พอดีเป็นคน กทม แต่กำเนิด รู้สึกวุ่นวายเวลาออกไปทำธุระนอกบ้าน มันต้องแข่งกับคนและเวลาใครถามอะไร ขอความช่วยเหลืออะไรแรกๆก็ใจดีตอบ ยินดีช่วย
แต่หลังๆ เริ่มไม่ตอบ ไม่ว่างจะคุยกับคนไม่รัจัก ยิ่งถ้านั่งคนเดียว แต่กำลังยุ่งคิดในใจหรือทำอะไรอยู่ แล้วคนไม่รู้จักมาทัก จะเริ่มหงุดหงิด แถมยังคิดด้วยว่า เรายุ่งอยู่ มาถามทำไม ไม่เกรงใจกันบ้างหรอ การปฏิเสธกลายๆเริ่มมีบ่อยขึ้น
เชื่อว่า คนที่อยู่ กทม จะมีอารมณ์ที่ว่า จริงๆ ไม่ได้เรียกว่าเห็นแก่ตัวหรอก เพราะนิยามเห็นแก่ตัว จะเกิดเมื่อคนไปละเมิดสิทธิคนอื่น แต่นี่เราไม่ใช่ว่าเราไปละเมิดใคร แต่เราเลือดเย็นมากขึ้น เราเพิกเฉยกับเรื่องคนอื่น คนต่างจังหวัดอาจเข้าใจว่า ทำไมคน กทม อย่างเรา เลือดเย็นเหลือเกิน
อยากบอกว่า สังคมในกรุง คนส่วนใหญ่เลือดเย็นจริง สังคมมันพาไป การแข่งขันกับเวลา ทำให้คนเราสนใจเฉพาะเรื่องตัวเอง และการไม่ไปละเมิดคนอื่น มันก็อาจเพียงพอแล้วสำหรับสังคมแข่งขันอย่างในกรุงเทพ แม้ว่าจะดูว่า คน กทม แล้งน้ำใจไปบ้าง แต่ก็อยากให้เข้าใจว่า นี่คือ ความเป็นไปของระบบทุนนิยมที่หล่อหลอม และมันเป็นไปเหมือนกันในทุกเมืองใหญ่ทั่วโลก
ชีวิตคน กทม จะสบาย ถ้าไม่ได้ยุ่งกับคนอื่น
แต่หลังๆ เริ่มไม่ตอบ ไม่ว่างจะคุยกับคนไม่รัจัก ยิ่งถ้านั่งคนเดียว แต่กำลังยุ่งคิดในใจหรือทำอะไรอยู่ แล้วคนไม่รู้จักมาทัก จะเริ่มหงุดหงิด แถมยังคิดด้วยว่า เรายุ่งอยู่ มาถามทำไม ไม่เกรงใจกันบ้างหรอ การปฏิเสธกลายๆเริ่มมีบ่อยขึ้น
เชื่อว่า คนที่อยู่ กทม จะมีอารมณ์ที่ว่า จริงๆ ไม่ได้เรียกว่าเห็นแก่ตัวหรอก เพราะนิยามเห็นแก่ตัว จะเกิดเมื่อคนไปละเมิดสิทธิคนอื่น แต่นี่เราไม่ใช่ว่าเราไปละเมิดใคร แต่เราเลือดเย็นมากขึ้น เราเพิกเฉยกับเรื่องคนอื่น คนต่างจังหวัดอาจเข้าใจว่า ทำไมคน กทม อย่างเรา เลือดเย็นเหลือเกิน
อยากบอกว่า สังคมในกรุง คนส่วนใหญ่เลือดเย็นจริง สังคมมันพาไป การแข่งขันกับเวลา ทำให้คนเราสนใจเฉพาะเรื่องตัวเอง และการไม่ไปละเมิดคนอื่น มันก็อาจเพียงพอแล้วสำหรับสังคมแข่งขันอย่างในกรุงเทพ แม้ว่าจะดูว่า คน กทม แล้งน้ำใจไปบ้าง แต่ก็อยากให้เข้าใจว่า นี่คือ ความเป็นไปของระบบทุนนิยมที่หล่อหลอม และมันเป็นไปเหมือนกันในทุกเมืองใหญ่ทั่วโลก