สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
มันเป็น process ของการพัฒนานะ ผมเห็นในตัวเองและหลายๆคน
1. เริ่มจากการเป็นคนขี้เกรงใจ พยายามทำให้สังคมยอมรับ
2. ถึงจุดนึงเรียนรู้ว่าสังคมมันก็เฮงซวย มีแต่คนคอยเอาเปรียบ จึงมีพฤติกรรมต่อต้าน
3. เรียนรู้ว่าการต่อต้านสังคมมันก็แย่พอกับการทำตามสังคม เริ่มจะหาจุดสมดุล
ขั้นสุดท้ายในการหาจุดสมดุลนี่แหละ มันจะมีหลายๆอย่างมาปะทะกัน เช่น
- ความรู้สึกผิดที่ทำในสิ่งที่อาจจถูกมองว่าไม่ดี สิ่งที่ถูกมองว่า “เลือดเย็น”
- ความจำเป็นที่จะต้องปกป้องตนเอง เพื่อที่จะอยู่รอด
- ความกลัวว่าเราอาจกำลังไปในทางที่ผิด เผลอไปทำสิ่งที่ผิด และแก้ไขไม่ได้
- ความกลัวว่าถ้าเราเป็นคนดี ปล่อยให้คนอื่นเอาเปรียบ นอกจากเราจะกลายเป็นผู้แพ้แล้ว สังคมก็ยังไม่ได้ยอมรับเราอยู่ดี มีแต่จะถูกเอาเปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งมันไม่มีคำตอบที่ชัดเจน มันไม่มีสูตรสำเร็จ ว่าเราควร “เลือดเย็น” หรือไม่ มากแค่ไหน
แต่สิ่งนึงที่ชัดเจนคือ เราเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า คนที่เขาทำสิ่งที่เห็นแก่ตัว ทำสิ่งที่ไม่น่ารัก เขามีความรู้สึกอย่างไร
อย่างน้อยมันก็ทำให้เราสามารถที่จะเห็นอกเห็นใจเขาได้มากขึ้น ซึ่งนั่นอาจเป็นจุดเริ่มที่ดี
1. เริ่มจากการเป็นคนขี้เกรงใจ พยายามทำให้สังคมยอมรับ
2. ถึงจุดนึงเรียนรู้ว่าสังคมมันก็เฮงซวย มีแต่คนคอยเอาเปรียบ จึงมีพฤติกรรมต่อต้าน
3. เรียนรู้ว่าการต่อต้านสังคมมันก็แย่พอกับการทำตามสังคม เริ่มจะหาจุดสมดุล
ขั้นสุดท้ายในการหาจุดสมดุลนี่แหละ มันจะมีหลายๆอย่างมาปะทะกัน เช่น
- ความรู้สึกผิดที่ทำในสิ่งที่อาจจถูกมองว่าไม่ดี สิ่งที่ถูกมองว่า “เลือดเย็น”
- ความจำเป็นที่จะต้องปกป้องตนเอง เพื่อที่จะอยู่รอด
- ความกลัวว่าเราอาจกำลังไปในทางที่ผิด เผลอไปทำสิ่งที่ผิด และแก้ไขไม่ได้
- ความกลัวว่าถ้าเราเป็นคนดี ปล่อยให้คนอื่นเอาเปรียบ นอกจากเราจะกลายเป็นผู้แพ้แล้ว สังคมก็ยังไม่ได้ยอมรับเราอยู่ดี มีแต่จะถูกเอาเปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งมันไม่มีคำตอบที่ชัดเจน มันไม่มีสูตรสำเร็จ ว่าเราควร “เลือดเย็น” หรือไม่ มากแค่ไหน
แต่สิ่งนึงที่ชัดเจนคือ เราเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า คนที่เขาทำสิ่งที่เห็นแก่ตัว ทำสิ่งที่ไม่น่ารัก เขามีความรู้สึกอย่างไร
อย่างน้อยมันก็ทำให้เราสามารถที่จะเห็นอกเห็นใจเขาได้มากขึ้น ซึ่งนั่นอาจเป็นจุดเริ่มที่ดี
ความคิดเห็นที่ 28
ส่วนตัวผม อายุปาเข้า 50 ปีแล้ว
ก็ยังคงยึดถือคติว่า ใครจะเอาเปรียบเราอย่างไร ก็ไม่เป็นไร ช่างเขา แต่เราจะต้อง (พยายาม) ไม่ไปเอาเปรียบคนอื่น
ที่ใช้คำว่า "พยายาม" เพราะวิสัยมนุษย์ที่ยังไม่ดับกิเลส ก็มีบางครั้งหรือหลายครั้งที่เราจะไปเอาเปรียบคนอื่นโดยไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวแล้วก็ยังจะขืนทำ
สรุป ผมถือคติตรงข้ามกับโจโฉ คือ ยอมให้คนทั้งโลกเอาเปรียบหรือหักหลัง แต่จะ(พยายาม)ไม่ยอมเอาเปรียบหรือหักหลังคนอื่น
ด้วยผลของการยึดถือคติเช่นนี้ ทำให้เราไม่ต้องไปเดือดเนื้อร้อนใจหรือเป็นทุกข์กับการกระทำของคนอื่นที่มีต่อเรา มีแต่ความสบายใจสุขใจในชีวิต
บางครั้งถึงกับต้องเผลออุทานว่า "ทำไมเราถึงมีความสุขเช่นนี้หนอ มันสุขใจจริงๆ สุขจนแทบจะเอ่อล้นออกมาจากใจแล้วหนอ 555+"
ดีกว่าการที่จะต้องมานั่งเครียด ปวดหัวปวดกบาลกับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของคนอื่น มาคอยป้องกันไม่ให้คนอื่นเอาเปรียบเราอย่างเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดก็ยอมไม่ได้เลย จะเป็นจะตายให้ได้
ผมเป็นนักกฎหมาย เป็นทนายความ แต่เรื่องเดียวที่จะไม่ทำหรือเลี่ยงที่จะทำ ก็คือการยกเอากฎหมายมาขู่เพื่อนบ้าน
ก็ยังคงยึดถือคติว่า ใครจะเอาเปรียบเราอย่างไร ก็ไม่เป็นไร ช่างเขา แต่เราจะต้อง (พยายาม) ไม่ไปเอาเปรียบคนอื่น
ที่ใช้คำว่า "พยายาม" เพราะวิสัยมนุษย์ที่ยังไม่ดับกิเลส ก็มีบางครั้งหรือหลายครั้งที่เราจะไปเอาเปรียบคนอื่นโดยไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวแล้วก็ยังจะขืนทำ
สรุป ผมถือคติตรงข้ามกับโจโฉ คือ ยอมให้คนทั้งโลกเอาเปรียบหรือหักหลัง แต่จะ(พยายาม)ไม่ยอมเอาเปรียบหรือหักหลังคนอื่น
ด้วยผลของการยึดถือคติเช่นนี้ ทำให้เราไม่ต้องไปเดือดเนื้อร้อนใจหรือเป็นทุกข์กับการกระทำของคนอื่นที่มีต่อเรา มีแต่ความสบายใจสุขใจในชีวิต
บางครั้งถึงกับต้องเผลออุทานว่า "ทำไมเราถึงมีความสุขเช่นนี้หนอ มันสุขใจจริงๆ สุขจนแทบจะเอ่อล้นออกมาจากใจแล้วหนอ 555+"
ดีกว่าการที่จะต้องมานั่งเครียด ปวดหัวปวดกบาลกับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของคนอื่น มาคอยป้องกันไม่ให้คนอื่นเอาเปรียบเราอย่างเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดก็ยอมไม่ได้เลย จะเป็นจะตายให้ได้
ผมเป็นนักกฎหมาย เป็นทนายความ แต่เรื่องเดียวที่จะไม่ทำหรือเลี่ยงที่จะทำ ก็คือการยกเอากฎหมายมาขู่เพื่อนบ้าน
แสดงความคิดเห็น
เพื่อนๆในนี้ใครเคยเป็นคนที่ใจดี ขี้เกรงใจต่อเพื่อนมนุษย์ กลับกลายเป็นคนเลือดเย็นเห็นแก่ตัวแบบสุดๆบ้างครับ
เพื่อนมีใครเป็นบ้าง
ขอบคุณครับ