เพียงแค่เห็นชื่อของ “ทาเครุ ซาโต้” ก็มีมวลความรู้สึกให้อยากชมภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ และถ้าพูดกันตามตรง ภาพยนตร์รัก(หรือแนวอื่นๆ) จากประเทศญี่ปุ่นที่เข้าฉายในบ้านเรา มักจะเป็นภาพยนตร์ที่มีคุณภาพในระดับสูงอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องกังวลว่าการตีตั๋วเข้าไปแต่ละครั้งจะผิดหวังหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเพราะทางผู้จัดจำหน่ายก็คงคัดเลือกภาพยนตร์คุณภาพมาฉายอยู่แล้วนั่นแหละ
April, Come She Will หรือในชื่อไทยว่า “เมษายน พาใครบางคนกลับมา” เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายในชื่อเดียวกันของคาวามูระ เก็งกิ (Kawamura Genki) ผู้เขียนเจ้าของผลงาน “ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว” หรือ If Cats Disappeared from the World ซึ่งก็ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เช่นเดียวกัน และครั้งนี้ก็ยังคงใช้บริการพระเอกแห่งชาติของญี่ปุ่นอย่างทาเครุ ซาโต้ (Takeru Satou) เหมือนเดิม แน่นอนว่างานของคาวามูระย่อมไม่ใช่เรื่องราวความรักแบบผิวเผินทั่วไป แต่มันคือการเข้าไปสำรวจความคิดของตัวละครแต่ละคนที่มีความซับซ้อนจนเผลอๆ จะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เบนเข็มไปสู่สายปรัชญาได้เลย
ฉบับภาพยนตร์ที่เป็นงานในการกำกับเรื่องแรกของ โทโมคาซุ ยามาดะ (Tomokazu Yamada) ก็หนีไม่พ้นที่จะตกอยู่ในร่องของความเป็นปรัชญานี้ด้วยเช่นกัน จากตัวละครนำทั้งสองดูจะมีสติปัญญาอยู่ในระดับสูง ทั้งจิตแพทย์หนุ่มหน้าตาดีจนไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องความรักอย่างฟูจิชิโระ ชุน (Takeru Satou) ที่กำลังจะแต่งงานกับ ยาโยอิ (Nagasawa Masami) คู่หมั้นสัตวแพทย์สาวที่มีหน้าที่การงานและไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกัน ทว่าก่อนที่จะแต่งงานกลับมีบางอย่างติดค้างในใจของทั้งคู่ และเป็นเหตุให้ยาโยอิเลือกที่จะหนีออกมากลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
ตัวเรื่องทั้งหมดจึงเริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้ มันจึงเป็นการเดินทางเพื่อสำรวจร่องรอยของความทรงจำของฟูจิชิโระ ว่ามีสาเหตุใดที่ทำให้ยาโยอิตัดสินใจที่จะหายไปจากเขา ตรงนี้เองที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมในการใช้ความคิดและพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้ยาโยอิตัดสินใจแบบนั้นไปพร้อมๆ กับการค่อยๆ เปิดเผยแง่มุมต่างๆ ของฟูจิชิโระมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเรื่องราวในอดีตของคนรักเก่าอย่าง ฮารุ (Nana Mori) ที่ถูกเล่าเข้ามาแทรกเป็นระยะๆ พอให้ผู้ชมสับสนเล่นๆ แต่ก็เป็นส่วนสำคัญที่สุดของเรื่อง และคำใบ้รายทางจากผู้คนรอบข้างเพื่อชี้นำผู้ชมถึงตัวตนของจิตแพทย์หนุ่มผู้นี้ ที่มักจะให้คำปรึกษาแก่ผู้อื่น แต่กลับแก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้แม้แต่น้อย
อีกด้านหนึ่งประเด็นของเรื่องก็ถูกขับเคลื่อนผ่านคำถามของยาโยอิ เราไม่แน่ใจว่าทำไมเธอถึงเป็นผู้หญิงที่ชอบตั้งคำถามต่อชีวิต ความสุข และความรัก แต่นั่นก็เป็นที่มาของคำถามอย่าง “ทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ความรักจบลง” ที่กลายเป็นคำถามสำคัญของเรื่องและตัวละครจะต้องหาคำตอบ (ในแบบของพวกเขา) ส่วนผู้ชมก็ได้หาคำตอบในแบบของแต่ละคนด้วยเช่นกัน แม้ว่าในเรื่องจะมีการตอบคำถามนี้ไว้อย่างชัดเจน (จากมุมมองของยาโยอิ) แต่เนื่องจากคำตอบของคำถามนี้เป็นปัจเจกของแต่ละคน เราจึงไม่ต้องยอมรับสิ่งที่ยาโยอิให้คำตอบหรือการกระทำหลายๆ อย่างที่ดูงี่เง่าของเหล่าตัวละครในเรื่องก็ตาม
ด้วยเหตุนี้การเล่าเรื่องของ April, Come She Will จึงเต็มไปด้วยการใช้ Voice Over หรือ เสียงบรรยายความคิดจากตัวละคร เหมือนเราได้ฟังตัวละครอ่านไดอารี่ชีวิตของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องราวของฮารุที่เป็นเรื่องในอดีตซะส่วนใหญ่ แน่นอนว่าเสียงบรรยายเหล่านี้ถูกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในการขับเน้นความคิดอันซับซ้อนของตัวละครทั้งสาม ทิศทางของเรื่องจึงไม่ใช้การสร้างสถานการณ์เพื่อบีบคั้นอารมณ์อันท่วมท้น แต่มันเป็นการลำดับความคิดและเรื่องราวที่เกิดขึ้น นำไปสู่การตกผลึกถึงสิ่งที่ตัวเรื่องต้องการจะสื่อ แน่นอนว่ามันอาจไม่ใช่แนวทางที่ชื่นชอบสำหรับใครหลายคน (แต่ก็ยังรักษาอารมณ์โดยรวมของหนังได้อย่างมั่นคง)
และด้วยความที่ตัวผู้กำกับโทโมคาซุ ยามาดะ เคยทำผลงาน MV มาก่อน ภาพของ April, Come She Will จึงถูกพิถีพิถันเป็นพิเศษ ฉากในญี่ปุ่นท้องเรื่องหลักก็ว่าสวยอยู่แล้ว ฉากในประเทศต่างๆ ที่ฮารุเดินทางไป ทั้งทะเลสาปเกลืออูยูนีในโบลิเวีย บรรยากาศตัวเมืองปรากในเช็ก พระอาทิตย์ขึ้นที่ไอซ์แลนด์ ก็ถูกถ่ายทอดทั้งจากกล้องมุมสูงและมุมกว้าง เรียกว่าเหมือนได้ไปเที่ยวกับตัวละครพร้อมกับภาพสวยๆ เลย และเรื่องราวของการถ่ายภาพโดยใช้กล้องฟิล์มก็ยังถูกถ่ายทอดผ่านฮารุที่มีแรงบันดาลใจในด้านนี้ด้วย การถ่ายภาพจึงเป็นเหมือนอีกสิ่งหนึ่งที่ตัวเรื่องใช้เป็นนัยยะเพื่อสื่อสารอะไรบางอย่างเช่นกัน
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสีย ถ้าไม่นับการเล่าเรื่องเฉพาะตัวที่อาจจะเชื่องช้าและเต็มไปด้วยบทสนทนา ข้อเสียหลักๆ คงจะเป็นการดัดแปลงมาจากนิยายที่มีการตัดบางส่วนทิ้งไป แม้ว่าตัวผู้เขียนอย่างคาวามูระ เก็งกิ จะมาช่วยเขียนบทด้วยก็ตาม แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่า มีหลายการกระทำของตัวละครที่ดูเหมือนถูกละไว้ เห็นได้ชัดในกรณีของความสัมพันธ์ระหว่าฮารุและฟูจิชิโระที่ต้องจบลงแบบงงๆ หรือการตัดสินใจหลายๆ อย่างของตัวละครที่ขาดเหตุผลให้ดูน่าเชื่อถือ ก็นับว่าเป็นจุดที่น่าขัดใจอยู่ไม่น้อย
การแสดงของทาเครุ ซาโต้ ยังคงสะกดสายตาเหมือนเดิม ความซับซ้อนทางอารมณ์ของตัวละครถูกถ่ายทอดออกมาทางสีหน้าและแววตาที่เหมือนจะมีอะไรในใจตลอดเวลา ทำให้ผู้ชมเดาทางตัวละครนี้แทบไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ในส่วนของ นากาซาวะ มาซามิ แม้จะปรากฏตัวออกมาน้อยกว่า แต่ก็มีอิทธิพลต่อเรื่องได้ตลอดเวลา ความเข้าใจยากของตัวละครที่ผู้ชมต้องคอยสังเกตว่าเธอคิดอะไรอยู่ถูกถ่ายทอดออกมาได้ดี และคนสุดท้ายนานะ โมริ ในบทฮารุ ทำได้ดีกับการถ่ายทอดความเป็นสาวน้อยสดใสที่เข้ามาเป็นความทรงจำที่หวานปนขมของฟูจิชิโระ
Michi Teyu Ku (Overflowing) เพลงประกอบหลักของเรื่อง โดยศิลปินสุดฮ็อตของญี่ปุ่นในเวลานี้อย่าง ฟูจิอิ คาเซะ (Fujii Kaze) สามารถสะกดให้ผู้ชมไม่อยากลุกออกจากที่นั่งในตอนจบของเรื่องได้อย่างน่าประหลาดใจ และนี่ถือเป็นเพลงรักแนวโรมานซ์เพลงแรกของเจ้าตัวเลยก็ว่าได้ สามารถหาฟังได้ตามช่องทางต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นส่วนเติมเต็มให้กับเรื่องราวของ April, Come She Will ได้อีกมากเลยทีเดียว
สรุป April, Come She Will เป็นภาพยนตร์ที่นำความรักของหนุ่มสาวในช่วงเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อมาตั้งคำถามถึงธรรมชาติของมันอย่างลึกซึ้ง แม้จะเต็มไปด้วยความซับซ้อนของตัวละครแต่ด้วยพลังทางการแสดงและการเล่าเรื่องก็ทำให้ตัวเรื่องไม่ได้ดูยากจนเกินไป แถมด้วยภาพสวยๆ จากหลายประเทศตามความถนัดของผู้กำกับและเพลงประกอบจากศิลปินเลื่องชื่อ ก็ยิ่งผลักดันคุณภาพโดยรวมของภาพยนตร์ให้ควรค่าแก่การรับชมขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว (คำคมเยอะด้วยนะ)
Story Decoder
[รีวิว] April, Come She Will - ปรัชญาความรักจากหนุ่มสาวช่างคิดที่ถูกถ่ายทอดอย่างละเอียดลึกซึ้งและประณีตงดงาม
April, Come She Will หรือในชื่อไทยว่า “เมษายน พาใครบางคนกลับมา” เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายในชื่อเดียวกันของคาวามูระ เก็งกิ (Kawamura Genki) ผู้เขียนเจ้าของผลงาน “ถ้าโลกนี้ไม่มีแมว” หรือ If Cats Disappeared from the World ซึ่งก็ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เช่นเดียวกัน และครั้งนี้ก็ยังคงใช้บริการพระเอกแห่งชาติของญี่ปุ่นอย่างทาเครุ ซาโต้ (Takeru Satou) เหมือนเดิม แน่นอนว่างานของคาวามูระย่อมไม่ใช่เรื่องราวความรักแบบผิวเผินทั่วไป แต่มันคือการเข้าไปสำรวจความคิดของตัวละครแต่ละคนที่มีความซับซ้อนจนเผลอๆ จะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เบนเข็มไปสู่สายปรัชญาได้เลย
ฉบับภาพยนตร์ที่เป็นงานในการกำกับเรื่องแรกของ โทโมคาซุ ยามาดะ (Tomokazu Yamada) ก็หนีไม่พ้นที่จะตกอยู่ในร่องของความเป็นปรัชญานี้ด้วยเช่นกัน จากตัวละครนำทั้งสองดูจะมีสติปัญญาอยู่ในระดับสูง ทั้งจิตแพทย์หนุ่มหน้าตาดีจนไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องความรักอย่างฟูจิชิโระ ชุน (Takeru Satou) ที่กำลังจะแต่งงานกับ ยาโยอิ (Nagasawa Masami) คู่หมั้นสัตวแพทย์สาวที่มีหน้าที่การงานและไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกัน ทว่าก่อนที่จะแต่งงานกลับมีบางอย่างติดค้างในใจของทั้งคู่ และเป็นเหตุให้ยาโยอิเลือกที่จะหนีออกมากลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
ตัวเรื่องทั้งหมดจึงเริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้ มันจึงเป็นการเดินทางเพื่อสำรวจร่องรอยของความทรงจำของฟูจิชิโระ ว่ามีสาเหตุใดที่ทำให้ยาโยอิตัดสินใจที่จะหายไปจากเขา ตรงนี้เองที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมในการใช้ความคิดและพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้ยาโยอิตัดสินใจแบบนั้นไปพร้อมๆ กับการค่อยๆ เปิดเผยแง่มุมต่างๆ ของฟูจิชิโระมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเรื่องราวในอดีตของคนรักเก่าอย่าง ฮารุ (Nana Mori) ที่ถูกเล่าเข้ามาแทรกเป็นระยะๆ พอให้ผู้ชมสับสนเล่นๆ แต่ก็เป็นส่วนสำคัญที่สุดของเรื่อง และคำใบ้รายทางจากผู้คนรอบข้างเพื่อชี้นำผู้ชมถึงตัวตนของจิตแพทย์หนุ่มผู้นี้ ที่มักจะให้คำปรึกษาแก่ผู้อื่น แต่กลับแก้ปัญหาให้ตัวเองไม่ได้แม้แต่น้อย
อีกด้านหนึ่งประเด็นของเรื่องก็ถูกขับเคลื่อนผ่านคำถามของยาโยอิ เราไม่แน่ใจว่าทำไมเธอถึงเป็นผู้หญิงที่ชอบตั้งคำถามต่อชีวิต ความสุข และความรัก แต่นั่นก็เป็นที่มาของคำถามอย่าง “ทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ความรักจบลง” ที่กลายเป็นคำถามสำคัญของเรื่องและตัวละครจะต้องหาคำตอบ (ในแบบของพวกเขา) ส่วนผู้ชมก็ได้หาคำตอบในแบบของแต่ละคนด้วยเช่นกัน แม้ว่าในเรื่องจะมีการตอบคำถามนี้ไว้อย่างชัดเจน (จากมุมมองของยาโยอิ) แต่เนื่องจากคำตอบของคำถามนี้เป็นปัจเจกของแต่ละคน เราจึงไม่ต้องยอมรับสิ่งที่ยาโยอิให้คำตอบหรือการกระทำหลายๆ อย่างที่ดูงี่เง่าของเหล่าตัวละครในเรื่องก็ตาม
ด้วยเหตุนี้การเล่าเรื่องของ April, Come She Will จึงเต็มไปด้วยการใช้ Voice Over หรือ เสียงบรรยายความคิดจากตัวละคร เหมือนเราได้ฟังตัวละครอ่านไดอารี่ชีวิตของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องราวของฮารุที่เป็นเรื่องในอดีตซะส่วนใหญ่ แน่นอนว่าเสียงบรรยายเหล่านี้ถูกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในการขับเน้นความคิดอันซับซ้อนของตัวละครทั้งสาม ทิศทางของเรื่องจึงไม่ใช้การสร้างสถานการณ์เพื่อบีบคั้นอารมณ์อันท่วมท้น แต่มันเป็นการลำดับความคิดและเรื่องราวที่เกิดขึ้น นำไปสู่การตกผลึกถึงสิ่งที่ตัวเรื่องต้องการจะสื่อ แน่นอนว่ามันอาจไม่ใช่แนวทางที่ชื่นชอบสำหรับใครหลายคน (แต่ก็ยังรักษาอารมณ์โดยรวมของหนังได้อย่างมั่นคง)
และด้วยความที่ตัวผู้กำกับโทโมคาซุ ยามาดะ เคยทำผลงาน MV มาก่อน ภาพของ April, Come She Will จึงถูกพิถีพิถันเป็นพิเศษ ฉากในญี่ปุ่นท้องเรื่องหลักก็ว่าสวยอยู่แล้ว ฉากในประเทศต่างๆ ที่ฮารุเดินทางไป ทั้งทะเลสาปเกลืออูยูนีในโบลิเวีย บรรยากาศตัวเมืองปรากในเช็ก พระอาทิตย์ขึ้นที่ไอซ์แลนด์ ก็ถูกถ่ายทอดทั้งจากกล้องมุมสูงและมุมกว้าง เรียกว่าเหมือนได้ไปเที่ยวกับตัวละครพร้อมกับภาพสวยๆ เลย และเรื่องราวของการถ่ายภาพโดยใช้กล้องฟิล์มก็ยังถูกถ่ายทอดผ่านฮารุที่มีแรงบันดาลใจในด้านนี้ด้วย การถ่ายภาพจึงเป็นเหมือนอีกสิ่งหนึ่งที่ตัวเรื่องใช้เป็นนัยยะเพื่อสื่อสารอะไรบางอย่างเช่นกัน
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสีย ถ้าไม่นับการเล่าเรื่องเฉพาะตัวที่อาจจะเชื่องช้าและเต็มไปด้วยบทสนทนา ข้อเสียหลักๆ คงจะเป็นการดัดแปลงมาจากนิยายที่มีการตัดบางส่วนทิ้งไป แม้ว่าตัวผู้เขียนอย่างคาวามูระ เก็งกิ จะมาช่วยเขียนบทด้วยก็ตาม แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่า มีหลายการกระทำของตัวละครที่ดูเหมือนถูกละไว้ เห็นได้ชัดในกรณีของความสัมพันธ์ระหว่าฮารุและฟูจิชิโระที่ต้องจบลงแบบงงๆ หรือการตัดสินใจหลายๆ อย่างของตัวละครที่ขาดเหตุผลให้ดูน่าเชื่อถือ ก็นับว่าเป็นจุดที่น่าขัดใจอยู่ไม่น้อย
การแสดงของทาเครุ ซาโต้ ยังคงสะกดสายตาเหมือนเดิม ความซับซ้อนทางอารมณ์ของตัวละครถูกถ่ายทอดออกมาทางสีหน้าและแววตาที่เหมือนจะมีอะไรในใจตลอดเวลา ทำให้ผู้ชมเดาทางตัวละครนี้แทบไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ในส่วนของ นากาซาวะ มาซามิ แม้จะปรากฏตัวออกมาน้อยกว่า แต่ก็มีอิทธิพลต่อเรื่องได้ตลอดเวลา ความเข้าใจยากของตัวละครที่ผู้ชมต้องคอยสังเกตว่าเธอคิดอะไรอยู่ถูกถ่ายทอดออกมาได้ดี และคนสุดท้ายนานะ โมริ ในบทฮารุ ทำได้ดีกับการถ่ายทอดความเป็นสาวน้อยสดใสที่เข้ามาเป็นความทรงจำที่หวานปนขมของฟูจิชิโระ
Michi Teyu Ku (Overflowing) เพลงประกอบหลักของเรื่อง โดยศิลปินสุดฮ็อตของญี่ปุ่นในเวลานี้อย่าง ฟูจิอิ คาเซะ (Fujii Kaze) สามารถสะกดให้ผู้ชมไม่อยากลุกออกจากที่นั่งในตอนจบของเรื่องได้อย่างน่าประหลาดใจ และนี่ถือเป็นเพลงรักแนวโรมานซ์เพลงแรกของเจ้าตัวเลยก็ว่าได้ สามารถหาฟังได้ตามช่องทางต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นส่วนเติมเต็มให้กับเรื่องราวของ April, Come She Will ได้อีกมากเลยทีเดียว
สรุป April, Come She Will เป็นภาพยนตร์ที่นำความรักของหนุ่มสาวในช่วงเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อมาตั้งคำถามถึงธรรมชาติของมันอย่างลึกซึ้ง แม้จะเต็มไปด้วยความซับซ้อนของตัวละครแต่ด้วยพลังทางการแสดงและการเล่าเรื่องก็ทำให้ตัวเรื่องไม่ได้ดูยากจนเกินไป แถมด้วยภาพสวยๆ จากหลายประเทศตามความถนัดของผู้กำกับและเพลงประกอบจากศิลปินเลื่องชื่อ ก็ยิ่งผลักดันคุณภาพโดยรวมของภาพยนตร์ให้ควรค่าแก่การรับชมขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว (คำคมเยอะด้วยนะ)
Story Decoder