.
.
สภาพหัวกะโหลก มีร่องรอยแตกหัก
คล้ายกับโดนของแข็งทุบตีหลายจุด
.
.
อิชิดะ มิซึนาริ
Ishida Mitsunari
เป็นแม่ทัพกองทัพซามูไรญี่ปุ่น
ในช่วงปลายสมัยอาซุกะและต้นสมัยเอโดะ
มีบทบาทสำคัญในสงคราม
The Battle of Sekigahara ในปี 1600
ซึ่งเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่าง
กลุ่มพันธมิตรตะวันตกและตะวันออก
เพื่อชิงกันปกครองประเทศญี่ปุ่น
มีการใช้ปืนคาบศิลากันในยุคนี้
แม้ว่าตำนานจะบอกว่า คือ
การรบแบบซามูไรหั้นห่ำกัน
แบบยุคโบราณ ใครดี ก็รอด
แต่ TimeLine ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
เริ่มมีการใช้ปืนคาบศิลากันแล้ว
.
.
.
Ishida Mitsunari
.
.
.
.
.
.
.
Battle of Sekigahara 1600 Ad
.
.
.
Ishida Mitsunari ผู้บัญชาการรบฝ่ายตะวันตก
และผู้มีแนวคิดกลยุทธ์หลายอย่าง
แต่ในที่สุดรบแพ้
โทกูงาวะ อิเอยาซุ
เพราะมีพรรคพวกหนุนหลังน้อยกว่าฝ่ายชนะ
(จริง ๆ น่าจะแพ้ทางปืนคาบศิลา)
หลังจากนั้น อิชิดะ มิซึนาริ ถูกประหารชีวิต
ด้วยวิธีพิเศษของซามูไรในยุคนั้น
(น่าจะตายด้วยการฟันผ่าร่างกาย)
แบบทึ่ 1
จับนักโทษมัดคุกเข่าหย่อนลงในหม้อต้ม
ค่อย ๆ ต้มน้ำให้เดือดช้า ๆ ไม่รัอนจัดเกินไป
ทำให้เนื้อเยื่อค่อย ๆ สุกไล่ไปเรื่อย ๆ
จนกว่านักโทษจะขาดใจตาย
เพราะอวัยวะส่วนล่างสุกทั้งหมดแล้ว
บางคนถูกทรมานนานถึง 7 วันก็เคยมี
แบบที่ 2
การฟันผ่ากลางลำตัวช่วงเอวผ่านกระดูกซี่โครง
การฟันสะพายแล่ง จากบ่าผ่านกระดูกซี่โครง
ลงมาต้นขาซ้าย หรือ ขาขวา ให้ขาดครึ่งหนึ่ง
แบบที่ 3
ให้บรรดาซามูไรใช้ประลองฝีมือดาบ
ด้วยการท้าพนันฟันนักโทษส่วนไหนก่อนหลัง
ฟันไปเรื่อย ๆ จนกว่านักโทษจะตาย
หรือศพยากจะแยกแยะชิ้นส่วน
.
.
เวลาตีดาบซามูไรเสร็จใหม่ ๆ
จะมีธรรมเนียมเซ่นสังเวยดาบ
ด้วยการฟันคนผ่านทางที่เจอ
ใครก็ได้ที่เจอตอนพกซามูไรด้ามใหม่
ในยามปกติ/ยามค่ำคืน
ผู้ถูกลองดาบมักจะเป็น ขอทาน พ่อค้า
โสเภณี บูคานิน นักโทษในเรือนจำ
คนพวกนี้คือ ชนชั้นต่ำสุดในยุคนั้น
ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว กระดูกต้องขาด
ซามูไรด้ามนั้นจึงจะใช้เป็นอาวุธประจำกาย
.
.
ยุคหลัง ซามูไรหลายคน
ตายกับกระสุนปืนซะส่วนใหญ่
เลยหายซ่าไปเยอะมาก กลายเป็น
สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์
อำนาจราชศักดิ์/อภิสิทธิ์ชนกลุ่มน้อย
เลยหายสาบสูญไปในที่สุด
โฆษณาปืน Colt .45
God created men,
Col. Colt made them equal.
พระเจ้าสร้างคน
ผู้พันโคลต์ทำให้คนเท่าเทียมกัน
(ใครไว ก็รอด ใครช้า ก็ตาย)
.
.
.
.
อิชิดะ มิซึนาริ คือ บุคคลสำคัญที่สุด
ในช่วงการรวมญี่ปุ่นเข้าเป็นหนึ่งเดียว
แม้ในที่สุดจะรบแพ้และต้องตายอย่างน่าอนาถ
แต่ก็ยังเป็นที่จดจำในฐานะนักรบ
ผู้กล้าหาญและมีกลยุทธ์การรบที่ยอดเยี่ยม
.
.
.
โทกูงาวะ อิเอยาซุ
.
.
.
หัวของอิชิดะ มิตสึนาริ
ในการรบครั้งสุดท้าย
คือ สงครามเสกิงาฮาระ
อิชิดะ มิซึนาริ, อังคุกุจิ เอเคอิ, โคนิชิ ยูกินางะ
ถูกจับเป็นเพราะยอมจำนนกับพวกศัตรู
จึงถูกนำตัวมาแสดงให้ชาวบ้านชมในบริเวณ
Sakai และเมืองโอซาก้า ดูเป็นของบันเทิง
โดยถูกบังคับให้สวมปลอกคอกรรไกรโลหะ
แต่ อิชิตะ มิซึนาริ ต้องสวมกิโมโนสั้นสีแดงขาว
เครื่องแบบของสตรี/นางเกอิชา/โสเภณี
เป็นการดูถูกเหยียดหยามอย่างแรง
แล้วขังไว้ในกรงไม้เปิดโล่งให้ชาวบ้านเห็น
ที่โอซาก้า
อิชิดะ มิซึนาริ ถูกบังคับให้ตะโกน
ป่าวประกาศความผิดของตนด้วยเสียงดัง
พร้อมเล่าถึงความวุ่นวายที่ก่อขึ้น
เป็นการดูถูกเหยียดหยามซ้ำเติม
วันที่ 5 พฤศจิกายน 1600
ทั้งสามคนถูกพาไปเหยียดหยามต่อที่เกียวโต
ในวันรุ่งขึ้น 6 พฤศจิกายน 1600
ทุกคนถูกประหารชีวิตที่
Romujo-gawara
ใช้เป็นลานประหารประจำเมือง
อยู่ริมตลิ่ง
แม่น้ำคาโมะ ในเกียวโต
หัวของทั้ง 3 คน ถูกตั้งโชว์
ข้างสะพาน
Sanjo-ohashi ในเมืองเกียวโต
สามวันต่อมา หัวของมิซึนาริถูกขโมยไป
.
.
การศึกไม่เคยหน่ายกลยุทธ์
ทั้งสามคนอาจจะหลงคำเคลือบยาพิษ
คำหวานสมานจิต กลพิชิตศัตรูมี
โดยมีคนระดับสูงของฝ่ายศัตรู/ทูตเจรจา
มาหลอกว่า จะยอมให้เซ็ปปูกุ (ฮารากิริ)
การฆ่าตัวตายแบบมีเกียรติของชามูไร
หลังจากจับกุมตัว/ยอมจำนนในการรบ
แต่สุดท้ายก็เบี้ยว/ไม่ทำตามคำสัญญา
ญี่ปุ่นไม่มีผ้าซิ่น มีแต่ชุดกิโมโน
แต่คนมีอำนาจทำไม่เคยผิด
ไม่เคยคิดไปนุ่งชุดกิโมโน
เพราะตะบัดสัจจะวาจา
คำด่า ไอ้หน้าตัxเมีย ของคนสยาม
.
.
ในปี 1907
หัวกะโหลกของ อิขิดะ มิซึนาริ
ถูกค้นพบใน
วัดซังเงนอิน ในเกียวโต
มีบันทึกระบุว่า พ่อค้าผู้เป็นหนี้ท่าน
ได้ขโมยหัวจากบริเวณที่ตั้งแสดง
แล้วนำไปเก็บซ่อนไว้ที่วัดดังกล่าว
เพื่อความปลอดภัย/ป้องกันการเหยียดหยาม
ในช่วงปลายปี 80
หัวกะโหลกของ อิชิดะ มิซึนาริ
ถูก นายนางายาสึ ชูอิจิ
หัวหน้าวิศวกรของสถาบันวิจัย
วิทยาศาสตร์ตำรวจแห่งชาติโตเกียว
ได้สร้างใบหน้าของ อิชะดะ มิซึนาริ
จำลองขึ้นมาใหม่ตามคำขอของ
นายอิชิดะ ทากายูกิ (ช่างภาพ)
ทายาทรุ่นหลัง ๆ ของ อิชิดะ มิซึนาริ
ดูเหมือนว่า อิชิดะ มิซึนาริ
จะมีหัวกระโหลกรูปทรงค่อนข้างยาว
และฟันงอกอย่างผิดปกติ
ส่วนกระดูกส่วนอื่น ๆ ถูกศึกษาต่อ
โดย ดร.อิชิดะ เทสึโร
มหาวิทยาลัยแพทย์คันไซอิดาย
.
.
ตำนานที่น่าสนใจคือ
อิขิดะ มิซึนาริ ไม่ยอมขายหน้าจนวาระสุดท้าย
มีเรื่องเล่าว่าระหว่างทางไปสู่ลานประหารชีวิต
มีคนจะมอบลูกพลับให้กินก่อนตาย
แต่ถูกท่านปฏิเสธ โดยอ้างว่า
มันจะทำให้ท้องร่วงได้ในภายหลัง
ซึ่งน่าเกลียด/น่าอับอายสำหรับสถานการณ์นั้น
โคนิชิ ยูกินาวะ ผู้ร่วมตายในวันนั้น จึงพูดว่า
" ไหน ไหน ในเมื่อกำลังจะตายอยู่แล้ว
เรื่องท้องร่วงย่อมไม่สำคัญอีกต่อไป "
แต่ อิชิตะ มิซึนาริ ตอบกลับว่า
" เราไม่มีวันรู้ว่า กินเข้าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
ดังนั้นเรา จึงต้องดูแลสุขภาพเราตลอดเวลา "
.
.
เรียบเรียง/ที่มา
The Battle of Sekigahara
Wikipedia
Claude AI
.
.
หมายเหตุ
การใช้อาวุธปืนเป็นครั้งแรก
ในการสงครามเกิดขึ้น
ในช่วงยุคกลางตอนปลาย
และยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
ในยุโรปและเอเชีย
ผู้บุกเบิกการใช้ปืนในสงคราม
ในยุโรป
ชาวออตโตมันเป็นหนึ่งในกลุ่มแรก ๆ
ที่ใช้อาวุธปืนอย่างมีประสิทธิภาพในการรบ
เช่น กองทหารยานิชารี ถืออาวุธปืนขนาดเล็ก
ในการล้อมกรุงปารีสในปี 1453
ชาวฮุสไซต์ ผู้ติดตามจานฮุส ในโบเฮเมีย
(สาธารณรัฐเช็กในปัจจุบัน ช่างฝีมือของยุโรป
ฝีไม้ลายมือพอ ๆ กับ เยอรมัน สก็อตแลนด์)
ใช้ปืนใหญ่ขนาดเล็กและปืนพกแบบฮอยตซี
ในสงครามฮุสไซต์ (1419-1434)
เฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งอารากอน
จัดตั้งขบวนปืนใหญ่ทางสนามรบ
แบบใช้ยิงเคลื่อนที่ได้เป็นครั้งแรก
ระหว่างทำสงครามกับนครรัฐอิตาลี
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15
ในเอเชีย
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13
ชาวจีนเป็นผู้คิดค้นดินปืน/ปืนไฟ
พัฒนาจากประทัด ดอกไม้ไฟ
ในช่วงแรกเริ่ม ใช้ในงานเฉลิมฉลอง
แต่ไม่ได้ใช้อาวุธเหล่านี้ในการรบ
ชาวมองโกลรีบนำปืนมาใช้
หลังจากรุกรานจีนและเปอร์เซีย
โดยใช้ปืนพ่นไฟของจีนเผาทำลายบ้านเรือน
และปืนกระบอกเดี่ยวของเปอร์เซีย
ในการพิชิตดินแดนภายใต้การนำของ
เจงกิสข่านและผู้สืบทอดบัลลังก์
จักรพรรดิ์อัคบาร์แห่งโมกุล
จัดตั้งหน่วยทหารปืนและปืนใหญ่
ขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคอินเดีย
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16
ตามตำนานอัคบาร์ไม่รู้หนังสือ
ตอนเล็ก ๆ ไม่เรียนหนังสือ
โตขึ้นมาได้เป็นพระราชา
อัคบาร์น่าจะเป็น
โรค Dyslexia คือ
ภาวะผิดปกติทางด้านการอ่าน
และการเรียนรู้ภาษา
ผู้ที่มีภาวะนี้จะมีความยากลำบาก
ในการแยกแยะเสียงที่ได้ยิน
และมีความยากลำบาก
ไม่สามารถอ่าน เขียน และสะกดคำ
เพราะไม่สามารถเชื่อมโยงเสียง
กับตัวอักษรเข้าด้วยกันได้
แต่พวกนี้มีความจำดีมากในหลายเรื่อง
เช่น พุ่มพวง ดวงจันทร์ Sir Richard Branson
เสี่ยโรงเหล้า ป.1-ป.4 เรียนชั้นละ 2 ปี
แต่อัคบาร์ชาญฉลาดมาก/มากเหลียม
(เล่ห์เหลี่ยมเยอะมาก) ในการปกครอง
รวมทั้งได้เสนาบดี อำมาตย์ ที่คู่ใจ
รู้ใจเจ้านาย มากกว่า รู้ทันเจ้านาย
ทำให้การบริหารรัฐกิจราบรื่น
.
.
ในญี่ปุ่น การใช้อาวุธปืนครั้งแรก
ในทางการทหารในการรบนั้นเกิดขึ้น
ในช่วงสมัยเซ็งโกกุจิได
(ประมาณ ค.ศ. 1467-1603)
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งแหลมคม
ระหว่างเจ้าผู้ครองแคว้นต่าง ๆ
แบบต่างแย่งชิงกันเป็นโชกุน
ที่เหนือกว่าไดเมียวตามแคว้นต่าง ๆ
บุคคลสำคัญที่เป็นผู้บุกเบิก
ใช้อาวุธปืนในสงครามของญี่ปุ่นมีดังนี้:
1. โอดะ โนบุนางะ (ค.ศ. 1534-1582)
เป็นหนึ่งในไดเมียวรายแรก ๆ
ที่ตระหนักถึงอานุภาพของอาวุธปืน
และพยายามจัดหาและใช้ปืน
ปืนคาบศิลาทาเนงาชิมา
โดยซื้อจากพ่อค้าชาวโปรตุเกส 2 กระบอก
แล้วให้ช่างตีดาบ ฮาจิบัง คินเบย์
ได้แรงบันดาลใจ Copy & Development
ทำให้จัดหาปืนให้กับกองทัพชาวนาซามูไร
และใช้ประสิทธิภาพของกระสุนปืน
ในการรบหลายครั้ง เช่น ที่นางาชิโนในปี 1575
2. โตกุงาวะ เอียสุ (ค.ศ. 1543-1616)
ในฐานะผู้สนับสนุนของโนบุนางะ
ก็เจริญรอยตามปฏิบัติตาม
แบบความชั่วเรียนรู้ง่าย
ความดีตัองอดทนต้องฝึกฝน
แล้วจัดตั้งหน่วยทหารปืนประจำกองทัพ
หลังจากรวบรวมญี่ปุ่นได้สำเร็จ
โชกุนโตกุงาวะ ก็ยังคงปรับปรุงปืน
ชนิดจุดแรงดัน(คาบศิลา) ต่อไป
3) คาโตะ คิโยมาสะ (ค.ศ. 1562-1611)
ในฐานะนายทหารผู้โดดเด่น
ภายใต้ตระกูลโตโยโตมิ
ได้วางรากฐานกลยุทธ์การรบใหม่
โดยการผสมผสานการยิงปืนจากหน่วยปืน
ผสมผสานกับการรุกของทหารม้า
4) ยามาโมโตะ คานซุเกะ (ค.ศ. 1501-1561)
ในฐานะช่างตีดาบผู้เชี่ยวชาญ
เป็นหนึ่งในผู้แรกที่ผลิตปืนภายในประเทศ
หลังจากวิเคราะห์ปืนทาเนงาชิมา ที่ Import
แบบได้แรงบันดาลใจทำให้ดีกว่าเก่า
แม้ว่าชาวโปรตุเกสจะนำเข้าปืนคาบศิลา
แบบจุดแรงดันมายังญี่ปุ่นในปีค.ศ. 1543
แต่ โนบุนางะ เป็นผู้บูรณาการอาวุธเหล่านั้น
เข้ากับกลยุทธ์ทางทหาร/กองกำลังติดอาวุธ
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16
มึการนำอาวุธปืนมาใช้ในการสงคราม
ในช่วงยุคเซ็งโกกุ ที่มีความวุ่นวายอลหม่าน
และปืนคาบศิลาได้ย่นระยะเวลา
ฝึกชาวนาซามูไรออกรบได้รวดเร็วมาก
มีกลอนไฮกุ เขียนว่า
ฝึกดาบซามูไร
กินเวลา 10-20 ปี
ตายกับชาวนา
ฝึกยิงปืนแค่ 1 ปี
..
โฉมหน้า Ishida Mitsunari
.
สภาพหัวกะโหลก มีร่องรอยแตกหัก
คล้ายกับโดนของแข็งทุบตีหลายจุด
.
อิชิดะ มิซึนาริ Ishida Mitsunari
เป็นแม่ทัพกองทัพซามูไรญี่ปุ่น
ในช่วงปลายสมัยอาซุกะและต้นสมัยเอโดะ
มีบทบาทสำคัญในสงคราม
The Battle of Sekigahara ในปี 1600
ซึ่งเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่าง
กลุ่มพันธมิตรตะวันตกและตะวันออก
เพื่อชิงกันปกครองประเทศญี่ปุ่น
มีการใช้ปืนคาบศิลากันในยุคนี้
แม้ว่าตำนานจะบอกว่า คือ
การรบแบบซามูไรหั้นห่ำกัน
แบบยุคโบราณ ใครดี ก็รอด
แต่ TimeLine ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
เริ่มมีการใช้ปืนคาบศิลากันแล้ว
.
.
Ishida Mitsunari
.
.
.
.
.
.
.
Battle of Sekigahara 1600 Ad
.
.
Ishida Mitsunari ผู้บัญชาการรบฝ่ายตะวันตก
และผู้มีแนวคิดกลยุทธ์หลายอย่าง
แต่ในที่สุดรบแพ้ โทกูงาวะ อิเอยาซุ
เพราะมีพรรคพวกหนุนหลังน้อยกว่าฝ่ายชนะ
(จริง ๆ น่าจะแพ้ทางปืนคาบศิลา)
หลังจากนั้น อิชิดะ มิซึนาริ ถูกประหารชีวิต
ด้วยวิธีพิเศษของซามูไรในยุคนั้น
(น่าจะตายด้วยการฟันผ่าร่างกาย)
แบบทึ่ 1
จับนักโทษมัดคุกเข่าหย่อนลงในหม้อต้ม
ค่อย ๆ ต้มน้ำให้เดือดช้า ๆ ไม่รัอนจัดเกินไป
ทำให้เนื้อเยื่อค่อย ๆ สุกไล่ไปเรื่อย ๆ
จนกว่านักโทษจะขาดใจตาย
เพราะอวัยวะส่วนล่างสุกทั้งหมดแล้ว
บางคนถูกทรมานนานถึง 7 วันก็เคยมี
แบบที่ 2
การฟันผ่ากลางลำตัวช่วงเอวผ่านกระดูกซี่โครง
การฟันสะพายแล่ง จากบ่าผ่านกระดูกซี่โครง
ลงมาต้นขาซ้าย หรือ ขาขวา ให้ขาดครึ่งหนึ่ง
แบบที่ 3
ให้บรรดาซามูไรใช้ประลองฝีมือดาบ
ด้วยการท้าพนันฟันนักโทษส่วนไหนก่อนหลัง
ฟันไปเรื่อย ๆ จนกว่านักโทษจะตาย
หรือศพยากจะแยกแยะชิ้นส่วน
.
.
เวลาตีดาบซามูไรเสร็จใหม่ ๆ
จะมีธรรมเนียมเซ่นสังเวยดาบ
ด้วยการฟันคนผ่านทางที่เจอ
ใครก็ได้ที่เจอตอนพกซามูไรด้ามใหม่
ในยามปกติ/ยามค่ำคืน
ผู้ถูกลองดาบมักจะเป็น ขอทาน พ่อค้า
โสเภณี บูคานิน นักโทษในเรือนจำ
คนพวกนี้คือ ชนชั้นต่ำสุดในยุคนั้น
ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว กระดูกต้องขาด
ซามูไรด้ามนั้นจึงจะใช้เป็นอาวุธประจำกาย
.
.
ยุคหลัง ซามูไรหลายคน
ตายกับกระสุนปืนซะส่วนใหญ่
เลยหายซ่าไปเยอะมาก กลายเป็น
สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์
อำนาจราชศักดิ์/อภิสิทธิ์ชนกลุ่มน้อย
เลยหายสาบสูญไปในที่สุด
โฆษณาปืน Colt .45
God created men,
Col. Colt made them equal.
พระเจ้าสร้างคน
ผู้พันโคลต์ทำให้คนเท่าเทียมกัน
(ใครไว ก็รอด ใครช้า ก็ตาย)
.
.
อิชิดะ มิซึนาริ คือ บุคคลสำคัญที่สุด
ในช่วงการรวมญี่ปุ่นเข้าเป็นหนึ่งเดียว
แม้ในที่สุดจะรบแพ้และต้องตายอย่างน่าอนาถ
แต่ก็ยังเป็นที่จดจำในฐานะนักรบ
ผู้กล้าหาญและมีกลยุทธ์การรบที่ยอดเยี่ยม
.
.
โทกูงาวะ อิเอยาซุ
.
.
หัวของอิชิดะ มิตสึนาริ
ในการรบครั้งสุดท้าย
คือ สงครามเสกิงาฮาระ
อิชิดะ มิซึนาริ, อังคุกุจิ เอเคอิ, โคนิชิ ยูกินางะ
ถูกจับเป็นเพราะยอมจำนนกับพวกศัตรู
จึงถูกนำตัวมาแสดงให้ชาวบ้านชมในบริเวณ
Sakai และเมืองโอซาก้า ดูเป็นของบันเทิง
โดยถูกบังคับให้สวมปลอกคอกรรไกรโลหะ
แต่ อิชิตะ มิซึนาริ ต้องสวมกิโมโนสั้นสีแดงขาว
เครื่องแบบของสตรี/นางเกอิชา/โสเภณี
เป็นการดูถูกเหยียดหยามอย่างแรง
แล้วขังไว้ในกรงไม้เปิดโล่งให้ชาวบ้านเห็น
ที่โอซาก้า
อิชิดะ มิซึนาริ ถูกบังคับให้ตะโกน
ป่าวประกาศความผิดของตนด้วยเสียงดัง
พร้อมเล่าถึงความวุ่นวายที่ก่อขึ้น
เป็นการดูถูกเหยียดหยามซ้ำเติม
วันที่ 5 พฤศจิกายน 1600
ทั้งสามคนถูกพาไปเหยียดหยามต่อที่เกียวโต
ในวันรุ่งขึ้น 6 พฤศจิกายน 1600
ทุกคนถูกประหารชีวิตที่ Romujo-gawara
ใช้เป็นลานประหารประจำเมือง
อยู่ริมตลิ่ง แม่น้ำคาโมะ ในเกียวโต
หัวของทั้ง 3 คน ถูกตั้งโชว์
ข้างสะพาน Sanjo-ohashi ในเมืองเกียวโต
สามวันต่อมา หัวของมิซึนาริถูกขโมยไป
.
.
การศึกไม่เคยหน่ายกลยุทธ์
ทั้งสามคนอาจจะหลงคำเคลือบยาพิษ
คำหวานสมานจิต กลพิชิตศัตรูมี
โดยมีคนระดับสูงของฝ่ายศัตรู/ทูตเจรจา
มาหลอกว่า จะยอมให้เซ็ปปูกุ (ฮารากิริ)
การฆ่าตัวตายแบบมีเกียรติของชามูไร
หลังจากจับกุมตัว/ยอมจำนนในการรบ
แต่สุดท้ายก็เบี้ยว/ไม่ทำตามคำสัญญา
ญี่ปุ่นไม่มีผ้าซิ่น มีแต่ชุดกิโมโน
แต่คนมีอำนาจทำไม่เคยผิด
ไม่เคยคิดไปนุ่งชุดกิโมโน
เพราะตะบัดสัจจะวาจา
คำด่า ไอ้หน้าตัxเมีย ของคนสยาม
.
.
ในปี 1907
หัวกะโหลกของ อิขิดะ มิซึนาริ
ถูกค้นพบใน วัดซังเงนอิน ในเกียวโต
มีบันทึกระบุว่า พ่อค้าผู้เป็นหนี้ท่าน
ได้ขโมยหัวจากบริเวณที่ตั้งแสดง
แล้วนำไปเก็บซ่อนไว้ที่วัดดังกล่าว
เพื่อความปลอดภัย/ป้องกันการเหยียดหยาม
ในช่วงปลายปี 80
หัวกะโหลกของ อิชิดะ มิซึนาริ
ถูก นายนางายาสึ ชูอิจิ
หัวหน้าวิศวกรของสถาบันวิจัย
วิทยาศาสตร์ตำรวจแห่งชาติโตเกียว
ได้สร้างใบหน้าของ อิชะดะ มิซึนาริ
จำลองขึ้นมาใหม่ตามคำขอของ
นายอิชิดะ ทากายูกิ (ช่างภาพ)
ทายาทรุ่นหลัง ๆ ของ อิชิดะ มิซึนาริ
ดูเหมือนว่า อิชิดะ มิซึนาริ
จะมีหัวกระโหลกรูปทรงค่อนข้างยาว
และฟันงอกอย่างผิดปกติ
ส่วนกระดูกส่วนอื่น ๆ ถูกศึกษาต่อ
โดย ดร.อิชิดะ เทสึโร
มหาวิทยาลัยแพทย์คันไซอิดาย
.
.
ตำนานที่น่าสนใจคือ
อิขิดะ มิซึนาริ ไม่ยอมขายหน้าจนวาระสุดท้าย
มีเรื่องเล่าว่าระหว่างทางไปสู่ลานประหารชีวิต
มีคนจะมอบลูกพลับให้กินก่อนตาย
แต่ถูกท่านปฏิเสธ โดยอ้างว่า
มันจะทำให้ท้องร่วงได้ในภายหลัง
ซึ่งน่าเกลียด/น่าอับอายสำหรับสถานการณ์นั้น
โคนิชิ ยูกินาวะ ผู้ร่วมตายในวันนั้น จึงพูดว่า
" ไหน ไหน ในเมื่อกำลังจะตายอยู่แล้ว
เรื่องท้องร่วงย่อมไม่สำคัญอีกต่อไป "
แต่ อิชิตะ มิซึนาริ ตอบกลับว่า
" เราไม่มีวันรู้ว่า กินเข้าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
ดังนั้นเรา จึงต้องดูแลสุขภาพเราตลอดเวลา "
.
.
.
.
.
.
เรียบเรียง/ที่มา
The Battle of Sekigahara
Wikipedia
Claude AI
.
.
หมายเหตุ
การใช้อาวุธปืนเป็นครั้งแรก
ในการสงครามเกิดขึ้น
ในช่วงยุคกลางตอนปลาย
และยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
ในยุโรปและเอเชีย
ผู้บุกเบิกการใช้ปืนในสงคราม
ในยุโรป
ชาวออตโตมันเป็นหนึ่งในกลุ่มแรก ๆ
ที่ใช้อาวุธปืนอย่างมีประสิทธิภาพในการรบ
เช่น กองทหารยานิชารี ถืออาวุธปืนขนาดเล็ก
ในการล้อมกรุงปารีสในปี 1453
ชาวฮุสไซต์ ผู้ติดตามจานฮุส ในโบเฮเมีย
(สาธารณรัฐเช็กในปัจจุบัน ช่างฝีมือของยุโรป
ฝีไม้ลายมือพอ ๆ กับ เยอรมัน สก็อตแลนด์)
ใช้ปืนใหญ่ขนาดเล็กและปืนพกแบบฮอยตซี
ในสงครามฮุสไซต์ (1419-1434)
เฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งอารากอน
จัดตั้งขบวนปืนใหญ่ทางสนามรบ
แบบใช้ยิงเคลื่อนที่ได้เป็นครั้งแรก
ระหว่างทำสงครามกับนครรัฐอิตาลี
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15
ในเอเชีย
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13
ชาวจีนเป็นผู้คิดค้นดินปืน/ปืนไฟ
พัฒนาจากประทัด ดอกไม้ไฟ
ในช่วงแรกเริ่ม ใช้ในงานเฉลิมฉลอง
แต่ไม่ได้ใช้อาวุธเหล่านี้ในการรบ
ชาวมองโกลรีบนำปืนมาใช้
หลังจากรุกรานจีนและเปอร์เซีย
โดยใช้ปืนพ่นไฟของจีนเผาทำลายบ้านเรือน
และปืนกระบอกเดี่ยวของเปอร์เซีย
ในการพิชิตดินแดนภายใต้การนำของ
เจงกิสข่านและผู้สืบทอดบัลลังก์
จักรพรรดิ์อัคบาร์แห่งโมกุล
จัดตั้งหน่วยทหารปืนและปืนใหญ่
ขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคอินเดีย
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16
ตามตำนานอัคบาร์ไม่รู้หนังสือ
ตอนเล็ก ๆ ไม่เรียนหนังสือ
โตขึ้นมาได้เป็นพระราชา
อัคบาร์น่าจะเป็น โรค Dyslexia คือ
ภาวะผิดปกติทางด้านการอ่าน
และการเรียนรู้ภาษา
ผู้ที่มีภาวะนี้จะมีความยากลำบาก
ในการแยกแยะเสียงที่ได้ยิน
และมีความยากลำบาก
ไม่สามารถอ่าน เขียน และสะกดคำ
เพราะไม่สามารถเชื่อมโยงเสียง
กับตัวอักษรเข้าด้วยกันได้
แต่พวกนี้มีความจำดีมากในหลายเรื่อง
เช่น พุ่มพวง ดวงจันทร์ Sir Richard Branson
เสี่ยโรงเหล้า ป.1-ป.4 เรียนชั้นละ 2 ปี
แต่อัคบาร์ชาญฉลาดมาก/มากเหลียม
(เล่ห์เหลี่ยมเยอะมาก) ในการปกครอง
รวมทั้งได้เสนาบดี อำมาตย์ ที่คู่ใจ
รู้ใจเจ้านาย มากกว่า รู้ทันเจ้านาย
ทำให้การบริหารรัฐกิจราบรื่น
.
.
ในญี่ปุ่น การใช้อาวุธปืนครั้งแรก
ในทางการทหารในการรบนั้นเกิดขึ้น
ในช่วงสมัยเซ็งโกกุจิได
(ประมาณ ค.ศ. 1467-1603)
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งแหลมคม
ระหว่างเจ้าผู้ครองแคว้นต่าง ๆ
แบบต่างแย่งชิงกันเป็นโชกุน
ที่เหนือกว่าไดเมียวตามแคว้นต่าง ๆ
บุคคลสำคัญที่เป็นผู้บุกเบิก
ใช้อาวุธปืนในสงครามของญี่ปุ่นมีดังนี้:
1. โอดะ โนบุนางะ (ค.ศ. 1534-1582)
เป็นหนึ่งในไดเมียวรายแรก ๆ
ที่ตระหนักถึงอานุภาพของอาวุธปืน
และพยายามจัดหาและใช้ปืน
ปืนคาบศิลาทาเนงาชิมา
โดยซื้อจากพ่อค้าชาวโปรตุเกส 2 กระบอก
แล้วให้ช่างตีดาบ ฮาจิบัง คินเบย์
ได้แรงบันดาลใจ Copy & Development
ทำให้จัดหาปืนให้กับกองทัพชาวนาซามูไร
และใช้ประสิทธิภาพของกระสุนปืน
ในการรบหลายครั้ง เช่น ที่นางาชิโนในปี 1575
2. โตกุงาวะ เอียสุ (ค.ศ. 1543-1616)
ในฐานะผู้สนับสนุนของโนบุนางะ
ก็เจริญรอยตามปฏิบัติตาม
แบบความชั่วเรียนรู้ง่าย
ความดีตัองอดทนต้องฝึกฝน
แล้วจัดตั้งหน่วยทหารปืนประจำกองทัพ
หลังจากรวบรวมญี่ปุ่นได้สำเร็จ
โชกุนโตกุงาวะ ก็ยังคงปรับปรุงปืน
ชนิดจุดแรงดัน(คาบศิลา) ต่อไป
3) คาโตะ คิโยมาสะ (ค.ศ. 1562-1611)
ในฐานะนายทหารผู้โดดเด่น
ภายใต้ตระกูลโตโยโตมิ
ได้วางรากฐานกลยุทธ์การรบใหม่
โดยการผสมผสานการยิงปืนจากหน่วยปืน
ผสมผสานกับการรุกของทหารม้า
4) ยามาโมโตะ คานซุเกะ (ค.ศ. 1501-1561)
ในฐานะช่างตีดาบผู้เชี่ยวชาญ
เป็นหนึ่งในผู้แรกที่ผลิตปืนภายในประเทศ
หลังจากวิเคราะห์ปืนทาเนงาชิมา ที่ Import
แบบได้แรงบันดาลใจทำให้ดีกว่าเก่า
แม้ว่าชาวโปรตุเกสจะนำเข้าปืนคาบศิลา
แบบจุดแรงดันมายังญี่ปุ่นในปีค.ศ. 1543
แต่ โนบุนางะ เป็นผู้บูรณาการอาวุธเหล่านั้น
เข้ากับกลยุทธ์ทางทหาร/กองกำลังติดอาวุธ
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16
มึการนำอาวุธปืนมาใช้ในการสงคราม
ในช่วงยุคเซ็งโกกุ ที่มีความวุ่นวายอลหม่าน
และปืนคาบศิลาได้ย่นระยะเวลา
ฝึกชาวนาซามูไรออกรบได้รวดเร็วมาก
มีกลอนไฮกุ เขียนว่า
ฝึกดาบซามูไร
กินเวลา 10-20 ปี
ตายกับชาวนา
ฝึกยิงปืนแค่ 1 ปี
..
.
เรื่องเดิม
.
ภาพถ่ายยุคสุดท้ายของซามูไร
.
.
.
ซามูไรหญิง
.
.
.
ราชินี Anatahan กับทหารญี่ปุ่น 33 คน
.
.
.