พิธา ชี้ ทักษิณ ได้ประกันคดี 112 เป็นสิทธิปกติ ยก 12 คดีนักกิจกรรม ถามดุลพินิจเรื่องหลบหนีวัดจากอะไร
https://www.matichon.co.th/politics/news_4634892
พิธา มอง เป็นเรื่องปกติ หลังศาลให้ประกัน ทักษิณ คดี ม.112 ถาม ดุลพินิจเรื่องหลบหนีวัดจากอะไร
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่รัฐสภา นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ศาลอนุญาตให้ประกันตัวนาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 112 ว่า สิทธิการประกันตัวเป็นเรื่องปกติของระบบนิติรัฐนิติธรรม กรณีของนาย
ทักษิณ ก็มีที่อยู่แน่นอน เป็นผู้สูงอายุ ตามที่ศาลอธิบาย แต่ในขณะเดียวกัน ตนเข้าใจว่าอีก 12 คดีในวันนี้ ก็ไม่เคยมีพฤติกรรมหลบหนีเช่นเดียวกัน จึงกลายเป็นคำถามขึ้นมาว่า ดุลพินิจของศาลในเรื่องความเป็นไปได้ หรือความเสี่ยงที่จะหลบหนีวัดกันอย่างไร
พิธา หวังได้โอกาสไต่สวน-สืบพยาน มั่นใจ 9 ข้อต่อสู้ ก้าวไกล ซักค้านได้ทุกประเด็น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4635052
พิธา หวัง ได้โอกาสไต่สวน-สืบพยาน หลัง ศาล รธน. นัดพิจารณา คดียุบพรรค ครั้งต่อไป มั่นใจ 9 ข้อต่อสู้ ก้าวไกล ซักค้านได้ทุกประเด็น
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีกำหนดนัดพิจารณาคดีล้มล้างการปกครองของพรรคก้าวไกล ครั้งต่อไปในวันที่ 3 กรกฎาคม และมีกำหนดให้คู่กรณีเข้ามาตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 9 กรกฎคมที่จะถึงนี้ ว่า วันนี้ตนได้เห็นแค่คร่าวๆ ว่าจะมีการนัดพิจารณาต่อในวันที่ 3 กรกฎาคม และสอบพยานหลักฐานของแต่ละฝ่ายต่อ ในวันที่ 9 กรกฎาคม ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อมีการตรวจสอบพยานหลักฐานของแต่ละฝ่ายแล้ว จะหมายความว่าให้มีการสืบพยานหรือไม่ เพราะเข้าใจว่าทางผู้ร้องก็มีจำนวนพยานพอสมควร ทางฝั่งก้าวไกลก็มีพยานที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกฎหมายเยอะพอสมควร
นายพิธากล่าวต่อว่า ถ้ามีโอกาสได้ไต่สวนหรือสืบพยาน ก็เราก็คงจะมีโอกาสได้อธิบายเหตุและผล และความไม่เชื่อมโยงกันกับคดี 3/2567 ทั้งนี้ ตนคาดว่าคงจะไม่ได้ใช้มาตรฐานเดียวกัน ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะเป็นคนละมาตรา คนละกฎหมายกัน ย้ำว่า มั่นใจทั้ง 9 ข้อต่อสู้ของพรรคว่าจะสามารถซักค้านได้ในทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา
สำหรับกรณีที่มีการยื่นคำร้อง 9 ข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกล ว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาลนั้น นายพิธากล่าวว่า เป็นไปตามกระบวนการ ตนคิดว่าศาลน่าจะเห็นไปตามหลักของกฎหมายและความยุติธรรม ที่จะอนุญาตให้มีโอกาสเปิดเผยหลักฐานชัดเจน และเป็นไปตามกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก็เป็นดุลพินิจของศาล ตนคงไปก้าวล่วงไม่ได้ ย้ำว่าไม่ได้เป็นความกังวลแต่อย่างใด มั่นใจในส่วนของตัวเอง เชื่อว่าศาลจะเปิดโอกาสให้ทั้ง 2 ฝ่ายอย่างยุติธรรม
ส.ส.ก้าวไกล บี้กลต. แจงตั้ง ‘อัสสเดช’ นั่งเป็นผจก.ตลาดหลักทรัพย์ กระทบความเชื่อมั่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4634514
‘ชัยวัฒน์’ ชี้ตลาดหุ้นไทยตกต่ำจากวิกฤตความเชื่อมั่น แนะ กลต. ชี้แจงสังคมกรณีตั้ง ‘อัสสเดช’ เป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน นาย
ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีตลาดหุ้นไทยตกต่ำอย่างต่อเนื่องว่า ตลาดหุ้นไทยตกต่ำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐาเริ่มแถลงนโยบายต่อรัฐสภา พูดได้ว่าเป็นวิกฤตความเชื่อมั่นต่อทั้งตลาดเงินตลาดทุนและนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล มิหนำซ้ำยังถูกซ้ำเติมจากข่าวการแต่งตั้งผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนใหม่ที่เป็นที่กังขาในความไม่เหมาะสม จนวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ดัชนีหุ้นไทยหลุดลงต่ำกว่า 1,300 จุดในรอบหลายปี
นาย
ชัยวัฒน์กล่าวว่า คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีมติเลือก นาย
อัสสเดช คงสิริ เป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนใหม่ วันที่ 14 มิถุนายน 2567 โดยจะเริ่มดำรงตำแหน่งวันที่ 19 กันยายน 2567 แม้จะยังไม่มีผลในทันที แต่ได้สร้างความคลางแคลงใจให้กับสังคมนักลงทุนเป็นอย่างมาก ว่าเป็นบุคคลที่มีความไม่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนี้หรือไม่ เนื่องจาก
อัสสเดชมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกลุ่มบริษัทดีลอยท์ในประเทศไทย โดยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับพาร์ทเนอร์บริษัทดีลอยท์ ที่ปรึกษา และเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทดีลอยท์โฮลดิ้ง 15.7% ในขณะที่บริษัทดีลอยท์สอบบัญชีซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มเดียวกันนั้นกำลังมีคดีความในการเป็นบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีให้กับ STARK ซึ่งมีประเด็นฉ้อโกงเป็นคดีฟ้องร้องกันอยู่
นาย
ชัยวัฒน์กล่าวต่อว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นนิติบุคคลที่แต่งตั้งโดยกฎหมายเฉพาะ เป็นองค์กรระดับประเทศ ยิ่งต้องเป็นตัวอย่างและเป็นเสาหลักของตลาดทุนในด้านธรรมาภิบาลและทำอะไรที่เป็น Best Practice มากกว่าหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งจากกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ออกโดย ตลท. หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) จะมีมาตรฐานเข้มที่ให้บริษัทจดทะเบียนต้องทำเรื่องหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์ หรือ Conflict of Interest (COI) ที่สูงมาก ดังนั้น สำหรับผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ควรใช้มาตรฐานที่เข้มกว่าหรืออย่างน้อยๆ ในระดับที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“
การปฏิเสธเรื่อง COI โดยอ้างว่าเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทโฮลดิ้งซึ่งถือหุ้นบริษัทสอบบัญชีอีกทอด และเป็นผู้บริหารระดับพาร์ทเนอร์ของบริษัทที่ปรึกษา ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทสอบบัญชีโดยตรง ทั้งๆ ที่กลุ่มบริษัทนั้นก็อยู่ในออฟฟิศเดียวกัน ผู้บริหารก็เรียกได้ว่ารู้จักกันหมด เป็นคำชี้แจงที่ฟังไม่ขึ้น” นายชัยวัฒน์กล่าว
นาย
ชัยวัฒน์กล่าวต่อว่า ส่วนที่ประธานคณะกรรมการ ตลท.ชี้แจงว่า อัสสเดชเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทโฮลดิ้งและเป็นผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาหลังจากเกิดเรื่อง STARK แล้ว ซึ่ง ณ ขณะนั้นบริษัท PwC (ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์) ได้เข้ามาเป็นผู้สอบบัญชีแล้ว ยิ่งไม่ใช่ประเด็น เพราะหลักฐานต่างๆ ในคดีที่กำลังอยู่ระหว่างการฟ้องร้องนั้น ย่อมมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทดีลอยท์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ในด้านการสืบสวนข้อเท็จจริงและหากมีการปรับหรือบทลงโทษใดๆ ก็จะกระทบกับบริษัทในปัจจุบันด้วย ซึ่งตำแหน่งผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจให้ความร่วมมือหรือไม่ร่วมมือในการสืบหาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับผู้กระทำผิดได้ ไม่เกี่ยวกับว่าอัสสเดชจะมีส่วนเกี่ยวข้องในปมปัญหากรณี STARK หรือไม่ ตามที่ได้มีการออกมาชี้แจงผิดประเด็น ยิ่งไปกว่านั้น ที่มีความพยายามชี้แจงว่าหลังได้รับคัดเลือกเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งในบริษัทดีลอยท์ที่ปรึกษา และในขั้นต่อไปจะโอนหุ้นคืนไปยังหุ้นส่วนคนอื่น เพื่อต้องการจะบอกว่าไม่มี COI แล้วเนื่องจากหมดความเกี่ยวข้องกับบริษัทดีลอยท์ ก็ยิ่งน่าตั้งคำถามว่าคณะกรรมการที่คัดเลือกอัสสเดชมานั้น ใช้มาตรฐานต่ำเกินไปหรือไม่
นาย
ชัยวัฒน์กล่าวว่า ขอฝากไปถึงผู้กำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ กลต. ว่าแค่ลองหยิบประกาศ กลต. เรื่อง การให้ความเห็นชอบที่ปรึกษาทางการเงินและขอบเขตการดำเนินงาน พ.ศ.2552 (ฉบับที่…) มาดู ก็จะพบว่าความสัมพันธ์แบบนี้ อย่าว่าแต่จะมาเป็นผู้นำอันดับหนึ่งขององค์กรระดับประเทศอย่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเลย แม้แต่ทำหน้าที่ที่ปรึกษาทางการเงิน ยังห้ามเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น กลต. ในฐานะผู้กำกับดูแลต้องออกมาชี้แจงต่อสังคมด้วย อย่าให้ความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทยที่แทบจะเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย ขาดจนกู่ไม่กลับ
หุ้นไทยวิ่งไม่ไหว บวกเล็กๆ 1 จุด โบรกชี้ปัจจัยการเมืองกดดันทางขึ้นต่อ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4635117
หุ้นไทยวิ่งไม่ไหว บวกเล็กๆ 1 จุด โบรกชี้ปัจจัยการเมืองกดดันทางขึ้นต่อ
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะหุ้นวันนี้ว่า หุ้นเคลื่อนไหวในแดนลบสลับบวก โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ 1,296.61 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,297.41 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.82 จุด หรือบวก 0.06% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,310.76 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,296.18 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 38,015.41 ล้านบาท
นางสาว
วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย เคลื่อนไหวในแดนบวกตามทิศทางตลาดโลก มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน และชาติพันธมิตร (OPEC+) แสดงความเชื่อมั่นว่าอุปสงค์น้ามันจะปรับตัวดีขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง โดยนักลงทุนติดตามคดีทางการเมืองในประเทศไทยเป็นหลัก จึงมีทั้งแรงซื้อและแรงขายสลับเข้ามา ไม่ต่างจากดัชนีที่เคลื่อนไหวในแดนบวกสลับลบตลอดการซื้อขาย จากช่วงเปิดตลาดที่ดัชนีเด้งบวกกว่า 14 จุด ก่อนจะทยอยปรับลดลงแม้จะสามารถยืนแดนบวกได้ โดยนักลงทุนยังคงติดตามคดีทางการเมืองกรณีพรรคก้าวไกล และนายกรัฐมนตรี นาย
เศรษฐา ทวีสิน ที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งถือเป็นปัจจัยกดดันต่อการปรับตัวขึ้นของดัชนีหุ้นไทยต่อไป
JJNY : 5in1 พิธายก12คดีนักกิจกรรม│พิธามั่นใจ9ข้อต่อสู้│ก้าวไกลบี้กลต.│หุ้นไทยบวกเล็กๆ│ศึกษาพบหิมะบนหิมาลัยลดลงต่อเนื่อง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4634892
พิธา มอง เป็นเรื่องปกติ หลังศาลให้ประกัน ทักษิณ คดี ม.112 ถาม ดุลพินิจเรื่องหลบหนีวัดจากอะไร
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ศาลอนุญาตให้ประกันตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 112 ว่า สิทธิการประกันตัวเป็นเรื่องปกติของระบบนิติรัฐนิติธรรม กรณีของนายทักษิณ ก็มีที่อยู่แน่นอน เป็นผู้สูงอายุ ตามที่ศาลอธิบาย แต่ในขณะเดียวกัน ตนเข้าใจว่าอีก 12 คดีในวันนี้ ก็ไม่เคยมีพฤติกรรมหลบหนีเช่นเดียวกัน จึงกลายเป็นคำถามขึ้นมาว่า ดุลพินิจของศาลในเรื่องความเป็นไปได้ หรือความเสี่ยงที่จะหลบหนีวัดกันอย่างไร
พิธา หวังได้โอกาสไต่สวน-สืบพยาน มั่นใจ 9 ข้อต่อสู้ ก้าวไกล ซักค้านได้ทุกประเด็น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4635052
พิธา หวัง ได้โอกาสไต่สวน-สืบพยาน หลัง ศาล รธน. นัดพิจารณา คดียุบพรรค ครั้งต่อไป มั่นใจ 9 ข้อต่อสู้ ก้าวไกล ซักค้านได้ทุกประเด็น
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีกำหนดนัดพิจารณาคดีล้มล้างการปกครองของพรรคก้าวไกล ครั้งต่อไปในวันที่ 3 กรกฎาคม และมีกำหนดให้คู่กรณีเข้ามาตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 9 กรกฎคมที่จะถึงนี้ ว่า วันนี้ตนได้เห็นแค่คร่าวๆ ว่าจะมีการนัดพิจารณาต่อในวันที่ 3 กรกฎาคม และสอบพยานหลักฐานของแต่ละฝ่ายต่อ ในวันที่ 9 กรกฎาคม ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อมีการตรวจสอบพยานหลักฐานของแต่ละฝ่ายแล้ว จะหมายความว่าให้มีการสืบพยานหรือไม่ เพราะเข้าใจว่าทางผู้ร้องก็มีจำนวนพยานพอสมควร ทางฝั่งก้าวไกลก็มีพยานที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกฎหมายเยอะพอสมควร
นายพิธากล่าวต่อว่า ถ้ามีโอกาสได้ไต่สวนหรือสืบพยาน ก็เราก็คงจะมีโอกาสได้อธิบายเหตุและผล และความไม่เชื่อมโยงกันกับคดี 3/2567 ทั้งนี้ ตนคาดว่าคงจะไม่ได้ใช้มาตรฐานเดียวกัน ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะเป็นคนละมาตรา คนละกฎหมายกัน ย้ำว่า มั่นใจทั้ง 9 ข้อต่อสู้ของพรรคว่าจะสามารถซักค้านได้ในทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหา
สำหรับกรณีที่มีการยื่นคำร้อง 9 ข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกล ว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาลนั้น นายพิธากล่าวว่า เป็นไปตามกระบวนการ ตนคิดว่าศาลน่าจะเห็นไปตามหลักของกฎหมายและความยุติธรรม ที่จะอนุญาตให้มีโอกาสเปิดเผยหลักฐานชัดเจน และเป็นไปตามกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก็เป็นดุลพินิจของศาล ตนคงไปก้าวล่วงไม่ได้ ย้ำว่าไม่ได้เป็นความกังวลแต่อย่างใด มั่นใจในส่วนของตัวเอง เชื่อว่าศาลจะเปิดโอกาสให้ทั้ง 2 ฝ่ายอย่างยุติธรรม
ส.ส.ก้าวไกล บี้กลต. แจงตั้ง ‘อัสสเดช’ นั่งเป็นผจก.ตลาดหลักทรัพย์ กระทบความเชื่อมั่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4634514
‘ชัยวัฒน์’ ชี้ตลาดหุ้นไทยตกต่ำจากวิกฤตความเชื่อมั่น แนะ กลต. ชี้แจงสังคมกรณีตั้ง ‘อัสสเดช’ เป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน นายชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีตลาดหุ้นไทยตกต่ำอย่างต่อเนื่องว่า ตลาดหุ้นไทยตกต่ำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐาเริ่มแถลงนโยบายต่อรัฐสภา พูดได้ว่าเป็นวิกฤตความเชื่อมั่นต่อทั้งตลาดเงินตลาดทุนและนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล มิหนำซ้ำยังถูกซ้ำเติมจากข่าวการแต่งตั้งผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนใหม่ที่เป็นที่กังขาในความไม่เหมาะสม จนวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ดัชนีหุ้นไทยหลุดลงต่ำกว่า 1,300 จุดในรอบหลายปี
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีมติเลือก นายอัสสเดช คงสิริ เป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนใหม่ วันที่ 14 มิถุนายน 2567 โดยจะเริ่มดำรงตำแหน่งวันที่ 19 กันยายน 2567 แม้จะยังไม่มีผลในทันที แต่ได้สร้างความคลางแคลงใจให้กับสังคมนักลงทุนเป็นอย่างมาก ว่าเป็นบุคคลที่มีความไม่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนี้หรือไม่ เนื่องจากอัสสเดชมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกลุ่มบริษัทดีลอยท์ในประเทศไทย โดยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับพาร์ทเนอร์บริษัทดีลอยท์ ที่ปรึกษา และเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทดีลอยท์โฮลดิ้ง 15.7% ในขณะที่บริษัทดีลอยท์สอบบัญชีซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มเดียวกันนั้นกำลังมีคดีความในการเป็นบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีให้กับ STARK ซึ่งมีประเด็นฉ้อโกงเป็นคดีฟ้องร้องกันอยู่
นายชัยวัฒน์กล่าวต่อว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นนิติบุคคลที่แต่งตั้งโดยกฎหมายเฉพาะ เป็นองค์กรระดับประเทศ ยิ่งต้องเป็นตัวอย่างและเป็นเสาหลักของตลาดทุนในด้านธรรมาภิบาลและทำอะไรที่เป็น Best Practice มากกว่าหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งจากกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ออกโดย ตลท. หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) จะมีมาตรฐานเข้มที่ให้บริษัทจดทะเบียนต้องทำเรื่องหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์ หรือ Conflict of Interest (COI) ที่สูงมาก ดังนั้น สำหรับผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ควรใช้มาตรฐานที่เข้มกว่าหรืออย่างน้อยๆ ในระดับที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“การปฏิเสธเรื่อง COI โดยอ้างว่าเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทโฮลดิ้งซึ่งถือหุ้นบริษัทสอบบัญชีอีกทอด และเป็นผู้บริหารระดับพาร์ทเนอร์ของบริษัทที่ปรึกษา ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทสอบบัญชีโดยตรง ทั้งๆ ที่กลุ่มบริษัทนั้นก็อยู่ในออฟฟิศเดียวกัน ผู้บริหารก็เรียกได้ว่ารู้จักกันหมด เป็นคำชี้แจงที่ฟังไม่ขึ้น” นายชัยวัฒน์กล่าว
นายชัยวัฒน์กล่าวต่อว่า ส่วนที่ประธานคณะกรรมการ ตลท.ชี้แจงว่า อัสสเดชเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทโฮลดิ้งและเป็นผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาหลังจากเกิดเรื่อง STARK แล้ว ซึ่ง ณ ขณะนั้นบริษัท PwC (ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์) ได้เข้ามาเป็นผู้สอบบัญชีแล้ว ยิ่งไม่ใช่ประเด็น เพราะหลักฐานต่างๆ ในคดีที่กำลังอยู่ระหว่างการฟ้องร้องนั้น ย่อมมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทดีลอยท์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ในด้านการสืบสวนข้อเท็จจริงและหากมีการปรับหรือบทลงโทษใดๆ ก็จะกระทบกับบริษัทในปัจจุบันด้วย ซึ่งตำแหน่งผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจให้ความร่วมมือหรือไม่ร่วมมือในการสืบหาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับผู้กระทำผิดได้ ไม่เกี่ยวกับว่าอัสสเดชจะมีส่วนเกี่ยวข้องในปมปัญหากรณี STARK หรือไม่ ตามที่ได้มีการออกมาชี้แจงผิดประเด็น ยิ่งไปกว่านั้น ที่มีความพยายามชี้แจงว่าหลังได้รับคัดเลือกเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งในบริษัทดีลอยท์ที่ปรึกษา และในขั้นต่อไปจะโอนหุ้นคืนไปยังหุ้นส่วนคนอื่น เพื่อต้องการจะบอกว่าไม่มี COI แล้วเนื่องจากหมดความเกี่ยวข้องกับบริษัทดีลอยท์ ก็ยิ่งน่าตั้งคำถามว่าคณะกรรมการที่คัดเลือกอัสสเดชมานั้น ใช้มาตรฐานต่ำเกินไปหรือไม่
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า ขอฝากไปถึงผู้กำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ กลต. ว่าแค่ลองหยิบประกาศ กลต. เรื่อง การให้ความเห็นชอบที่ปรึกษาทางการเงินและขอบเขตการดำเนินงาน พ.ศ.2552 (ฉบับที่…) มาดู ก็จะพบว่าความสัมพันธ์แบบนี้ อย่าว่าแต่จะมาเป็นผู้นำอันดับหนึ่งขององค์กรระดับประเทศอย่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเลย แม้แต่ทำหน้าที่ที่ปรึกษาทางการเงิน ยังห้ามเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น กลต. ในฐานะผู้กำกับดูแลต้องออกมาชี้แจงต่อสังคมด้วย อย่าให้ความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทยที่แทบจะเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย ขาดจนกู่ไม่กลับ
หุ้นไทยวิ่งไม่ไหว บวกเล็กๆ 1 จุด โบรกชี้ปัจจัยการเมืองกดดันทางขึ้นต่อ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4635117
หุ้นไทยวิ่งไม่ไหว บวกเล็กๆ 1 จุด โบรกชี้ปัจจัยการเมืองกดดันทางขึ้นต่อ
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะหุ้นวันนี้ว่า หุ้นเคลื่อนไหวในแดนลบสลับบวก โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ 1,296.61 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,297.41 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.82 จุด หรือบวก 0.06% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,310.76 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,296.18 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 38,015.41 ล้านบาท
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย เคลื่อนไหวในแดนบวกตามทิศทางตลาดโลก มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน และชาติพันธมิตร (OPEC+) แสดงความเชื่อมั่นว่าอุปสงค์น้ามันจะปรับตัวดีขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง โดยนักลงทุนติดตามคดีทางการเมืองในประเทศไทยเป็นหลัก จึงมีทั้งแรงซื้อและแรงขายสลับเข้ามา ไม่ต่างจากดัชนีที่เคลื่อนไหวในแดนบวกสลับลบตลอดการซื้อขาย จากช่วงเปิดตลาดที่ดัชนีเด้งบวกกว่า 14 จุด ก่อนจะทยอยปรับลดลงแม้จะสามารถยืนแดนบวกได้ โดยนักลงทุนยังคงติดตามคดีทางการเมืองกรณีพรรคก้าวไกล และนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งถือเป็นปัจจัยกดดันต่อการปรับตัวขึ้นของดัชนีหุ้นไทยต่อไป