เราทำก็รุ่นพ่อรุ่นแม่เราได้เลย และเจ้านายก็เป็นพี่น้องกันค่ะ
หรือเรียกตามประสาทั่วไป ก็คือ ธุรกิจครอบครัวนั่นเอง (แค่นี้ก็ขนลุกแล้ว)
เอาตามตรงพึ่งเคยได้สัมผัสธุรกิจครอบครัวเลยได้รู้ว่ามันทรหดมากแค่ไหน
เราย้ายมาที่นี่เป็นที่ที่ 2 ค่ะ ก่อนหน้าทำองค์กรแบบวัยรุ่นสมัยใหม่ คิดเร็ว ทำเร็ว
ซึ่งชอบมาก แต่เลือกที่จะย้ายเพราะเราอยากเติบโตในสายงานเราอีกขั้นค่ะ
เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะคะ เราค่อนข้างเหนื่อยใจกับการทำงานของเจ้านายที่นี่ค่ะ
เราทำแผนก marketing อยู่ค่ะ เป็น visual communication designer and creative
แต่ตลกร้ายมากที่ marketing ใครเข้ามาแปปเดียวก็ออกหมด อยู่ได้ไม่นานเพราะการทำงานของเจ้านายค่ะ
จนตอนนี้เหลือคนในทีมแค่ 2 คน และไม่มี marketing manager (เพราะเข้ามาแปปเดียวก็ไปเหมือนกันค่ะ)
องค์กรเราค่อนข้างวุ่นวาย เหตุเพราะเป็นธุรกิจครอบครัว 4 พี่น้องนักธุรกิจที่ไร้ซึ่งความชัดเจน
ไม่มีตรงกลางต่อการทำงาน มีความคิดเป็นของตัวเองที่ต่างกันถึง 4 ขั้ว ไม่มีใครยอมใคร ไม่กล้าลงทุน
มีความเชื่อว่าวิธีการในสมัยใหม่ไม่มีทางดีกว่าเมื่อก่อน และขาดความเห็นอกเห็นใจคนทำงานระดับปฏิบัติการค่ะ
และแน่นอนความต่างระหว่าง generation มักเป็นปัญหาที่ใคร ๆ ก็พอจะเดาออก
แต่เราก็ไม่ใช่พนักงานที่ level มากพอที่จะไปสู้รบกับเจ้านายหรือคนอื่น ๆ อยู่แล้ว
ดังนั้นการใช้ชีวิตที่ทำงานของเรา คือ เงียบเมื่อต้องเงียบ พูดเมื่อต้องพูดค่ะ
(คือคุณแม่ค่อนข้างสอนมาเยอะตอนจะย้ายมาองค์ที่มีแต่ผู้ใหญ่ คุณแม่ทำงานระดับ manager (ที่บริษัทอื่น)
แกเลยจะเจอคนมาหลายรูปแบบ เลยสอนเรามาเยอะเลยค่ะว่าต้องวางตัวแบบไหนถึงจะดี)
เจ้านายมักจะไม่ค่อยปล่อยให้ลูกน้องได้ทำอะไรด้วยตัวเอง และขี้งกมากมากกกกค่ะ
เป็นเจ้านายที่ประสบการณ์การทำธุรกิจมานาน แต่ไม่กล้าออกจาก safe zone เมื่อ 10-20 ปีก่อน
หวง budget แต่คาดคั้นให้พนักงานทำออกมาแบบ worldwide ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ
เหมือนคุณทำ branding นึง ให้ budget 25,000 บาท แต่ขอ scale แบบ hermess
อีกทั้งยังมีความคิดที่ว่า การทำงานในทุก ๆ เรื่อง จะต้อง 1,2,3,4,.... เท่านั้น ถ้าไม่เป็นแบบนี้ = ไม่ถูกต้อง
พี่ manager คนเก่าเราออกภายใน 2 weeks เพราะแกรับไม่ได้กับวิธีการทำงานแบบนี้ในทุก ๆ เรื่องค่ะ
(ก่อนออกแกบ่นว่า "จะทำให้ทุกอย่างมันใช้เวลามากกว่าเดิมทำไมในเมื่อมันมีวิธีลัดที่ดีกว่า พี่อยู่ไม่ได้" TT)
และเจ้านายทั้ง 4 ท่านมีความคิดที่แตกต่างกันมาก เวลาจะทำงาน 1 อย่าง
พนักงานจะต้องจับต้นชนปลายกันกันเองว่า 4 ท่านจะเอาอะไรกันแน่? แล้วต้องฟังใครกันแน่?
เพราะอันที่จริง 4 ท่านก็แยกกันแล้วว่าใครจะดูแลในส่วนไหน แต่ถึงเวลาจริง ๆ ไม่มีใครปล่อยใครค่ะ
ตรงนี้คือเหนื่อยใจมาก สมมติว่าทำถูกใจคนแรก คนที่ 2 ดันไม่ชอบก็โล๊ะค่ะ แต่ถามว่าเขามีแนะนำไหม
ก็มักจะตอบว่าเป็นหน้าที่ของพนักงานหรือเปล่าที่ต้องหาคำตอบในส่วนนี้ (เราไม่เคยโดน แต่พี่ในทีมโดนค่ะ TT)
และมันกลายเป็นเรื่องปกติของที่นี่ไปแล้วอ่ะค่ะ ซึ่งน่ากลัวมาก เพราะว่าไม่ใช่แค่เราคิดคนเดียวนะคะ
แต่คนที่ทำงานมา 10 ปี++ ก็บอกแบบนี้ค่ะ ว่ามันเปลี่ยนอะไรเจ้านายไม่ได้เลย มีแต่ต้องยอมรับกับอยู่ไม่ได้ก็ลาออกค่ะ
ตอนนี้เจ้านายคนที่ 4 พึ่งขึ้นมาเป็น CEO และควบคุม marketing ทั้งหมดค่ะ
แต่ขาดความรู้ความสามารถในเรื่องการทำ marketing แบบมาก ๆ และไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้นค่ะ
อีกอย่างคือ ไม่กล้าชนกับพี่ตัวเอง ไม่กล้าไฟท์เพื่อลูกน้องเมื่อเป็นเรื่องที่จะต้องไปชนกับพี่คนโตสุด
(เวลามีเรื่องที่ต้องไปเจรจากับพี่คนโต เจ้านายคนนี้มักจะให้ลูกน้องไปรับหน้าแทนค่ะ อันนี้งงมาก ๆ และไม่ได้คิดไปเองนะ)
ก่อนหน้าแกไปดูแลที่ฝ่ายอื่นมาก่อน และอีกท่านคอยดูแล marketing แต่เขาขอเปลี่ยนกันเมื่อ 2 ปีก่อน
เพราะเนื่องจากเจ้านายคนก่อนหน้าเขาชอบปล่อยให้พนักงานมีอิสระทางความคิดมากไปค่ะ
พอเปลี่ยนเจ้านายคนใหม่มาดูแล ทีมก่อนหน้าถึงกับจับมือกันลาออกยกทีมเลยค่ะ
และเราก็ได้มาเป็นตัวตายตัวแทนให้แล้วตอนนี้ 555
เจ้านายคนนี้แกไม่เคยทำ marketing เลยค่ะ แต่แกเป็นคนมีความเชื่อว่าทุกอย่าง
ไม่ควรมีอิสระในการทำงานมากไปจากพนักงานระดับปฏิบัติการ และไม่ว่าจะทำอะไร
จะต้องมีเขาอยู่ในทุกขั้นตอน 100% หากจุดไหนขาดเขาไป = งานไม่สมบูรณ์แบบ
มักจะชอบเรียกคุยทุกวัน วันละ 3-4 hrs (จนไม่เป็นอันทำงาน) เพราะมีความเชื่อว่าถ้าพนักงานอยู่นอกสายตาตน
พนักงานจะทำงานได้ไม่ดีแน่นอน ไม่ชอบให้พนักงานไปทำงานข้างนอกหรือเดินออกไปสูดอากาศ
เพราะคิดว่าการกระทำนั้นคือการกระทำของคนที่พยายามอยากอยู่นอกสายตา และจะโดน HR เดินมาคุยค่ะ
(ออฟฟิศไม่มีหน้าต่างด้วยนะคะ เขาไม่อยากให้พนักงานใจลอยไปที่อื่นค่ะ =..=)
อีกทั้ง... ยังเป็นคนใจร้อน ควบคุมอารมณ์ไม่ดี ไม่พอใจ ไม่ถูกใจอะไร มักจะตำหนิแบบเสียงดัง ๆ ลั่นชั้น
แต่ไม่เคยด่าทอพนักงานเป็นคำหยาบคายนะคะ แต่เป็นฟีลเหมือนคำพูดที่ไร้คำหยาบแต่ความหมายหยาบมากค่ะ 555
เราโดนล่าสุดคือ "...(ชื่อเรา)... รู้ตัวไหมครับ ว่าตัวเองเป็นปัญหาของทุกอย่าง"
"ทำไมถึงชอบทำอะไรเร็ว ๆ หรอครับ เด็กรุ่นใหม่ไม่เข้าใจกันเลยหรอ ผมน่ะเจอคนมาเยอะแล้วแบบนี้มันน่าเบื่อครับ"
"ปัญหาที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะ..(ชื่อเรา)..ไม่เป็นลำดับขั้นตอนไงครับ"
เหตุจากเราไม่ได้ทำงานแบบ 1,2,3,4,... เพราะ ระยะเวลางานที่ได้รับมาน้อยมากและเร่งด่วน
มันไม่สามารถทำให้เราทำงานเป็นขั้นตอนอย่างถี่ถ้วนได้ เราเลยใช้วิธี ลัด เร็ว แต่ผลลัพธ์คือเท่ากัน
ซึ่งวิธีนี้ไม่ได้คิดแล้วทำเลยนะคะ เราปรึกษาคนในทีมที่เกี่ยวข้องก่อนลงทำ และทุกคนเห็นด้วยค่ะ
แต่เจ้านายโมโหและขุนเคืองมากกกก โทรมาติเราหลังเลิกงาน 2 ครั้ง ให้เราพิจารณาสิ่งที่ตัวเองทำ
และเช้าวันทำงานถัดไป ก็โทรมาติเราอีก 4 ครั้ง พร้อมประโยคที่บอกไปค่ะ
++ และที่งานมันเป็นปัญหาเพราะเจ้านายเป็นคนโทรสั่งงานทุกคนแยกกัน
แทนที่จะสั่งคนที่ตำแหน่งสูงสุด ให้ไปประสานต่อกันเอง แต่เขาไม่ทำค่ะ เพราะเขาบอกว่า
ทุกอย่างมันต้องมาจากเขาเท่านั้น จนทุกคนงงว่า แล้วตัวเองต้องทำอะไร? แล้วใครทำอะไร? งงไปหมด
คือขนาดคนที่ทำงานกับเจ้านายมา 12 ปี ยังบ่นเลยค่ะ ไม่ใช่แค่เราที่งง T..T แต่ว่าพี่คนนี้เขามีสกิลปลงค่ะ
แต่เรายังไม่มีน่ะ 555 แถมเจ้านายด่าพี่เขาว่า "คุณเคยฉลาดกว่านี่หนิครับ เรื่องแค่นี้คิดไม่ได้หรอ"
(แต่สุดท้ายงานออกมาเป็นแบบที่เขาต้องการนะคะ แบบผลลัพธ์คือถูกจุดประสงค์เขาจริง ๆ)
เลยงงว่าคนสมัยก่อน(not all) เขายังมีความเชื่อว่าการด่าคน=การขุนให้คนทำงานเก่งกันอยู่หรือคะ?
คุณแม่เราบอกว่า "เมื่อก่อนมันเป็นแบบนี้จริง ๆ ที่ด่าแล้วงานถึงจะเดิน แต่เดี๋ยวนี้มันทำไม่ค่อยได้แล้ว
เพราะสุดท้ายเด็กรุ่นใหม่ก็ต้องมารับช่วงต่อในการทำงาน และเป็นยุคที่ความอึด ถึก ทน มันต่างกัน
การที่จะทำงานให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน มันต้องใช้ทักษะการพูดที่ดีและชัดเจนต่อจุดประสงค์
รวมถึงการประณีประนอม หาตรงกลาง อะไรดีก็ให้ทำ อะไรไม่ดีก็ให้ค่อย ๆ สอนว่ามันทำไม่ได้เพราะอะไร
แต่หากไม่มีเวลามานั่งสอนกัน อย่างน้อยก็ควรพูดจาให้ดีกับคนที่เขาต้องทำงานให้เรา พูดดีแต่ต้องเอาอยู่หมัด
เพราะปัจจุบันสุขภาพจิตคนมันมีส่วนต่อการทำงานเป็นอย่างมาก ถ้าอยากให้งานออกมาอย่างมีคุณภาพ
สุขภาพจิตคนทำก็ต้องดีด้วยเช่นกัน" แม่เราว่างี้ค่ะ แกเลยไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้านายกำลังทำตอนนี้
...จริงอยู่ที่เรายังเจออะไรมาน้อย และยังไม่มีภูมิต้านทานในการทำงานมากพอนัก
แต่พอเรื่องนี้เกิดขึ้นเราก็ปรึกษาคุณแม่นะคะ ว่าเราผิดขนาดนั้นเลยหรือ ทำไมถึงต้องโดนโทรมาว่าซ้ำขนาดนี้
แค่เหตุเพราะทำงานด้วยวิธีของตัวเอง คุณแม่เราก็งงว่า นั่นสิ..มันผิดขนาดนั้นเลย 5555
เรามองว่าประโยคนั้นมันคือประโยคทำลายกำลังใจคนน่ะค่ะ อยากให้คนทำงาน ก็น่าจะมีทักษะในการควบคุมอารมณ์
และเลือกรูปประโยคที่ดีกว่านี้ อย่างเจ้านายเก่าเราที่อายุแค่ 27 ตอนนี้อู้ฟู่มาก เวลาพลาดอะไรขึ้นมา
ไม่เคยติลูกน้องด้วยรูปประโยคแบบนี้เลย แต่จะเน้นให้ลูกน้องคิดและไตร่ตรองเอาเองค่ะ
เพราะแกมีความเชื่อว่า "ถ้าอยากให้คนทำงานให้ เราต้องรู้วิธีทำและพูดเพื่อให้คนอยากอยู่กับเรา"
(เจ้านายเก่าเราสอนเรามาเหมือนกันเรื่องการพูดกับคนในการทำงาน)
ตอนนี้อยากลาออกมากกกกก เพราะพอคนในทีมเหลือแค่ 2 คน
จากตอนแรกเราสมัครงานมาที่ตำแหน่งเดียว (อันที่จริงทำใจมาแล้วว่าการทำงานมักจะเกินหน้าที่เสมอ)
แต่ตอนนี้เราจะควบอย่างอื่นไปด้วยแล้วค่ะ ควบตำแหน่งอื่นที่เกินความจำเป็นเราไปแล้วจริง ๆ
พี่ marketing เรา ตอนนี้ก็ควบ manager ไปแล้วเรียบร้อยค่ะ TT ...
แต่ที่ลาออกไม่ได้เพราะว่ารอผลงานใหญ่ที่กำลังจะมาถึงนี้ที่อยากทำมาก ๆ
บวกกับช่วงนี้ไม่มีงานที่น่าทำเลย เราขาดเงินไม่ได้ด้วย เพราะเราภาระเยอะมาก ๆ เช่นกัน
แต่วางแผนไว้ว่าถ้างานเร็ว ๆ นี้ลุล่วงไปได้ด้วยดีแล้ว จะไปแบบไม่ให้ใครตั้งตัวค่ะ ฮ่า ๆ
(นี่คือการเอาคืนของเด็กรุ่นใหม่ 555)
เฮ้อออ บ่นซะเยอะเลย พี่ ๆ ในพันทิปอย่าพึ่งรีบด่านะคะ จิตใจอ่อนไหวอยู่ค่ะ T__T
แต่สอนวิธีรับมือได้นะคะ พร้อมตั้งใจฟังเป็นอย่างดีมาก ๆ เลยค่ะ ถือว่าแชร์ ๆ ประสบการณ์
เราเองจะได้มีทัศนคติที่ดีและเข้มแข็งขึ้นด้วย ช่วยเด็กคนนี้หน่อยนะคะ ToT 5555
เหนื่อยใจกับเจ้านายมาก
เกริ่นก่อนว่าเราพึ่งเข้ามาทำงานอยู่ในองค์กรที่ generation ห่างกับเราแบบสุดโต่ง
เราอายุ 25 ค่ะ ประสบการณ์ทำงานก็จะเข้าปีที่ 2 แล้ว ถือว่ายังน้อยมากกับอะไรหลาย ๆ อย่าง
การเจอคนก็ยังไม่มาก ล้มลุกคลุกคลานกับเรื่องงานก็ยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่
ส่วนบริษัทที่เราทำก็รุ่นพ่อรุ่นแม่เราได้เลย และเจ้านายก็เป็นพี่น้องกันค่ะ
หรือเรียกตามประสาทั่วไป ก็คือ ธุรกิจครอบครัวนั่นเอง (แค่นี้ก็ขนลุกแล้ว)
เอาตามตรงพึ่งเคยได้สัมผัสธุรกิจครอบครัวเลยได้รู้ว่ามันทรหดมากแค่ไหน
เราย้ายมาที่นี่เป็นที่ที่ 2 ค่ะ ก่อนหน้าทำองค์กรแบบวัยรุ่นสมัยใหม่ คิดเร็ว ทำเร็ว
ซึ่งชอบมาก แต่เลือกที่จะย้ายเพราะเราอยากเติบโตในสายงานเราอีกขั้นค่ะ
เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะคะ เราค่อนข้างเหนื่อยใจกับการทำงานของเจ้านายที่นี่ค่ะ
เราทำแผนก marketing อยู่ค่ะ เป็น visual communication designer and creative
แต่ตลกร้ายมากที่ marketing ใครเข้ามาแปปเดียวก็ออกหมด อยู่ได้ไม่นานเพราะการทำงานของเจ้านายค่ะ
จนตอนนี้เหลือคนในทีมแค่ 2 คน และไม่มี marketing manager (เพราะเข้ามาแปปเดียวก็ไปเหมือนกันค่ะ)
องค์กรเราค่อนข้างวุ่นวาย เหตุเพราะเป็นธุรกิจครอบครัว 4 พี่น้องนักธุรกิจที่ไร้ซึ่งความชัดเจน
ไม่มีตรงกลางต่อการทำงาน มีความคิดเป็นของตัวเองที่ต่างกันถึง 4 ขั้ว ไม่มีใครยอมใคร ไม่กล้าลงทุน
มีความเชื่อว่าวิธีการในสมัยใหม่ไม่มีทางดีกว่าเมื่อก่อน และขาดความเห็นอกเห็นใจคนทำงานระดับปฏิบัติการค่ะ
และแน่นอนความต่างระหว่าง generation มักเป็นปัญหาที่ใคร ๆ ก็พอจะเดาออก
แต่เราก็ไม่ใช่พนักงานที่ level มากพอที่จะไปสู้รบกับเจ้านายหรือคนอื่น ๆ อยู่แล้ว
ดังนั้นการใช้ชีวิตที่ทำงานของเรา คือ เงียบเมื่อต้องเงียบ พูดเมื่อต้องพูดค่ะ
(คือคุณแม่ค่อนข้างสอนมาเยอะตอนจะย้ายมาองค์ที่มีแต่ผู้ใหญ่ คุณแม่ทำงานระดับ manager (ที่บริษัทอื่น)
แกเลยจะเจอคนมาหลายรูปแบบ เลยสอนเรามาเยอะเลยค่ะว่าต้องวางตัวแบบไหนถึงจะดี)
เจ้านายมักจะไม่ค่อยปล่อยให้ลูกน้องได้ทำอะไรด้วยตัวเอง และขี้งกมากมากกกกค่ะ
เป็นเจ้านายที่ประสบการณ์การทำธุรกิจมานาน แต่ไม่กล้าออกจาก safe zone เมื่อ 10-20 ปีก่อน
หวง budget แต่คาดคั้นให้พนักงานทำออกมาแบบ worldwide ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ
เหมือนคุณทำ branding นึง ให้ budget 25,000 บาท แต่ขอ scale แบบ hermess
อีกทั้งยังมีความคิดที่ว่า การทำงานในทุก ๆ เรื่อง จะต้อง 1,2,3,4,.... เท่านั้น ถ้าไม่เป็นแบบนี้ = ไม่ถูกต้อง
พี่ manager คนเก่าเราออกภายใน 2 weeks เพราะแกรับไม่ได้กับวิธีการทำงานแบบนี้ในทุก ๆ เรื่องค่ะ
(ก่อนออกแกบ่นว่า "จะทำให้ทุกอย่างมันใช้เวลามากกว่าเดิมทำไมในเมื่อมันมีวิธีลัดที่ดีกว่า พี่อยู่ไม่ได้" TT)
และเจ้านายทั้ง 4 ท่านมีความคิดที่แตกต่างกันมาก เวลาจะทำงาน 1 อย่าง
พนักงานจะต้องจับต้นชนปลายกันกันเองว่า 4 ท่านจะเอาอะไรกันแน่? แล้วต้องฟังใครกันแน่?
เพราะอันที่จริง 4 ท่านก็แยกกันแล้วว่าใครจะดูแลในส่วนไหน แต่ถึงเวลาจริง ๆ ไม่มีใครปล่อยใครค่ะ
ตรงนี้คือเหนื่อยใจมาก สมมติว่าทำถูกใจคนแรก คนที่ 2 ดันไม่ชอบก็โล๊ะค่ะ แต่ถามว่าเขามีแนะนำไหม
ก็มักจะตอบว่าเป็นหน้าที่ของพนักงานหรือเปล่าที่ต้องหาคำตอบในส่วนนี้ (เราไม่เคยโดน แต่พี่ในทีมโดนค่ะ TT)
และมันกลายเป็นเรื่องปกติของที่นี่ไปแล้วอ่ะค่ะ ซึ่งน่ากลัวมาก เพราะว่าไม่ใช่แค่เราคิดคนเดียวนะคะ
แต่คนที่ทำงานมา 10 ปี++ ก็บอกแบบนี้ค่ะ ว่ามันเปลี่ยนอะไรเจ้านายไม่ได้เลย มีแต่ต้องยอมรับกับอยู่ไม่ได้ก็ลาออกค่ะ
ตอนนี้เจ้านายคนที่ 4 พึ่งขึ้นมาเป็น CEO และควบคุม marketing ทั้งหมดค่ะ
แต่ขาดความรู้ความสามารถในเรื่องการทำ marketing แบบมาก ๆ และไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้นค่ะ
อีกอย่างคือ ไม่กล้าชนกับพี่ตัวเอง ไม่กล้าไฟท์เพื่อลูกน้องเมื่อเป็นเรื่องที่จะต้องไปชนกับพี่คนโตสุด
(เวลามีเรื่องที่ต้องไปเจรจากับพี่คนโต เจ้านายคนนี้มักจะให้ลูกน้องไปรับหน้าแทนค่ะ อันนี้งงมาก ๆ และไม่ได้คิดไปเองนะ)
ก่อนหน้าแกไปดูแลที่ฝ่ายอื่นมาก่อน และอีกท่านคอยดูแล marketing แต่เขาขอเปลี่ยนกันเมื่อ 2 ปีก่อน
เพราะเนื่องจากเจ้านายคนก่อนหน้าเขาชอบปล่อยให้พนักงานมีอิสระทางความคิดมากไปค่ะ
พอเปลี่ยนเจ้านายคนใหม่มาดูแล ทีมก่อนหน้าถึงกับจับมือกันลาออกยกทีมเลยค่ะ
และเราก็ได้มาเป็นตัวตายตัวแทนให้แล้วตอนนี้ 555
เจ้านายคนนี้แกไม่เคยทำ marketing เลยค่ะ แต่แกเป็นคนมีความเชื่อว่าทุกอย่าง
ไม่ควรมีอิสระในการทำงานมากไปจากพนักงานระดับปฏิบัติการ และไม่ว่าจะทำอะไร
จะต้องมีเขาอยู่ในทุกขั้นตอน 100% หากจุดไหนขาดเขาไป = งานไม่สมบูรณ์แบบ
มักจะชอบเรียกคุยทุกวัน วันละ 3-4 hrs (จนไม่เป็นอันทำงาน) เพราะมีความเชื่อว่าถ้าพนักงานอยู่นอกสายตาตน
พนักงานจะทำงานได้ไม่ดีแน่นอน ไม่ชอบให้พนักงานไปทำงานข้างนอกหรือเดินออกไปสูดอากาศ
เพราะคิดว่าการกระทำนั้นคือการกระทำของคนที่พยายามอยากอยู่นอกสายตา และจะโดน HR เดินมาคุยค่ะ
(ออฟฟิศไม่มีหน้าต่างด้วยนะคะ เขาไม่อยากให้พนักงานใจลอยไปที่อื่นค่ะ =..=)
อีกทั้ง... ยังเป็นคนใจร้อน ควบคุมอารมณ์ไม่ดี ไม่พอใจ ไม่ถูกใจอะไร มักจะตำหนิแบบเสียงดัง ๆ ลั่นชั้น
แต่ไม่เคยด่าทอพนักงานเป็นคำหยาบคายนะคะ แต่เป็นฟีลเหมือนคำพูดที่ไร้คำหยาบแต่ความหมายหยาบมากค่ะ 555
เราโดนล่าสุดคือ "...(ชื่อเรา)... รู้ตัวไหมครับ ว่าตัวเองเป็นปัญหาของทุกอย่าง"
"ทำไมถึงชอบทำอะไรเร็ว ๆ หรอครับ เด็กรุ่นใหม่ไม่เข้าใจกันเลยหรอ ผมน่ะเจอคนมาเยอะแล้วแบบนี้มันน่าเบื่อครับ"
"ปัญหาที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะ..(ชื่อเรา)..ไม่เป็นลำดับขั้นตอนไงครับ"
เหตุจากเราไม่ได้ทำงานแบบ 1,2,3,4,... เพราะ ระยะเวลางานที่ได้รับมาน้อยมากและเร่งด่วน
มันไม่สามารถทำให้เราทำงานเป็นขั้นตอนอย่างถี่ถ้วนได้ เราเลยใช้วิธี ลัด เร็ว แต่ผลลัพธ์คือเท่ากัน
ซึ่งวิธีนี้ไม่ได้คิดแล้วทำเลยนะคะ เราปรึกษาคนในทีมที่เกี่ยวข้องก่อนลงทำ และทุกคนเห็นด้วยค่ะ
แต่เจ้านายโมโหและขุนเคืองมากกกก โทรมาติเราหลังเลิกงาน 2 ครั้ง ให้เราพิจารณาสิ่งที่ตัวเองทำ
และเช้าวันทำงานถัดไป ก็โทรมาติเราอีก 4 ครั้ง พร้อมประโยคที่บอกไปค่ะ
++ และที่งานมันเป็นปัญหาเพราะเจ้านายเป็นคนโทรสั่งงานทุกคนแยกกัน
แทนที่จะสั่งคนที่ตำแหน่งสูงสุด ให้ไปประสานต่อกันเอง แต่เขาไม่ทำค่ะ เพราะเขาบอกว่า
ทุกอย่างมันต้องมาจากเขาเท่านั้น จนทุกคนงงว่า แล้วตัวเองต้องทำอะไร? แล้วใครทำอะไร? งงไปหมด
คือขนาดคนที่ทำงานกับเจ้านายมา 12 ปี ยังบ่นเลยค่ะ ไม่ใช่แค่เราที่งง T..T แต่ว่าพี่คนนี้เขามีสกิลปลงค่ะ
แต่เรายังไม่มีน่ะ 555 แถมเจ้านายด่าพี่เขาว่า "คุณเคยฉลาดกว่านี่หนิครับ เรื่องแค่นี้คิดไม่ได้หรอ"
(แต่สุดท้ายงานออกมาเป็นแบบที่เขาต้องการนะคะ แบบผลลัพธ์คือถูกจุดประสงค์เขาจริง ๆ)
เลยงงว่าคนสมัยก่อน(not all) เขายังมีความเชื่อว่าการด่าคน=การขุนให้คนทำงานเก่งกันอยู่หรือคะ?
คุณแม่เราบอกว่า "เมื่อก่อนมันเป็นแบบนี้จริง ๆ ที่ด่าแล้วงานถึงจะเดิน แต่เดี๋ยวนี้มันทำไม่ค่อยได้แล้ว
เพราะสุดท้ายเด็กรุ่นใหม่ก็ต้องมารับช่วงต่อในการทำงาน และเป็นยุคที่ความอึด ถึก ทน มันต่างกัน
การที่จะทำงานให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน มันต้องใช้ทักษะการพูดที่ดีและชัดเจนต่อจุดประสงค์
รวมถึงการประณีประนอม หาตรงกลาง อะไรดีก็ให้ทำ อะไรไม่ดีก็ให้ค่อย ๆ สอนว่ามันทำไม่ได้เพราะอะไร
แต่หากไม่มีเวลามานั่งสอนกัน อย่างน้อยก็ควรพูดจาให้ดีกับคนที่เขาต้องทำงานให้เรา พูดดีแต่ต้องเอาอยู่หมัด
เพราะปัจจุบันสุขภาพจิตคนมันมีส่วนต่อการทำงานเป็นอย่างมาก ถ้าอยากให้งานออกมาอย่างมีคุณภาพ
สุขภาพจิตคนทำก็ต้องดีด้วยเช่นกัน" แม่เราว่างี้ค่ะ แกเลยไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้านายกำลังทำตอนนี้
...จริงอยู่ที่เรายังเจออะไรมาน้อย และยังไม่มีภูมิต้านทานในการทำงานมากพอนัก
แต่พอเรื่องนี้เกิดขึ้นเราก็ปรึกษาคุณแม่นะคะ ว่าเราผิดขนาดนั้นเลยหรือ ทำไมถึงต้องโดนโทรมาว่าซ้ำขนาดนี้
แค่เหตุเพราะทำงานด้วยวิธีของตัวเอง คุณแม่เราก็งงว่า นั่นสิ..มันผิดขนาดนั้นเลย 5555
เรามองว่าประโยคนั้นมันคือประโยคทำลายกำลังใจคนน่ะค่ะ อยากให้คนทำงาน ก็น่าจะมีทักษะในการควบคุมอารมณ์
และเลือกรูปประโยคที่ดีกว่านี้ อย่างเจ้านายเก่าเราที่อายุแค่ 27 ตอนนี้อู้ฟู่มาก เวลาพลาดอะไรขึ้นมา
ไม่เคยติลูกน้องด้วยรูปประโยคแบบนี้เลย แต่จะเน้นให้ลูกน้องคิดและไตร่ตรองเอาเองค่ะ
เพราะแกมีความเชื่อว่า "ถ้าอยากให้คนทำงานให้ เราต้องรู้วิธีทำและพูดเพื่อให้คนอยากอยู่กับเรา"
(เจ้านายเก่าเราสอนเรามาเหมือนกันเรื่องการพูดกับคนในการทำงาน)
ตอนนี้อยากลาออกมากกกกก เพราะพอคนในทีมเหลือแค่ 2 คน
จากตอนแรกเราสมัครงานมาที่ตำแหน่งเดียว (อันที่จริงทำใจมาแล้วว่าการทำงานมักจะเกินหน้าที่เสมอ)
แต่ตอนนี้เราจะควบอย่างอื่นไปด้วยแล้วค่ะ ควบตำแหน่งอื่นที่เกินความจำเป็นเราไปแล้วจริง ๆ
พี่ marketing เรา ตอนนี้ก็ควบ manager ไปแล้วเรียบร้อยค่ะ TT ...
แต่ที่ลาออกไม่ได้เพราะว่ารอผลงานใหญ่ที่กำลังจะมาถึงนี้ที่อยากทำมาก ๆ
บวกกับช่วงนี้ไม่มีงานที่น่าทำเลย เราขาดเงินไม่ได้ด้วย เพราะเราภาระเยอะมาก ๆ เช่นกัน
แต่วางแผนไว้ว่าถ้างานเร็ว ๆ นี้ลุล่วงไปได้ด้วยดีแล้ว จะไปแบบไม่ให้ใครตั้งตัวค่ะ ฮ่า ๆ
(นี่คือการเอาคืนของเด็กรุ่นใหม่ 555)
เฮ้อออ บ่นซะเยอะเลย พี่ ๆ ในพันทิปอย่าพึ่งรีบด่านะคะ จิตใจอ่อนไหวอยู่ค่ะ T__T
แต่สอนวิธีรับมือได้นะคะ พร้อมตั้งใจฟังเป็นอย่างดีมาก ๆ เลยค่ะ ถือว่าแชร์ ๆ ประสบการณ์
เราเองจะได้มีทัศนคติที่ดีและเข้มแข็งขึ้นด้วย ช่วยเด็กคนนี้หน่อยนะคะ ToT 5555