ออกตัวก่อนว่าผมจบสายศิลป์-ภาษามา ไม่ได้จบสายวิทย์-คณิต มา แต่พอได้อ่านหนังสือหลายๆเล่ม+หลายๆกระทู้ ก็ยังไม่เคลียร์ ไม่ค่อยเก็ทเท่าไรครับ พอจะมีใครที่รู้ฟิสิกส์บอกได้มั้ยว่าผมเข้าใจถูกรึเปล่าครับ? และเข้าใจผิดจุดไหนบ้าง?
มิติ หมายถึง การวัดระยะจากสิ่งหนึ่ง ไปยังอีกสิ่งหนึ่ง และระหว่างสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม มิติคือโครงสร้างพื้นฐานของธรรมชาติและจักรวาล การเคลื่อนที่เกิดขึ้นได้ เพราะเรารู้จักเรื่องมิติ หรือการวัดระยะ นั่นเอง หากวัดระยะไม่ได้ คงไม่มีการเคลื่อนที่ใดๆเกิดขึ้น...
นักฟิสิกส์สันนิษฐานว่ามีมิติอยู่ราว 10,11,26 มิติ (ทฤษฎี m และ super string) และยังเอาแน่นอนไม่ได้ว่ามีเท่าไรกันแน่ แต่กล่าวถึงบ่อยที่สุด จะเป็น 11 มิติ... ปัจจุบันค้นพบแล้ว 4 มิติ...ด้วยกัน ที่เหลือยังอยู่ในขั้นวิจัย+สันนิษฐานล้วนๆ มิติที่สูงขึ้นจะมีขนาดเล็กลงๆ เรื่อยๆ โดยมิติสูงๆจะมีขนาดที่เล็กเกินกว่าจะประมาณได้... โดยแต่ละมิติ คือการวางซ้อนกัน+รวมกัน ไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่มิติที่ 4 ขึ้นไปจะมีขนาดเล็กกว่าอะตอมลงไปเรื่อยๆ... เรียกกันตามภาษา sci-fi ว่า มิติควอนตัม
มิติที่ 0 =จุดเฉยๆ
เป็นจุดจุดหนึ่ง ที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ในมิตินี้ได้ เนื่องจากพื้นที่แทบเป็น 0 ในทุกระยะ/ทิศทาง
@สิ่งมีชีวิต=ไม่มี
@เทคโนโลยีที่เทียบได้=ไม่มี
@พลังงานหลัก=ไม่มี
มิติที่ 1= เส้นตรง
เป็นจุดหลายจุดที่วางเรียงกันมากๆ จนเกิดระยะ เป็นเส้นตรง ทุกสิ่งในมิตินี้เคลื่อนที่ได้เพียง 2 ทิศทาง
@สิ่งมีชีวิต=ไม่มี
@เทคโนโลยีที่เทียบได้= ไม้บรรทัด ,เครื่องวัดระยะแนวตรงหรือทิศทางเดียวต่างๆ,รางและรถไฟ
@พลังงานหลัก=ไม่ทราบ
มิติที่ 2 = พื้นที่(area)
เป็นเส้นจำนวนมากที่นำมาต่อเรียงกันจนเกิดระยะในทุกทิศทางแบบขนานแบนราบ...(8 ทิศ) หรือที่โล่งกว้าง ที่ไม่มีความหนานั่นเอง ในมิตินี้เคลื่อนที่ได้อิสระแทบทุกทิศทาง ยกเว้น ด้านบน-ล่าง และต้องคำนึงถึงตำแหน่งแบบละติจูด-ลองจิจูด
@สิ่งมีชีวิต=สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ขนานกับพื้นโลกแทบทั้งหมด ที่เคลื่อนที่แบบกระโดดขึ้นสูงไม่ได้ เช่น มด วัว หนู หนอน
@เทคโนโลยีที่เทียบได้=รถยนต์ เรือ เกวียน เครื่องมือวัดพื้นที่ ,สิ่งที่เคลื่อนที่ในแนวราบทั้งหมด
@พลังงานหลัก=พลังงานจลน์จากแรงกาย,จากเชื้อเพลิงต่างๆ
มิติที่ 3 = ปริมาตร,ปริภูมิ(cube or place or space)
เป็นพื้นที่จำนวนมากวางต่อกันซ้อนกัน จนเกิดระยะเป็น"ปริมาตร" เพิ่มทิศทางด้านบนและล่างเข้าไป(depth) หรือความลึก ในมิตินี้การเคลื่อนที่สามารถทำได้อิสระในทุกทิศทาง 10 ทิศ (หากมีพลังงานพอ) ตัวอย่างมิตินี้คือ โลก, สถานที่ ทุกแห่งที่ต้องวัดด้วยความ กว้าง×ยาว×หนาหรือลึก-สูง การเคลื่อนที่ในมิตินี้ ต้องคำนึงถึงพิกัดความลึกหรือความสูงของพื้นที่เพิ่มเข้ามา
@สิ่งมีชีวิต=นก ลิง มนุษย์ ,สิ่งมีชีวิตที่กระดูกสันหลังตั้งฉากกับพื้นโลกเป็นส่วนใหญ่ สามารถเคลื่อนที่ได้อิสระในทุกทิศทาง ทั้ง 10 ทิศ สามารถกระโดด หรือขึ้นสู่ที่สูงได้
@เทคโนโลยีที่เทียบได้= เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ จรวดเชื้อเพลิงที่ขับดันแบบปล่อยออกทางท้ายลำ, พาหนะที่เคลื่อนที่ได้ทั้ง 10 ทิศทาง, เครื่องขุดเจาะใต้ดิน ,เรขาคณิตแบบ 3 มิติ
@พลังงานหลัก=นิวเคลียร์ฟิชชั่น, พลังงานจากเชื้อเพลิงขับดันต่างๆ
มิติที่ 4= เวลา(time)
เป็นปริมาตรจำนวนมาก ที่นำมาเรียงต่อกันซ้อนกัน จนเกิดระยะเป็น"เวลา"เช่น ไทม์ไลน์ มีลักษณะคล้ายมิติที่ 1 ที่เวลาเดินจากอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต แบบเส้นตรง ลักษณะคือ ปริมาตรในช่วงเวลาต่างๆ ที่ซ้อนกันนั่นเอง ตย.เช่น สี่เหลี่ยมในอดีต สี่เหลี่ยมในปัจจุบัน และสี่เหลี่ยมในอนาคต ที่วางซ้อนกัน หมายความว่าเวลากับสถานที่(ปริมาตร)เกี่ยวข้องกันโดยตรง เรียกว่า กาล-อวกาศ หรือ ปริภูมิ-เวลา(spacetime) ดังนั้นในสถานที่เดียวกัน อาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ หากเวลาผ่านไป...(อธิบายให้เก็ทได้ยากมาก 555) การเคลื่อนที่ในมิตินี้ต้องคำนึงถึง กาล-อวกาศ มิเช่นนั้นจะไม่สามารถเคลื่อนที่อย่างแม่นยำได้ ต้องเพิ่มตัวแปร เช่นพิกัดเวลา เป็นต้น ตย.มิติที่ 4 คือ อวกาศ และทุกๆที่
*ตย.ที่ง่ายที่สุดเช่น การใส่ชุดให้ถูก"กาละ-เทศะ"แปลว่า ควรใส่ให้ถูก"ที่"และถูก"เวลา" เป็นต้น แสดงว่าเวลากับสถานที่เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน นั่นเอง
@สิ่งมีชีวิต = ไม่อาจทราบรูปร่างที่แน่นอนได้ แต่สามารถเข้าถึงเส้นเวลา ได้อย่างอิสระแบบ 1 มิติ หน้า-หลัง(อดีต-อนาคต) แต่ได้เพียงเส้นเวลาเดียวเท่านั้น...
@เทคโนโลยีที่เทียบได้= ยานอวกาศความเร็วสูงระหว่างดวงดาว(starship) ,พาหนะต่างๆที่เดินทางได้อย่างอิสระในจักรวาลในทุกทิศทาง,เครื่องสร้างความโน้มถ่วงเทียม,หลักการทำนายอนาคต,เรขาคณิตแบบ tesseract,ดาวเทียม,การสื่อสารแบบควอนตัม,การเดินทางไปในอนาคตหรืออดีตแบบเส้นตรง
@พลังงานหลัก=นิวเคลียร์ฟิวชั่น
มิติที่ 5 ความเป็นไปได้ต่างๆหรือโอกาส(โลกคู่ขนานแบบกึ่งสัมบูรณ์ เพราะยังมาจากจุดกำเนิดเดียวกัน) -chance and probability
เป็นการนำเอาปริภูมิเวลาจำนวนมากมาวางซ้อนกันอีกที จนเกิดระยะเป็น"โอกาสความเป็นไปได้แบบต่างๆ" ในมิตินี้จากเดิมที่เวลาเดินเป็นเส้นตรงแบบ 1 มิติก็จะถูกขยายออกเป็น 2 มิติ(นำเอาเวลามากางออกเป็นพื้นที่) คือเพิ่มความเป็นไปได้ในแบบต่างๆทั้งหมดที่มีจุดกำเนิดมาจากจุดเดียวกัน ทั้งในอดีตและอนาคต การเคลื่อนที่ในมิตินี้ สามารถอยู่ในหลายตำแหน่งในเวลาเดียวกันได้เหมือนกับการแยกร่าง การเคลื่อนที่ในมิตินี้ต้องคำนึงถึงตัวแปรหนึ่งที่เพิ่มขึ้นจากมิติที่ 4 (กาล-อวกาศ) เช่น พิกัดความเป็นไปได้อันไหน, พิกัดร่างไหน(เดามั่ว 555) เป็นต้น เพราะมิตินี้เข้าถึงความเป็นไปได้ ทุกรูปแบบในวัตถุเดียวกัน ได้ไม่สิ้นสุด(แต่จุดกำเนิดเดียวกัน)
@สิ่งมีชีวิต=เหนือกว่าจะจินตนาการได้ แต่สามารถเข้าถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต(อยู่หลายที่ในเวลาเดียวกัน) ไปได้ในทุกเส้นเวลา เข้าใจเวลาได้อย่างถ่องแท้
@เทคโนโลยีที่เทียบได้= การเดินทางข้ามเวลาและความเป็นไปได้ในแบบต่างๆ หรือการข้ามเวลาแบบหลายเส้นทาง,เรขาคณิตแบบ 5 มิติ
@พลังงานหลัก=พลังงานจากปฏิสสาร
มิติที่ 6 ความเป็นไปได้ทั้งหมดทุกรูปแบบ จากจุดกำเนิดเดียวกัน หรือ โลกคู่ขนานแบบสมบูรณ์(ตั้งเอง) หรือเอกภพสมบูรณ์ -all possible universes branching
เป็นการนำเอาความเป็นไปได้ต่างๆ มาวางซ้อนกันอีก หรือนำเอาเวลาที่เป็น 2 มิติมาขยายเพิ่มเป็น 3 มิติ(จากเดิมที่เป็นพื้นที่ คราวนี้เวลาถูกทำให้เป็นทรงปริมาตร เพิ่มเข้ามา)จนเกิดเป็นระยะ ที่เพิ่ม"ความเป็นไปได้ทั้งหมด ในทุกรูปแบบ ทุกทิศทาง" ทิศทางที่ถูกเพิ่มให้แก่เวลาคือทิศทางบน-ล่าง หรือ จุดกำเนิดของเวลาที่แตกต่างกันทั้งหมดภายใน 1 จักรวาล ตย.เช่น ตัวตนเดียวกัน คนเดียวกัน ลักษณะกายภาพเหมือนกัน วัตถุเดียวกัน แต่จุดกำเนิดและเส้นเวลาต่างกันทั้งหมด ความเป็นไปได้ต่างๆ ก็ต่างกันอีกเช่นกัน จึงสามารถนับได้ว่าจะเป็นคนเดียวกันหรือคนละคนกันก็ได้... การเคลื่อนที่ในมิตินี้ ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ เพราะต้องคำนึงถึงหลายตัวแปร ที่เพิ่มจากมิติที่ 5 เช่น อาจจะเป็น พิกัดจุดกำเนิดอันไหน เพราะมิตินี้สามารถเข้าถึงจุดกำเนิดที่ต่างแบบกันได้ไม่สิ้นสุด(แต่เฉพาะในจักรวาลนี้)
@สิ่งมีชีวิต=ไม่สามารถระบุได้ แต่คาดว่าสามารถเข้าถึงโลกคู่ขนานได้นับไม่ถ้วน แต่ยังอยู่ในจักรวาลนี้
@เทคโนโลยีที่เทียบได้=การเดินทางไปยังโลกคู่ขนาน ที่ต่างจากโลกเดิมแทบทั้งหมด
@พลังงานหลัก=ไม่ทราบ
มิติที่ 7 พหุจักรวาลหรือพหุภพ(ตั้งเอง) -multiverses
เป็นการนำเอาความเป็นไปได้ต่างๆที่เกิดจากจุดกำเนิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง(ขอเรียกว่าเอกภพ) หรือเอกภพมาวางซ้อนทับกัน จนเกิดเป็นระยะแบบ"ต่างจักรวาล"หรือต่างภพ" ที่มีองค์ประกอบหลักแบบเดียวกันหรือคล้ายกันหรือต่างกันก็ได้ และเป็นคนละจักรวาลหรือเอกภพกัน แต่ละจักรวาลก็จะมี องค์ประกอบหลักคือทั้ง 6 มิติที่ต่ำกว่าทั้งหมด แต่เป็นคนละจักรวาลกันทั้งหมด และไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆต่อกัน รวมถึงอาจมีกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ที่ต่างกันอีกด้วย(เพราะเป็นคนละจักรวาลกันเลย) ตย.ที่ง่ายที่สุดคือการนึกภาพลักษณะของมิติที่ 6 มาวางซ้อนเรียงกันจำนวนมาก จนเกิดเป็นเส้นตรงอีกครั้ง(เหมือนมิติที่ 1)แต่เป็นคนละอันกันทั้งหมด หมายถึงจักรวาลหรือเอกภพจำนวนมาก ที่วางเรียงกัน นั่นเอง การเคลื่อนที่ในมิตินี้ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ จะยิ่งมีตัวแปลเพิ่มขึ้นจากเดิม และไม่สามารถคิดถึงลักษณะการระบุตำแหน่งได้เลย อาจจะเป็นพิกัดจักรวาลอันไหน เป็นต้น
@สิ่งมีชีวิต=ไม่อาจระบุได้ แต่อาจจะสามารถเดินทางไปยังเส้นเวลาต่างๆได้อย่างอิสระทั้งที่มีจุดกำเนิดเดียวกันหรือไม่ก็ตามและเดินทางไปยังจักรวาลอันไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ ไม่สิ้นสุด แต่ต้องเป็นแนวเส้นตรงเท่านั้น ด้านหน้าด้านหลัง เท่านั้น
@เทคโนโลยีที่เทียบได้= การเดินทางข้ามไปยังจักรวาลอื่นๆ ณ ที่ใดก็ได้ เวลาใดก็ได้ แบบหน้า-หลัง
@พลังงานหลัก=ไม่ทราบ
มิติที่ 8 จักรวาลต่างๆในเวอร์ชั่นความเป็นไปได้ในรูปแบบต่างๆ แบบกึ่งสัมบูรณ์(ไม่รู้จะตั้งยังไงแล้ว 555) -plane of all possibles of any universes
เมื่อมาถึงมิตินี้ จะเริ่มมองเห็นแล้วว่า แม้แต่จักรวาลอื่นๆเอง เขาก็มีความเป็นไปได้ต่างๆ ในรูปแบบของเขาเอง ที่ต่างจากจักรวาลของเรา เป็นการนำเอาเส้นตรงของจักรวาลต่างๆที่เรียงต่อกันมายืดออกเป็นพื้นที่(แบบมิติที่ 2) ทำให้เห็นจักรวาลอื่นๆในรูปแบบความเป็นไปได้ต่างๆที่มีจุดกำเนิดจากจักรวาลแต่ละอัน เป็นจักรวาลแต่ละอันในเวอร์ชั่นต่างๆ ซ้อนอยู่เรียงกันหนาแน่น จำนวนมาก ในรูปแบบขนานกันเป็นพื้นที่ นั่นเอง การเคลื่อนที่ในมิตินี้ ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายได้ เช่นกัน
@สิ่งมีชีวิต=ไม่อาจระบุได้
@เทคโนโลยีที่เทียบได้= เทคโนโลยีที่สามารถเดินทางไปยังจักรวาลใดก็ได้ ณ ที่ใดก็ได้ เวลาใดก็ได้ เวอร์ชั่นไหนก็ได้ ที่มีจุดกำเนิดแบบเดียวกัน
และยังสามารถไปยังจักรวาลอื่นได้ทั้ง 8 ทิศทาง ไม่จำกัดแค่เฉพาะแนวหน้า-หลัง อีกต่อไป
@พลังงานหลัก=ไม่ทราบ
มิติที่ 9 จักรวาลต่างๆในทุกความเป็นไปได้ ในทุกๆเวอร์ชั่นในทุกๆแบบ ทั้งที่มีจุดกำเนิดเดียวกันหรือต่างกันก็ได้ หรือจักรวาลคู่ขนาน แบบสัมบูรณ์ -all possible of absolute different universes
เมื่อมาถึงมิตินี้ นอกจากจะเห็นว่า แต่ละจักรวาลทุกๆจักรวาลต่างก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเองทั้งสิ้น ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ความเป็นไปได้ต่างๆทั้งกำเนิดจากจุดเดียวกัน หรือต่างกันก็ได้ ซึ่งแต่ละจักรวาล ก็ล้วนเป็นเอกเทศจากกันทั้งสิ้น หรือเป็นการนำเอากลุ่มจักรวาลที่อยู่ติดกันเป็นพื้นที่ มาขยายออกเป็นทรงปริมาตรเข้าไปอีกที(แบบมิติที่ 3) จนเกินเป็นกลุ่มจักรวาลแบบต่างๆที่อยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ในลักษณะกลุ่มก้อน นั่นเอง
@สิ่งมีชีวิต=ไม่อาจระบุได้
@เทคโนโลยีที่เทียบได้= เทคโนโลยีที่สามารถเดินทางไปยังจักรวาลใดก็ได้ ที่ใดก็ได้ เวลาใดก็ได้ เวอร์ชั่นไหนก็ได้ ไม่ว่าจะมีจุดกำเนิดเดียวกันหรือไม่ก็ตาม แบบ 10 ทิศทาง ไม่จำกัดแค่แนวขนานพื้นราบอีกต่อไป ไร้ข้อจำกัดโดยสิ้นเชิง ต่างจากมิติล่างๆทั้งหมด
@พลังงานหลัก=ไม่ทราบ
มิติทั้ง 11 ในธรรมชาติ ผมเข้าใจถูกมั้ยครับ ?
มิติ หมายถึง การวัดระยะจากสิ่งหนึ่ง ไปยังอีกสิ่งหนึ่ง และระหว่างสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม มิติคือโครงสร้างพื้นฐานของธรรมชาติและจักรวาล การเคลื่อนที่เกิดขึ้นได้ เพราะเรารู้จักเรื่องมิติ หรือการวัดระยะ นั่นเอง หากวัดระยะไม่ได้ คงไม่มีการเคลื่อนที่ใดๆเกิดขึ้น...
นักฟิสิกส์สันนิษฐานว่ามีมิติอยู่ราว 10,11,26 มิติ (ทฤษฎี m และ super string) และยังเอาแน่นอนไม่ได้ว่ามีเท่าไรกันแน่ แต่กล่าวถึงบ่อยที่สุด จะเป็น 11 มิติ... ปัจจุบันค้นพบแล้ว 4 มิติ...ด้วยกัน ที่เหลือยังอยู่ในขั้นวิจัย+สันนิษฐานล้วนๆ มิติที่สูงขึ้นจะมีขนาดเล็กลงๆ เรื่อยๆ โดยมิติสูงๆจะมีขนาดที่เล็กเกินกว่าจะประมาณได้... โดยแต่ละมิติ คือการวางซ้อนกัน+รวมกัน ไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่มิติที่ 4 ขึ้นไปจะมีขนาดเล็กกว่าอะตอมลงไปเรื่อยๆ... เรียกกันตามภาษา sci-fi ว่า มิติควอนตัม
มิติที่ 0 =จุดเฉยๆ
เป็นจุดจุดหนึ่ง ที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ในมิตินี้ได้ เนื่องจากพื้นที่แทบเป็น 0 ในทุกระยะ/ทิศทาง
@สิ่งมีชีวิต=ไม่มี
@เทคโนโลยีที่เทียบได้=ไม่มี
@พลังงานหลัก=ไม่มี
มิติที่ 1= เส้นตรง
เป็นจุดหลายจุดที่วางเรียงกันมากๆ จนเกิดระยะ เป็นเส้นตรง ทุกสิ่งในมิตินี้เคลื่อนที่ได้เพียง 2 ทิศทาง
@สิ่งมีชีวิต=ไม่มี
@เทคโนโลยีที่เทียบได้= ไม้บรรทัด ,เครื่องวัดระยะแนวตรงหรือทิศทางเดียวต่างๆ,รางและรถไฟ
@พลังงานหลัก=ไม่ทราบ
มิติที่ 2 = พื้นที่(area)
เป็นเส้นจำนวนมากที่นำมาต่อเรียงกันจนเกิดระยะในทุกทิศทางแบบขนานแบนราบ...(8 ทิศ) หรือที่โล่งกว้าง ที่ไม่มีความหนานั่นเอง ในมิตินี้เคลื่อนที่ได้อิสระแทบทุกทิศทาง ยกเว้น ด้านบน-ล่าง และต้องคำนึงถึงตำแหน่งแบบละติจูด-ลองจิจูด
@สิ่งมีชีวิต=สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ขนานกับพื้นโลกแทบทั้งหมด ที่เคลื่อนที่แบบกระโดดขึ้นสูงไม่ได้ เช่น มด วัว หนู หนอน
@เทคโนโลยีที่เทียบได้=รถยนต์ เรือ เกวียน เครื่องมือวัดพื้นที่ ,สิ่งที่เคลื่อนที่ในแนวราบทั้งหมด
@พลังงานหลัก=พลังงานจลน์จากแรงกาย,จากเชื้อเพลิงต่างๆ
มิติที่ 3 = ปริมาตร,ปริภูมิ(cube or place or space)
เป็นพื้นที่จำนวนมากวางต่อกันซ้อนกัน จนเกิดระยะเป็น"ปริมาตร" เพิ่มทิศทางด้านบนและล่างเข้าไป(depth) หรือความลึก ในมิตินี้การเคลื่อนที่สามารถทำได้อิสระในทุกทิศทาง 10 ทิศ (หากมีพลังงานพอ) ตัวอย่างมิตินี้คือ โลก, สถานที่ ทุกแห่งที่ต้องวัดด้วยความ กว้าง×ยาว×หนาหรือลึก-สูง การเคลื่อนที่ในมิตินี้ ต้องคำนึงถึงพิกัดความลึกหรือความสูงของพื้นที่เพิ่มเข้ามา
@สิ่งมีชีวิต=นก ลิง มนุษย์ ,สิ่งมีชีวิตที่กระดูกสันหลังตั้งฉากกับพื้นโลกเป็นส่วนใหญ่ สามารถเคลื่อนที่ได้อิสระในทุกทิศทาง ทั้ง 10 ทิศ สามารถกระโดด หรือขึ้นสู่ที่สูงได้
@เทคโนโลยีที่เทียบได้= เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ จรวดเชื้อเพลิงที่ขับดันแบบปล่อยออกทางท้ายลำ, พาหนะที่เคลื่อนที่ได้ทั้ง 10 ทิศทาง, เครื่องขุดเจาะใต้ดิน ,เรขาคณิตแบบ 3 มิติ
@พลังงานหลัก=นิวเคลียร์ฟิชชั่น, พลังงานจากเชื้อเพลิงขับดันต่างๆ
มิติที่ 4= เวลา(time)
เป็นปริมาตรจำนวนมาก ที่นำมาเรียงต่อกันซ้อนกัน จนเกิดระยะเป็น"เวลา"เช่น ไทม์ไลน์ มีลักษณะคล้ายมิติที่ 1 ที่เวลาเดินจากอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต แบบเส้นตรง ลักษณะคือ ปริมาตรในช่วงเวลาต่างๆ ที่ซ้อนกันนั่นเอง ตย.เช่น สี่เหลี่ยมในอดีต สี่เหลี่ยมในปัจจุบัน และสี่เหลี่ยมในอนาคต ที่วางซ้อนกัน หมายความว่าเวลากับสถานที่(ปริมาตร)เกี่ยวข้องกันโดยตรง เรียกว่า กาล-อวกาศ หรือ ปริภูมิ-เวลา(spacetime) ดังนั้นในสถานที่เดียวกัน อาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ หากเวลาผ่านไป...(อธิบายให้เก็ทได้ยากมาก 555) การเคลื่อนที่ในมิตินี้ต้องคำนึงถึง กาล-อวกาศ มิเช่นนั้นจะไม่สามารถเคลื่อนที่อย่างแม่นยำได้ ต้องเพิ่มตัวแปร เช่นพิกัดเวลา เป็นต้น ตย.มิติที่ 4 คือ อวกาศ และทุกๆที่
*ตย.ที่ง่ายที่สุดเช่น การใส่ชุดให้ถูก"กาละ-เทศะ"แปลว่า ควรใส่ให้ถูก"ที่"และถูก"เวลา" เป็นต้น แสดงว่าเวลากับสถานที่เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน นั่นเอง
@สิ่งมีชีวิต = ไม่อาจทราบรูปร่างที่แน่นอนได้ แต่สามารถเข้าถึงเส้นเวลา ได้อย่างอิสระแบบ 1 มิติ หน้า-หลัง(อดีต-อนาคต) แต่ได้เพียงเส้นเวลาเดียวเท่านั้น...
@เทคโนโลยีที่เทียบได้= ยานอวกาศความเร็วสูงระหว่างดวงดาว(starship) ,พาหนะต่างๆที่เดินทางได้อย่างอิสระในจักรวาลในทุกทิศทาง,เครื่องสร้างความโน้มถ่วงเทียม,หลักการทำนายอนาคต,เรขาคณิตแบบ tesseract,ดาวเทียม,การสื่อสารแบบควอนตัม,การเดินทางไปในอนาคตหรืออดีตแบบเส้นตรง
@พลังงานหลัก=นิวเคลียร์ฟิวชั่น
มิติที่ 5 ความเป็นไปได้ต่างๆหรือโอกาส(โลกคู่ขนานแบบกึ่งสัมบูรณ์ เพราะยังมาจากจุดกำเนิดเดียวกัน) -chance and probability
เป็นการนำเอาปริภูมิเวลาจำนวนมากมาวางซ้อนกันอีกที จนเกิดระยะเป็น"โอกาสความเป็นไปได้แบบต่างๆ" ในมิตินี้จากเดิมที่เวลาเดินเป็นเส้นตรงแบบ 1 มิติก็จะถูกขยายออกเป็น 2 มิติ(นำเอาเวลามากางออกเป็นพื้นที่) คือเพิ่มความเป็นไปได้ในแบบต่างๆทั้งหมดที่มีจุดกำเนิดมาจากจุดเดียวกัน ทั้งในอดีตและอนาคต การเคลื่อนที่ในมิตินี้ สามารถอยู่ในหลายตำแหน่งในเวลาเดียวกันได้เหมือนกับการแยกร่าง การเคลื่อนที่ในมิตินี้ต้องคำนึงถึงตัวแปรหนึ่งที่เพิ่มขึ้นจากมิติที่ 4 (กาล-อวกาศ) เช่น พิกัดความเป็นไปได้อันไหน, พิกัดร่างไหน(เดามั่ว 555) เป็นต้น เพราะมิตินี้เข้าถึงความเป็นไปได้ ทุกรูปแบบในวัตถุเดียวกัน ได้ไม่สิ้นสุด(แต่จุดกำเนิดเดียวกัน)
@สิ่งมีชีวิต=เหนือกว่าจะจินตนาการได้ แต่สามารถเข้าถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต(อยู่หลายที่ในเวลาเดียวกัน) ไปได้ในทุกเส้นเวลา เข้าใจเวลาได้อย่างถ่องแท้
@เทคโนโลยีที่เทียบได้= การเดินทางข้ามเวลาและความเป็นไปได้ในแบบต่างๆ หรือการข้ามเวลาแบบหลายเส้นทาง,เรขาคณิตแบบ 5 มิติ
@พลังงานหลัก=พลังงานจากปฏิสสาร
มิติที่ 6 ความเป็นไปได้ทั้งหมดทุกรูปแบบ จากจุดกำเนิดเดียวกัน หรือ โลกคู่ขนานแบบสมบูรณ์(ตั้งเอง) หรือเอกภพสมบูรณ์ -all possible universes branching
เป็นการนำเอาความเป็นไปได้ต่างๆ มาวางซ้อนกันอีก หรือนำเอาเวลาที่เป็น 2 มิติมาขยายเพิ่มเป็น 3 มิติ(จากเดิมที่เป็นพื้นที่ คราวนี้เวลาถูกทำให้เป็นทรงปริมาตร เพิ่มเข้ามา)จนเกิดเป็นระยะ ที่เพิ่ม"ความเป็นไปได้ทั้งหมด ในทุกรูปแบบ ทุกทิศทาง" ทิศทางที่ถูกเพิ่มให้แก่เวลาคือทิศทางบน-ล่าง หรือ จุดกำเนิดของเวลาที่แตกต่างกันทั้งหมดภายใน 1 จักรวาล ตย.เช่น ตัวตนเดียวกัน คนเดียวกัน ลักษณะกายภาพเหมือนกัน วัตถุเดียวกัน แต่จุดกำเนิดและเส้นเวลาต่างกันทั้งหมด ความเป็นไปได้ต่างๆ ก็ต่างกันอีกเช่นกัน จึงสามารถนับได้ว่าจะเป็นคนเดียวกันหรือคนละคนกันก็ได้... การเคลื่อนที่ในมิตินี้ ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ เพราะต้องคำนึงถึงหลายตัวแปร ที่เพิ่มจากมิติที่ 5 เช่น อาจจะเป็น พิกัดจุดกำเนิดอันไหน เพราะมิตินี้สามารถเข้าถึงจุดกำเนิดที่ต่างแบบกันได้ไม่สิ้นสุด(แต่เฉพาะในจักรวาลนี้)
@สิ่งมีชีวิต=ไม่สามารถระบุได้ แต่คาดว่าสามารถเข้าถึงโลกคู่ขนานได้นับไม่ถ้วน แต่ยังอยู่ในจักรวาลนี้
@เทคโนโลยีที่เทียบได้=การเดินทางไปยังโลกคู่ขนาน ที่ต่างจากโลกเดิมแทบทั้งหมด
@พลังงานหลัก=ไม่ทราบ
มิติที่ 7 พหุจักรวาลหรือพหุภพ(ตั้งเอง) -multiverses
เป็นการนำเอาความเป็นไปได้ต่างๆที่เกิดจากจุดกำเนิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง(ขอเรียกว่าเอกภพ) หรือเอกภพมาวางซ้อนทับกัน จนเกิดเป็นระยะแบบ"ต่างจักรวาล"หรือต่างภพ" ที่มีองค์ประกอบหลักแบบเดียวกันหรือคล้ายกันหรือต่างกันก็ได้ และเป็นคนละจักรวาลหรือเอกภพกัน แต่ละจักรวาลก็จะมี องค์ประกอบหลักคือทั้ง 6 มิติที่ต่ำกว่าทั้งหมด แต่เป็นคนละจักรวาลกันทั้งหมด และไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆต่อกัน รวมถึงอาจมีกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ที่ต่างกันอีกด้วย(เพราะเป็นคนละจักรวาลกันเลย) ตย.ที่ง่ายที่สุดคือการนึกภาพลักษณะของมิติที่ 6 มาวางซ้อนเรียงกันจำนวนมาก จนเกิดเป็นเส้นตรงอีกครั้ง(เหมือนมิติที่ 1)แต่เป็นคนละอันกันทั้งหมด หมายถึงจักรวาลหรือเอกภพจำนวนมาก ที่วางเรียงกัน นั่นเอง การเคลื่อนที่ในมิตินี้ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ จะยิ่งมีตัวแปลเพิ่มขึ้นจากเดิม และไม่สามารถคิดถึงลักษณะการระบุตำแหน่งได้เลย อาจจะเป็นพิกัดจักรวาลอันไหน เป็นต้น
@สิ่งมีชีวิต=ไม่อาจระบุได้ แต่อาจจะสามารถเดินทางไปยังเส้นเวลาต่างๆได้อย่างอิสระทั้งที่มีจุดกำเนิดเดียวกันหรือไม่ก็ตามและเดินทางไปยังจักรวาลอันไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ ไม่สิ้นสุด แต่ต้องเป็นแนวเส้นตรงเท่านั้น ด้านหน้าด้านหลัง เท่านั้น
@เทคโนโลยีที่เทียบได้= การเดินทางข้ามไปยังจักรวาลอื่นๆ ณ ที่ใดก็ได้ เวลาใดก็ได้ แบบหน้า-หลัง
@พลังงานหลัก=ไม่ทราบ
มิติที่ 8 จักรวาลต่างๆในเวอร์ชั่นความเป็นไปได้ในรูปแบบต่างๆ แบบกึ่งสัมบูรณ์(ไม่รู้จะตั้งยังไงแล้ว 555) -plane of all possibles of any universes
เมื่อมาถึงมิตินี้ จะเริ่มมองเห็นแล้วว่า แม้แต่จักรวาลอื่นๆเอง เขาก็มีความเป็นไปได้ต่างๆ ในรูปแบบของเขาเอง ที่ต่างจากจักรวาลของเรา เป็นการนำเอาเส้นตรงของจักรวาลต่างๆที่เรียงต่อกันมายืดออกเป็นพื้นที่(แบบมิติที่ 2) ทำให้เห็นจักรวาลอื่นๆในรูปแบบความเป็นไปได้ต่างๆที่มีจุดกำเนิดจากจักรวาลแต่ละอัน เป็นจักรวาลแต่ละอันในเวอร์ชั่นต่างๆ ซ้อนอยู่เรียงกันหนาแน่น จำนวนมาก ในรูปแบบขนานกันเป็นพื้นที่ นั่นเอง การเคลื่อนที่ในมิตินี้ ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายได้ เช่นกัน
@สิ่งมีชีวิต=ไม่อาจระบุได้
@เทคโนโลยีที่เทียบได้= เทคโนโลยีที่สามารถเดินทางไปยังจักรวาลใดก็ได้ ณ ที่ใดก็ได้ เวลาใดก็ได้ เวอร์ชั่นไหนก็ได้ ที่มีจุดกำเนิดแบบเดียวกัน
และยังสามารถไปยังจักรวาลอื่นได้ทั้ง 8 ทิศทาง ไม่จำกัดแค่เฉพาะแนวหน้า-หลัง อีกต่อไป
@พลังงานหลัก=ไม่ทราบ
มิติที่ 9 จักรวาลต่างๆในทุกความเป็นไปได้ ในทุกๆเวอร์ชั่นในทุกๆแบบ ทั้งที่มีจุดกำเนิดเดียวกันหรือต่างกันก็ได้ หรือจักรวาลคู่ขนาน แบบสัมบูรณ์ -all possible of absolute different universes
เมื่อมาถึงมิตินี้ นอกจากจะเห็นว่า แต่ละจักรวาลทุกๆจักรวาลต่างก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเองทั้งสิ้น ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ความเป็นไปได้ต่างๆทั้งกำเนิดจากจุดเดียวกัน หรือต่างกันก็ได้ ซึ่งแต่ละจักรวาล ก็ล้วนเป็นเอกเทศจากกันทั้งสิ้น หรือเป็นการนำเอากลุ่มจักรวาลที่อยู่ติดกันเป็นพื้นที่ มาขยายออกเป็นทรงปริมาตรเข้าไปอีกที(แบบมิติที่ 3) จนเกินเป็นกลุ่มจักรวาลแบบต่างๆที่อยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ในลักษณะกลุ่มก้อน นั่นเอง
@สิ่งมีชีวิต=ไม่อาจระบุได้
@เทคโนโลยีที่เทียบได้= เทคโนโลยีที่สามารถเดินทางไปยังจักรวาลใดก็ได้ ที่ใดก็ได้ เวลาใดก็ได้ เวอร์ชั่นไหนก็ได้ ไม่ว่าจะมีจุดกำเนิดเดียวกันหรือไม่ก็ตาม แบบ 10 ทิศทาง ไม่จำกัดแค่แนวขนานพื้นราบอีกต่อไป ไร้ข้อจำกัดโดยสิ้นเชิง ต่างจากมิติล่างๆทั้งหมด
@พลังงานหลัก=ไม่ทราบ