สวัสดีค่ะ เราอายุ 23ปี แล้วช่วงนี้มีเรื่องกดดัน เรื่องเครียดเยอะมาก ทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องแฟน และเรื่องงาน รู้สึกเหมือนเป็นที่รองรับอารมณ์ของคนรอบข้างเสมอ ชอบเกรงใจคนอื่นจนตัวเองเครียดหรือเดือดร้อนเองอยู่บ่อยๆ ก่อนหน้านี้ทำงานนอกบ้านแต่พอเลิกงานแล้วชอบไปแวะนั่งเล่นเกมบ้านเพื่อนจนมีปัญหากับที่บ้านว่ากลับบ้านช้าและไม่ให้รถออกไปทำงานหรือไปไหนเองอีกเลย ทำให้ต้องออกจากที่มำงานกระทันหันแล้วก็โดนที่ทำงานตำหนิมาอย่างหนักทั้งที่อีก5วันจะได้รับเงินเดือน แต่พอมีเหตุการณ์แบบนี้ก็เลยไม่ได้รับเงินเดือนเลย ช่วงนั้นเราเครียดมากๆค่ะ ขะไปหางานทำที่อื่น ที่บ้านก็ไม่ให้ไป เขาบอกว่าเราจะไปทำอะไรได้ ออกไปก็เหลวไหล ให้อยู่ทำที่บ้าน แต่ที่บ้านก็ไม่มีอะไรให้ทำ ขอเงินแม่ใช้ไปวันๆอยากได้อะไรที่เคยเก็บเงินซื้อได้เองแล้วต้องมาขอ ก็ไใ่ค่อยกล้าขอค่ะ รู้สึกว่าอายุขนาดนี้แล้ว ควรมีรายได้ป็นของตัวเอง กดดันตัวดเอง และบวกกับความสัมพันธ์ของเรากับแฟนก็ค่อนข้างที่จะ toxic เขาชอบพูดว่าเรื่องแย่ๆแทบทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นเพราะว่าเราที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ จนหลังๆมานี้เริ่มมีอาการใจสั่น วิตกกังวล ฟุ้งซ่ายกระวนกระวาย และไม่มีสมาธิที่จะเล่นเกมที่ชอบ หรือดูหนังให้จบเรื่องได้เลย อยากเลิกกับแฟนค่ะ แต่ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ความรู้สึกแบบนี้ก็วนกลับมา มีความรู้สึกกระวนกระวายถ้าคิดว่าต้องอยู่คนเดียว บางทีอยากไปอยู่กับเพื่อนบ้างให้ไม่ต้องคิดมาก แต่ที่บ้านก็ไม่ยอมให้ไปค่ะ เขาบอกโตแล้วควรจัดการอารมณ์ตัวเองให้ได้ ไปพบจิตแพทย์ เพราะทนไม่ไหวกับอารมณ์ตอนกระวนกระวายจริงๆ แต่จิตแพทย์ก็พูดประมาณว่า เราคิดมากเกินไป ให้ทำใจตัดแฟนออกจากชีวิตให้ได้ และใช้เวลาว่างหางานอดิเรกทำให้มันไม่ว่าง จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน แล้วก็ไม่ได้จ่ายยาอะไรให้เลย เราควรทำยังไงดีคะ เราไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน อยากทำแบบที่จิตแพทย์แนะนำ แต่เวลาที่มีความรุ้สึกแบบนั้นเราไม่สามารถมีสมาธิกับอะไรเลย รบกวนช่วยแนะนำยาคลายเครียดที่สามารถซื้อได้เองจากร้านขายยาวิตามินหรือวิธีอะไรก็ได้ที่เราควรจะทำให้ความรู้สึกกลัวการอยู่คนเดียวมันหายไปได้ไหมคะ แค่อยากกลับมาเป็นคนปกติเหมือนเดิมค่ะ เพราะเวลาความรู้สึกนั้นกลับมา เราทรมานมากๆจริงๆ มันเหมือนจะบ้า จะขาดใจตาย ทรมานมากจริงๆค่ะ 
(ปล.ไปพบจิตแพทย์ที่รพ.รัฐแห่งหนึ่งที่มีสิทธิบัตรทอง ถ้าต้องไปพบจิตแพทย์ที่อื่นอีกทีคิดว่าไม่ไหวกับค่ารักษาแน่ๆค่ะเพราะช่วงนี้ไม่มีรายรับเลย เคยปรึกษาแม่แล้วแม่ก็พูดเหมือนที่จิตแพทย์พูดมาเลยค่ะ)