ผู้ลี้ภัยเวียดนาม ขอความช่วยเหลือ ถูกตร.ไทยส่งตัวกลับ ทั้งที่อยู่ในความคุ้มครอง UNHCR
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4624410
‘กัณวีร์’ เผย ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม ขอความช่วยเหลือด่วน หลังถูกตำรวจไทยจับกุมตัว แม้จะอยู่ในความคุ้มครองของ UNHCR ขณะที่ผู้ลี้ภัยอัดคลิป วอนรัฐบาลประชาธิปไตย ขออย่าส่งตัวกลับไปเผชิญอันตราย
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน นาย
กัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยถึงกรณีที่ทางการไทย จับกุมผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม ที่ได้รับความคุ้มครองจาก UNHCR และล่าสุดถูกนำเข้าสู่กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับประเทศต้นทาง ตามกระบวนการยุติธรรมไทย เรียบร้อยแล้ว
นาย
กัณวีร์ กล่าวว่า กรณีนี้น่าจับตาดูอย่างมาก เพราะมีความเสี่ยงสูงที่ไทยจะส่งผู้ลี้ภัยรายนี้กลับประเทศต้นทาง โดยใช้กรอบความร่วมมือในการส่งผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางอาญามาปรับใช้ จึงขอให้ความเห็นในหลักการว่า เรื่องนี้คงไม่น่ามีปัญหาใดๆ หากเป็นแค่การร้องขอเพื่อดำเนินคดีทางอาญากับผู้กระทำความผิดจริงๆ แต่จะยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นตรงที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ผู้ลี้ภัยที่อ้างว่าตนไม่เกี่ยวข้องและบริสุทธิ์ ซึ่งเชื่อมโยงกับการให้ความคุ้มครองระหว่างประเทศตามจารีตประเพณีระหว่างประเทศในหลักการไม่ส่งกลับ (non-refouelment principle) ซึ่งปรับใช้ทั่วโลก เป็นจารีตประเพณีที่ใช้กับทุกประเทศ โดย ไม่ต้องลงนามใดๆ
“
ประเทศไทยยังเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และอนุสัญญาป้องกันการซ้อมทรมาน หรือ CAT รวมถึง ของไทยเราเองก็ยังมี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย ที่ห้ามมิให้รัฐส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปอีกรัฐหนึ่ง ที่อาจจะเกิดอันตรายต่อบุคคลนั้น”
นาย
กัณวีร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องนี้อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องของคนเพียงคนเดียว และเป็นไปตามหลักฐานทางคดี ซึ่งตนเองก็เชื่อเช่นเดียวกันว่าเป็นไปตามหลักฐาน ที่ไทยต้องพิจารณาให้ดี พิสูจน์หลักฐานให้ได้ตามคำร้องของประเทศต้นทางว่าผู้ลี้ภัยคนนี้เกี่ยวข้องใดๆ หรือไม่อย่างไร กับข้อกล่าวหาว่าเขาได้กระทำผิด ต้องว่าไปตามพยานหลักฐานว่าเข้าไทยเมื่อไหร่ เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนไหน ซึ่งกรอบกฎหมายระหว่างประเทศทั้งหมดในโลกนี้จะไม่คุ้มครองคนกระทำผิดทางอาญาอย่างแน่นอน
“
ใครทำผิดต้องได้รับโทษ หากใครไม่ได้กระทำความผิด ก็ต้องได้รับความยุติธรรมด้วยเช่นกัน มันต้องปรับใช้ทั่วโลกให้ได้ แต่เราเริ่มก่อนมั้ยครับในประเทศเรา”
นาย
กัณวีร์ กล่าวย้ำว่า ตนติดตามภาคประชาสังคมและส่วนราชการจัดการเรื่องดังกล่าวอยู่นานพอควร เพราะอยากให้เป็นไปตามกระบวนการจริงๆ แต่สุดท้ายตนกังวลว่ามันจะกลับมารูปแบบเดิม คือการมองแค่มุมใดมุมเดียวแล้วตัดสินใจโดยอ้างหลักฐานมุมเดียว แล้วจบคดีไป
“
ถ้าโทษก็คงต้องโทษกระบวนการตั้งถิ่นฐานใหม่ ณ ประเทศที่สามด้วยเช่นกัน ช้าไปมาก 2 ปีสำหรับการได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจาก UNHCR และ 4 ปี สำหรับการสัมภาษณ์เพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่จนถูกจับ ผมอยู่ในงานด้านนี้มาพอสมควรจนทราบดีครับว่าเคสนี้ช้าไปมาก ทางการไทยปิดตาข้างเดียวมา 6 ปี ให้เขาอยู่ในไทยแล้ว เพราะไม่มีกฎหมายใดๆ รองรับผู้ลี้ภัยในไทยครับ ต้องขอบคุณส่วนราชการไทยครับที่ผ่อนกันเต็มที่ แต่ก็เข้าใจฝั่งของสหประชาชาติและประเทศที่ 3 ด้วยครับ”
นาย
กัณวีร์ กล่าวย้ำว่า เรื่องนี้ที่กังวลคือ หากผัลี้ภัยขอต่อสู้คดีไป จนสุดท้ายถึงขั้นตอนขออุทธรณ์ประมาณ 2 ปี เมื่อเรื่องเงียบ ก็จะส่งกลับประเทศต้นทาง ดังนั้นจึงต้องมองหลายด้านสำหรับเรื่องผู้ลี้ภัย ทั้งทางนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มนุษยธรรม และสิทธิมนุษยชน งานยากพอสมควร แต่เชื่อว่าทางการไทยทำได้และทำได้ดีด้วย
“
ผมจะตามเฝ้าดูเหตุการณ์นี้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงผลสุดท้ายว่าผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามคนนี้จะไปอยู่ที่ไหนครับ” นาย
กัณวีร์ กล่าวย้ำ
สำหรับผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามรายนี้ ได้อัดคลิปวีดีโอ เพื่อขอความช่วยเหลือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2567 ก่อนที่จะถูกตำรวจไทยจับกุมตัวเมื่อคืนวันที่ 11 มิ.ย.67 ข้อความในคลิประบุตัวตน นาย Y Quynh Bdap เป็นชาวเวียดนามที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Montagnards Stand For Justice Organisation ทำงานเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการนับถือศาสนาและสนับสนุนสิทธิของประชาชน ที่ผ่านมาได้ทำกิจกรรมอย่างสงบ ในการรวบรวมและเขียนรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเวียดนามเท่านั้น
ผู้ลี้ภัยรายนี้ ระบุว่า เดินทางมาประเทศไทยเพื่อขอลี้ภัยในปี 2561 และได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากสหประชาชาติ เค้ารู้สึกหวั่นใจที่รัฐบาลเวียดนามกล่าวหาว่าเขาได้เข้าร่วมการจลาจลเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2566 และตัดสินจำคุก 10 ปี แต่ความจริงเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในเวียดนามตามที่ถูกกล่าวหาเมื่อปลายปี 2566 เจ้าหน้าที่ของเวียดนามได้พยายามจับกุมเขา โดยส่งสายลับมายังประเทศไทยเพื่อค้นหาและจับกุมในไทย
ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม กล่าวว่า ผู้คนจำนวนมากในกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม ถูกตำรวจจับกุมและสอบปากคำเพื่อบังคับให้เปิดเผยที่อยู่ของเขา ด้วยความหวาดกลัวเรื่องความปลอดภัยของครอบครัวและตัวเขาเอง เขาจึงซ่อนตัวมาเป็นเวลาหกเดือนแล้ว แต่เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2567 ตำรวจไทยพบที่ตั้งของเขาและได้ปิดล้อมสถานที่พักไว้
“
ขณะนี้ สถานการณ์ของผมอันตรายอย่างยิ่ง ผมอาจถูกตำรวจไทยจับกุมเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นผมจึงขอความช่วยเหลือจากสหประชาชาติ องค์กรพัฒนาเอกชน และรัฐบาลของประเทศประชาธิปไตย โปรดปกป้องผมด้วย อย่าปล่อยให้พวกเขาจับกุมและพาผมกลับเวียดนาม เช่นเดียวกับในกรณีของ Thung Duy Nhat และ Thai van Doung ฉันขอขอบคุณอย่างจริงใจสำหรับความห่วงใยของคุณ ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่าน.” นาย
Y Quynh Bdap กล่าวไว้ในคลิปวิดีโอ ก่อนที่จะถูกตำรวจไทยจับตัวไป
งานเข้า กกต.อีก เลขบัตรประชาชนผู้สมัคร ส.ว. หลุดกว่า 2 หมื่นชื่อ!
https://www.matichon.co.th/politics/news_4624756
งานเข้า กกต.อีก เลขบัตรประชาชนผู้สมัคร ส.ว. หลุดกว่า 2 หมื่นชื่อ!
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน เฟซบุ๊ก PDPC ของ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เปิดเผยว่า จากกรณี มีการเปิดเผยรายชื่อและเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ผ่านการคัดเลือก ส.ว. ระดับอำเภอ จำนวนกว่า 20,000 ราย จนเกิดเป็นกระแสบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล
ศูนย์ PDPC Eagle Eye โดย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ได้ประสานไปยัง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สำนักงาน กกต.) เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว และชี้แจงข้อเท็จจริง รวมทั้งให้ประสานผู้ที่ได้เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวให้ระงับการเผยแพร่ทันที และให้ประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งประชาชนไม่ให้นำข้อมูลดังกล่าวไปแชร์ต่อ โดยศูนย์ PDPC Eagle Eye จะทำการติดตามเฝ้าระวัง และตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง หากพบการรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคล ทางศูนย์ฯ จะเร่งประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แก้ไขและปรับปรุงมาตรการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทันที
ทั้งนี้ จากสถิติการทำงานเชิงรุกของศูนย์ PDPC Eagle Eye ตามมติ ครม. ได้ทำการตรวจสอบติดตามเฝ้าระวังการละเมิดและการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล จำนวน 26,301 หน่วยงาน พบว่าจากเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงเดือนพฤษภาคม 2567 การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลลดลงจาก 31.40% เหลือ 1.21%
สำหรับผู้ที่ต้องการแจ้งเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือกฎหมาย PDPA สามารถดำเนินการได้ทาง
• ยื่นเรื่องต่อสำนักงานโดยตรง ที่ศูนย์ให้คำปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียน PDPA Center
• ยื่นผ่านไปรษณีย์ ศูนย์บริการประชาชน PDPA Center อาคารศูนย์บริการลูกค้า 99 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210
• ยื่นผ่านอีเมล saraban@pdpc.or.th
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูล ผู้สมัคร ส.ว. ที่ผ่านเข้ารอบระดับจังหวัด มีมากกว่า 23000 รายชื่อ แต่ละรายชื่อมี การระบุเลขบัตรประชาชนครบถ้วน มีการส่งต่อเป็นไฟล์ excel จำนวน 657 หน้า ซึ่งเป็นข้อมูลภายในที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ กกต.
ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองข้อมูลส่วนบคุคล พ.ศ. 2562 มาตรา 27 ระบุ ห้ามมิให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมได้โดยได้รับยกเว้น
โดยหากฝ่าฝืน มีโทษทางอาญา ตามมาตรา 79 ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 27 วรรคหนึ่งหรือวรรคสองหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 28 อันเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลตามมาตรา 26 โดยประการที่น่าจะทำให้ ผู้อื่นเกิดความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน5แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะที่ โทษความรับผิดทางแพ่ง ระบุ มาตรา 77 ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้นแก่เจ้าของข้อมูล ส่วนบุคคล ไม่ว่าการดำเนินการนั้นจะเกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อหรือไม่ก็ตาม
เว้นแต่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะพิสูจน์ได้ว่า ความเสียหายนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัย หรือเกิดจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเอง และเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย
https://www.facebook.com/pdpc.th/posts/pfbid025E7VEf7oSQcRpWg8EjJavuQeR1w46UvBmRNDE8AgYQ8ZQBu5vU6TNdgC7n1qRDT2l
เวิลด์แบงก์เตือน ปี 2024-26 เศรษฐกิจทั่วโลกโตต่ำกว่าก่อนโควิด แต่ดอกเบี้ยสูงเป็น 2 เท่า
https://www.prachachat.net/world-news/news-1584851
ธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ ประมาณการเศรษฐกิจโลกปีนี้โต 2.6% เตือนในช่วงปี 2024-2026 เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ เกือบทั่วโลกจะโตต่ำกว่าก่อนโควิด ขณะที่ดอกเบี้ยทั่วโลกจะสูงเป็น 2 เท่าของช่วงก่อนโควิด แนะเพิ่มการลงทุนภาครัฐหนุนเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2024 ธนาคารโลก (World Bank) เผยแพร่คาดการณ์เศรษฐกิจโลกฉบับปรับปรุงใหม่ โดยประมาณการว่าเศรษฐกิจโลกปี 2024 นี้จะเติบโต 2.6% ปรับเพิ่มขึ้นกว่าประมาณการครั้งก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมกราคมที่คาดว่าจะโต 2.4% ถึงอย่างนั้นก็ตาม อัตราการเติบโต 2.6% นั้นเป็นอัตราที่ทรงตัวเท่ากับปี 2023 ส่วนในปี 2025-2026 เศรษฐกิจโลกจะโตเฉลี่ย 2.7% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3.1% ในช่วงทศวรรษก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 มาก
ตัวเลขคาดการณ์บอกเป็นนัยว่าในช่วงปี 2024-2026 เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ที่รวมกันเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของประชากรโลกและจีดีพีโลก จะยังคงเติบโตช้ากว่าอัตราที่เคยเติบโตในทศวรรษก่อนเกิดโควิด-19
ภาพโดยรวมของประเทศกำลังพัฒนา คาดว่าจะเติบโตโดยเฉลี่ย 4% ในช่วงปี 2024-2025 ซึ่งช้ากว่าปี 2023 เล็กน้อย
ส่วนกลุ่มประเทศรายได้น้อยคาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจะเร่งตัวขึ้นเป็น 5% ในปี 2024 จากที่โต 3.8% ในปี 2023 อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ครั้งนี้มีการปรับลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ 3 ใน 4 ของประเทศที่มีรายได้น้อยทั้งหมดลงจากประมาณการครั้งก่อนหน้านี้
ส่วนในประเทศที่พัฒนาแล้ว คาดว่าการเติบโตจะคงที่อยู่ที่ 1.5% ในปี 2024 ก่อนที่จะโต 1.7% ในปี 2025
JJNY : ผู้ลี้ภัยเวียดนามขอความช่วยเหลือ│งานเข้ากกต.อีก│เวิลด์แบงก์เตือน ปี 2024-26│ญี่ปุ่นเผชิญ “วันอากาศร้อนสุดขีด”
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4624410
‘กัณวีร์’ เผย ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม ขอความช่วยเหลือด่วน หลังถูกตำรวจไทยจับกุมตัว แม้จะอยู่ในความคุ้มครองของ UNHCR ขณะที่ผู้ลี้ภัยอัดคลิป วอนรัฐบาลประชาธิปไตย ขออย่าส่งตัวกลับไปเผชิญอันตราย
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยถึงกรณีที่ทางการไทย จับกุมผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม ที่ได้รับความคุ้มครองจาก UNHCR และล่าสุดถูกนำเข้าสู่กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับประเทศต้นทาง ตามกระบวนการยุติธรรมไทย เรียบร้อยแล้ว
นายกัณวีร์ กล่าวว่า กรณีนี้น่าจับตาดูอย่างมาก เพราะมีความเสี่ยงสูงที่ไทยจะส่งผู้ลี้ภัยรายนี้กลับประเทศต้นทาง โดยใช้กรอบความร่วมมือในการส่งผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางอาญามาปรับใช้ จึงขอให้ความเห็นในหลักการว่า เรื่องนี้คงไม่น่ามีปัญหาใดๆ หากเป็นแค่การร้องขอเพื่อดำเนินคดีทางอาญากับผู้กระทำความผิดจริงๆ แต่จะยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นตรงที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ผู้ลี้ภัยที่อ้างว่าตนไม่เกี่ยวข้องและบริสุทธิ์ ซึ่งเชื่อมโยงกับการให้ความคุ้มครองระหว่างประเทศตามจารีตประเพณีระหว่างประเทศในหลักการไม่ส่งกลับ (non-refouelment principle) ซึ่งปรับใช้ทั่วโลก เป็นจารีตประเพณีที่ใช้กับทุกประเทศ โดย ไม่ต้องลงนามใดๆ
“ประเทศไทยยังเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และอนุสัญญาป้องกันการซ้อมทรมาน หรือ CAT รวมถึง ของไทยเราเองก็ยังมี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย ที่ห้ามมิให้รัฐส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปอีกรัฐหนึ่ง ที่อาจจะเกิดอันตรายต่อบุคคลนั้น”
นายกัณวีร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องนี้อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องของคนเพียงคนเดียว และเป็นไปตามหลักฐานทางคดี ซึ่งตนเองก็เชื่อเช่นเดียวกันว่าเป็นไปตามหลักฐาน ที่ไทยต้องพิจารณาให้ดี พิสูจน์หลักฐานให้ได้ตามคำร้องของประเทศต้นทางว่าผู้ลี้ภัยคนนี้เกี่ยวข้องใดๆ หรือไม่อย่างไร กับข้อกล่าวหาว่าเขาได้กระทำผิด ต้องว่าไปตามพยานหลักฐานว่าเข้าไทยเมื่อไหร่ เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนไหน ซึ่งกรอบกฎหมายระหว่างประเทศทั้งหมดในโลกนี้จะไม่คุ้มครองคนกระทำผิดทางอาญาอย่างแน่นอน
“ใครทำผิดต้องได้รับโทษ หากใครไม่ได้กระทำความผิด ก็ต้องได้รับความยุติธรรมด้วยเช่นกัน มันต้องปรับใช้ทั่วโลกให้ได้ แต่เราเริ่มก่อนมั้ยครับในประเทศเรา”
นายกัณวีร์ กล่าวย้ำว่า ตนติดตามภาคประชาสังคมและส่วนราชการจัดการเรื่องดังกล่าวอยู่นานพอควร เพราะอยากให้เป็นไปตามกระบวนการจริงๆ แต่สุดท้ายตนกังวลว่ามันจะกลับมารูปแบบเดิม คือการมองแค่มุมใดมุมเดียวแล้วตัดสินใจโดยอ้างหลักฐานมุมเดียว แล้วจบคดีไป
“ถ้าโทษก็คงต้องโทษกระบวนการตั้งถิ่นฐานใหม่ ณ ประเทศที่สามด้วยเช่นกัน ช้าไปมาก 2 ปีสำหรับการได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจาก UNHCR และ 4 ปี สำหรับการสัมภาษณ์เพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่จนถูกจับ ผมอยู่ในงานด้านนี้มาพอสมควรจนทราบดีครับว่าเคสนี้ช้าไปมาก ทางการไทยปิดตาข้างเดียวมา 6 ปี ให้เขาอยู่ในไทยแล้ว เพราะไม่มีกฎหมายใดๆ รองรับผู้ลี้ภัยในไทยครับ ต้องขอบคุณส่วนราชการไทยครับที่ผ่อนกันเต็มที่ แต่ก็เข้าใจฝั่งของสหประชาชาติและประเทศที่ 3 ด้วยครับ”
นายกัณวีร์ กล่าวย้ำว่า เรื่องนี้ที่กังวลคือ หากผัลี้ภัยขอต่อสู้คดีไป จนสุดท้ายถึงขั้นตอนขออุทธรณ์ประมาณ 2 ปี เมื่อเรื่องเงียบ ก็จะส่งกลับประเทศต้นทาง ดังนั้นจึงต้องมองหลายด้านสำหรับเรื่องผู้ลี้ภัย ทั้งทางนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มนุษยธรรม และสิทธิมนุษยชน งานยากพอสมควร แต่เชื่อว่าทางการไทยทำได้และทำได้ดีด้วย
“ผมจะตามเฝ้าดูเหตุการณ์นี้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงผลสุดท้ายว่าผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามคนนี้จะไปอยู่ที่ไหนครับ” นายกัณวีร์ กล่าวย้ำ
สำหรับผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามรายนี้ ได้อัดคลิปวีดีโอ เพื่อขอความช่วยเหลือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2567 ก่อนที่จะถูกตำรวจไทยจับกุมตัวเมื่อคืนวันที่ 11 มิ.ย.67 ข้อความในคลิประบุตัวตน นาย Y Quynh Bdap เป็นชาวเวียดนามที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Montagnards Stand For Justice Organisation ทำงานเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการนับถือศาสนาและสนับสนุนสิทธิของประชาชน ที่ผ่านมาได้ทำกิจกรรมอย่างสงบ ในการรวบรวมและเขียนรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเวียดนามเท่านั้น
ผู้ลี้ภัยรายนี้ ระบุว่า เดินทางมาประเทศไทยเพื่อขอลี้ภัยในปี 2561 และได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากสหประชาชาติ เค้ารู้สึกหวั่นใจที่รัฐบาลเวียดนามกล่าวหาว่าเขาได้เข้าร่วมการจลาจลเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2566 และตัดสินจำคุก 10 ปี แต่ความจริงเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในเวียดนามตามที่ถูกกล่าวหาเมื่อปลายปี 2566 เจ้าหน้าที่ของเวียดนามได้พยายามจับกุมเขา โดยส่งสายลับมายังประเทศไทยเพื่อค้นหาและจับกุมในไทย
ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม กล่าวว่า ผู้คนจำนวนมากในกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม ถูกตำรวจจับกุมและสอบปากคำเพื่อบังคับให้เปิดเผยที่อยู่ของเขา ด้วยความหวาดกลัวเรื่องความปลอดภัยของครอบครัวและตัวเขาเอง เขาจึงซ่อนตัวมาเป็นเวลาหกเดือนแล้ว แต่เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2567 ตำรวจไทยพบที่ตั้งของเขาและได้ปิดล้อมสถานที่พักไว้
“ขณะนี้ สถานการณ์ของผมอันตรายอย่างยิ่ง ผมอาจถูกตำรวจไทยจับกุมเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นผมจึงขอความช่วยเหลือจากสหประชาชาติ องค์กรพัฒนาเอกชน และรัฐบาลของประเทศประชาธิปไตย โปรดปกป้องผมด้วย อย่าปล่อยให้พวกเขาจับกุมและพาผมกลับเวียดนาม เช่นเดียวกับในกรณีของ Thung Duy Nhat และ Thai van Doung ฉันขอขอบคุณอย่างจริงใจสำหรับความห่วงใยของคุณ ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่าน.” นาย Y Quynh Bdap กล่าวไว้ในคลิปวิดีโอ ก่อนที่จะถูกตำรวจไทยจับตัวไป
งานเข้า กกต.อีก เลขบัตรประชาชนผู้สมัคร ส.ว. หลุดกว่า 2 หมื่นชื่อ!
https://www.matichon.co.th/politics/news_4624756
งานเข้า กกต.อีก เลขบัตรประชาชนผู้สมัคร ส.ว. หลุดกว่า 2 หมื่นชื่อ!
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน เฟซบุ๊ก PDPC ของ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เปิดเผยว่า จากกรณี มีการเปิดเผยรายชื่อและเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ผ่านการคัดเลือก ส.ว. ระดับอำเภอ จำนวนกว่า 20,000 ราย จนเกิดเป็นกระแสบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล
ศูนย์ PDPC Eagle Eye โดย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ได้ประสานไปยัง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สำนักงาน กกต.) เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว และชี้แจงข้อเท็จจริง รวมทั้งให้ประสานผู้ที่ได้เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวให้ระงับการเผยแพร่ทันที และให้ประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งประชาชนไม่ให้นำข้อมูลดังกล่าวไปแชร์ต่อ โดยศูนย์ PDPC Eagle Eye จะทำการติดตามเฝ้าระวัง และตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง หากพบการรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคล ทางศูนย์ฯ จะเร่งประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แก้ไขและปรับปรุงมาตรการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทันที
ทั้งนี้ จากสถิติการทำงานเชิงรุกของศูนย์ PDPC Eagle Eye ตามมติ ครม. ได้ทำการตรวจสอบติดตามเฝ้าระวังการละเมิดและการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล จำนวน 26,301 หน่วยงาน พบว่าจากเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงเดือนพฤษภาคม 2567 การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลลดลงจาก 31.40% เหลือ 1.21%
สำหรับผู้ที่ต้องการแจ้งเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือกฎหมาย PDPA สามารถดำเนินการได้ทาง
• ยื่นเรื่องต่อสำนักงานโดยตรง ที่ศูนย์ให้คำปรึกษาและรับเรื่องร้องเรียน PDPA Center
• ยื่นผ่านไปรษณีย์ ศูนย์บริการประชาชน PDPA Center อาคารศูนย์บริการลูกค้า 99 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210
• ยื่นผ่านอีเมล saraban@pdpc.or.th
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูล ผู้สมัคร ส.ว. ที่ผ่านเข้ารอบระดับจังหวัด มีมากกว่า 23000 รายชื่อ แต่ละรายชื่อมี การระบุเลขบัตรประชาชนครบถ้วน มีการส่งต่อเป็นไฟล์ excel จำนวน 657 หน้า ซึ่งเป็นข้อมูลภายในที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ กกต.
ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองข้อมูลส่วนบคุคล พ.ศ. 2562 มาตรา 27 ระบุ ห้ามมิให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมได้โดยได้รับยกเว้น
โดยหากฝ่าฝืน มีโทษทางอาญา ตามมาตรา 79 ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 27 วรรคหนึ่งหรือวรรคสองหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 28 อันเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลตามมาตรา 26 โดยประการที่น่าจะทำให้ ผู้อื่นเกิดความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน5แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะที่ โทษความรับผิดทางแพ่ง ระบุ มาตรา 77 ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้นแก่เจ้าของข้อมูล ส่วนบุคคล ไม่ว่าการดำเนินการนั้นจะเกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อหรือไม่ก็ตาม
เว้นแต่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะพิสูจน์ได้ว่า ความเสียหายนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัย หรือเกิดจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเอง และเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย
https://www.facebook.com/pdpc.th/posts/pfbid025E7VEf7oSQcRpWg8EjJavuQeR1w46UvBmRNDE8AgYQ8ZQBu5vU6TNdgC7n1qRDT2l
เวิลด์แบงก์เตือน ปี 2024-26 เศรษฐกิจทั่วโลกโตต่ำกว่าก่อนโควิด แต่ดอกเบี้ยสูงเป็น 2 เท่า
https://www.prachachat.net/world-news/news-1584851
ธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ ประมาณการเศรษฐกิจโลกปีนี้โต 2.6% เตือนในช่วงปี 2024-2026 เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ เกือบทั่วโลกจะโตต่ำกว่าก่อนโควิด ขณะที่ดอกเบี้ยทั่วโลกจะสูงเป็น 2 เท่าของช่วงก่อนโควิด แนะเพิ่มการลงทุนภาครัฐหนุนเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2024 ธนาคารโลก (World Bank) เผยแพร่คาดการณ์เศรษฐกิจโลกฉบับปรับปรุงใหม่ โดยประมาณการว่าเศรษฐกิจโลกปี 2024 นี้จะเติบโต 2.6% ปรับเพิ่มขึ้นกว่าประมาณการครั้งก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมกราคมที่คาดว่าจะโต 2.4% ถึงอย่างนั้นก็ตาม อัตราการเติบโต 2.6% นั้นเป็นอัตราที่ทรงตัวเท่ากับปี 2023 ส่วนในปี 2025-2026 เศรษฐกิจโลกจะโตเฉลี่ย 2.7% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3.1% ในช่วงทศวรรษก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 มาก
ตัวเลขคาดการณ์บอกเป็นนัยว่าในช่วงปี 2024-2026 เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ที่รวมกันเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของประชากรโลกและจีดีพีโลก จะยังคงเติบโตช้ากว่าอัตราที่เคยเติบโตในทศวรรษก่อนเกิดโควิด-19
ภาพโดยรวมของประเทศกำลังพัฒนา คาดว่าจะเติบโตโดยเฉลี่ย 4% ในช่วงปี 2024-2025 ซึ่งช้ากว่าปี 2023 เล็กน้อย
ส่วนกลุ่มประเทศรายได้น้อยคาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจะเร่งตัวขึ้นเป็น 5% ในปี 2024 จากที่โต 3.8% ในปี 2023 อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ครั้งนี้มีการปรับลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ 3 ใน 4 ของประเทศที่มีรายได้น้อยทั้งหมดลงจากประมาณการครั้งก่อนหน้านี้
ส่วนในประเทศที่พัฒนาแล้ว คาดว่าการเติบโตจะคงที่อยู่ที่ 1.5% ในปี 2024 ก่อนที่จะโต 1.7% ในปี 2025