พอปฏิบัติหนักเข้า
มันก็เห็นแต่ทุกข์ของจิต
กายกับจิต คือตัวเดียวกันอย่างแยกไม่ออก
คนสัตว์ที่ปรากฏผ่านอายตนะทั้งหลาย
ไม่มีอะไรเลยนอกจากจิตของเราเอง
พอถึงตรงนี้มันก็หาอะไรที่เป็นชีวิตจิตใจไม่ได้เลยสักอย่าง มองคนมองสัตว์ก็เห็นเป็นจิตตัวเอง เห็นเป็นธาตุ
สี เหมือนดูหนังที่ฉายซ้ำไปมาโดยมีผู้กำกับคือ
ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม
หรือนั่งเถียงกับเถรใบลานในpantip
แท้จริงก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากจิตที่ปรุงไป
และสร้างอายตนะมาหลอกซ้อนหลอกอีกที
พอจะน้อมจิตไปในญาณทัศนะแก้เซ็ง ดูอดีตชาติบุคคลอื่น มันก็เป็นการทวนกิเลสตัวเองเข้ามาในจิต
ทีนี้ยังไม่ได้ทันสนุกจิตก็ตัดจบไปนอนในสูญตาเองโดยไม่ต้องบอก
ทำได้แค่ฉแลบไปดูเหตุปัจจัย แต่น้องจิตก็ไม่ยอมเล่นด้วย
ทีนี้ก็เลยเบื่อ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น
สูญตาก็สุขไม่จริง
นิพพานอยู่ไหนก็มองไม่เห็น
มีธรรมไหนสูงยิ่งไปกว่านี้อีกไหมครับ
กรุณาช่วยบอกผมที
เบื่อง่ะ
ยิ่งปฏิยัติ ยิ่งเบื่ิอ
มันก็เห็นแต่ทุกข์ของจิต
กายกับจิต คือตัวเดียวกันอย่างแยกไม่ออก
คนสัตว์ที่ปรากฏผ่านอายตนะทั้งหลาย
ไม่มีอะไรเลยนอกจากจิตของเราเอง
พอถึงตรงนี้มันก็หาอะไรที่เป็นชีวิตจิตใจไม่ได้เลยสักอย่าง มองคนมองสัตว์ก็เห็นเป็นจิตตัวเอง เห็นเป็นธาตุ
สี เหมือนดูหนังที่ฉายซ้ำไปมาโดยมีผู้กำกับคือ
ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม
หรือนั่งเถียงกับเถรใบลานในpantip
แท้จริงก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากจิตที่ปรุงไป
และสร้างอายตนะมาหลอกซ้อนหลอกอีกที
พอจะน้อมจิตไปในญาณทัศนะแก้เซ็ง ดูอดีตชาติบุคคลอื่น มันก็เป็นการทวนกิเลสตัวเองเข้ามาในจิต
ทีนี้ยังไม่ได้ทันสนุกจิตก็ตัดจบไปนอนในสูญตาเองโดยไม่ต้องบอก
ทำได้แค่ฉแลบไปดูเหตุปัจจัย แต่น้องจิตก็ไม่ยอมเล่นด้วย
ทีนี้ก็เลยเบื่อ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น
สูญตาก็สุขไม่จริง
นิพพานอยู่ไหนก็มองไม่เห็น
มีธรรมไหนสูงยิ่งไปกว่านี้อีกไหมครับ
กรุณาช่วยบอกผมที
เบื่อง่ะ