Incredible india! ประเทศที่ไม่รักก็อาจจะไม่อยากไปอีกเลย...
หลายต่อหลายครั้งที่ได้ยินการกล่าวถึงประเทศอินเดียในลักษณะนี้ ทั้งในแง่ดี และแง่ไม่ค่อยจะดี จากคนที่เคยไป ไปแล้วไปอีก ไปแล้วไม่อยากกลับไปอีก และคนที่ไม่เคยไป แต่ฟังตาม ๆ กันมา
ทำให้นึกสงสัยอยู่เสมอ ว่า...
‘อินเดีย’ ที่ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียใต้ ตามหนังสือในวิชาสังคมศึกษา
‘อินเดีย’ ที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้าและศาสนาพุทธตามหนังสือในวิชาพระพุทธศาสนา
‘อินเดีย’ ที่มีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี อาหารอันแสนเป็นเอกลักษณตามหนังสือในวิชาประวัติศาสตร์
ทั้งหมดนี้ ประเทศนี้ ผู้คนในนี้จะหน้าตาเป็นเช่นไร ให้ความรู้สึกแบบไหน คงไม่มีคำตอบใดจะดีกว่า ไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง!
Day 0
เราเริ่มต้นการเดินทางที่ ‘สนามบินดอนเมือง’ บอกตามตรงว่าครั้งแรกไม่กล้าไปเอง ขอร่วมเดินทางไปกับบริษัททัวร์ travelzeed (ซึ่งทั้งหมดโนสปอนเซอร์ เราจ่ายเอง 100%) หลังจากที่เล็งแล้วเล็งอีก ในที่สุด สงกรานต์ปีนี้ เราก็ได้ฤกษ์ไปประเทศอินเดียเสียที
รอบนี้เดินทางด้วยสายการบินไทย แอร์เอเชีย บินตรงดอนเมือง-ชัยปุระ ไฟลต์ประมาณทุ่มครึ่ง เรียกว่าบันเทิงตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่อง ผู้โดยสารกว่า 80% คือคนอินเดีย อินเดียแบบที่ไม่ได้ลุกขึ้นมาเต้น หรือวิ่งข้ามเขา อ้อมเสาอย่างที่เคยเห็นในหนัง แต่เป็นอินเดียที่โคตรจอย โคตรเฟรนด์ลี่ รวมแก๊งรวมกลุ่มกันเปิดหนังภารตะดู เผื่อแผ่กันทั้ง gate จอยเวอร์
พอขึ้นเครื่องก็เงียบเสียงลง อาจเพราะไฟลต์กลางคืน ผู้คนเลยนอนเป็นส่วนใหญ่ ไฟลต์นี้ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง เราได้แต่นั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ ไปตลอดทาง ไม่รู้ว่าไฟลต์อื่นเป็นไหม แต่ไฟลต์นี้คนลุกเดินไปเข้าห้องน้ำบ่อยมาก เราที่ได้ที่นั่งท้าย ๆ เครื่องเลยไม่ค่อยได้นอนยาว ๆ เสียเท่าไหร่ รู้ตัวอีกที กัปตันก็ประกาศ landing เสียแล้ว
เครื่องยังไม่ทันจอดดี ก็มีคนอินเดียลุกขึ้นมาเปิดช่องเก็บสัมภาระแล้วจ้า แอร์ต้องประกาศกันวุ่นวาย เอาล่ะ มหกรรมความบันเทิงระลอกใหม่ของจริงเริ่มขึ้นแล้ว
ถึงสนามบินชัยปุระ เวลาที่อินเดียช้ากว่าไทยประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เรียกว่าได้กำไร เพราะได้เวลาคืนได้หรือเปล่า แต่ความจริงตามเวลาไทยคือควรนอนได้แล้ว ง่วงมาก พอถึงด่านต.ม.ก็คือทั้งง่วงและเซ็ง เราทำ E-visa มาแล้วจากประเทศไทย (ทำด้วยตัวเองให้เว็บไซต์ได้เลย:
https://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html ) กรอกใบต.ม.ก็แล้ว แต่คือเจ้าหน้าที่เช็คละเอียดมากกกกก มากแบบมาก และเคร่งมาก คือถ้าใครยังไม่กรอก ก็จะโดนออกจากแถวไปกรอกให้เรียบร้อยก่อน แต่สิ่งที่ตลกไม่ออก ก็คือ เขาไม่ยอมเรียกคิวต่อไป จะต้องรอคนที่ออกจากแถวไปกรอกใบต.ม.กลับมาต่อยังคิวเดิม เอ้อ เอากับเขาสิ
เรื่องสำเนียง เอาจริงคงแล้วแต่คน แต่ที่เจอก็แอบฟังยาก พอผ่านด่านมาแล้ว จะถึงจุดที่ต้องเช็คสัมภาระอีกรอบ เรียกได้ว่ารักษาความปลอดภัยกันเต็มที่ ด่านนี้ความจริงมีการตรวจร่างกายด้วย แต่พอเป็นผู้หญิง เจ้าหน้าที่เพียงทักทายว่า ‘นมัสเต (สวัสดี)’ แล้วก็ปล่อยผ่านเข้ามาได้เลย ก็งง ๆ ดีเหมือนกัน แต่ดีที่สนามบินชัยปุระไม่ได้กว้างมาก พอรับกระเป๋าออกมา ก็เจอกับรถบัสและไกด์ท้องถิ่นที่มารอเราอยู่พอดี
เวลคัมแรกที่ประเทศอินเดียมอบแก่เรา คือพวงดอกไม้ตามธรรมเนียม ซึ่งเราคิดว่ามันน่ารักมาก คืนนี้พักกันที่ ‘sarower hotel’ เรียกได้ว่าหลับยาว เตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้ที่รอคอย
Day 1 : จัยปูร์(ชัยปุระ)-พระราชวังสายลม-ป้อมอัมเบอร์-พระราชวังกลางน้ำ-พระราชวังหลวง-บ่อน้ำแซนบาวรี-อักรา
นมัสเต! อินเดีย
ตื่นกันแต่เช้า ทานอาหารมื้อแรกที่โรงแรม พนักงานห้องอาหารคือน่ารักมากก พยายามแนะนำอาหารอินเดียให้ลองทานได้อย่างถูกวิธี บริการดี และยิ้มแย้มแจ่มใส ทานอาหารกันเสร็จเราก็ขึ้นรถบัสออกไปที่แรกนั่นก็คือพระราชวังสายลม หรือ Hawa Mahal
(เกร็ดเล็กน้อย: พระราชวังแห่งนี้สร้างด้วยหินทรายสีชมพู และสีแดง ถอดแบบมากจากทรงของมงกุฎพระนารายณ์ ลักษณะเด่นของพระราชวังสายลมแห่งนี้ มีความสูงถึง 5 ชั้น และสูงถึง 15 เมตร มีหน้าต่างทั้งหมด 953 บาน เป็นช่องลมลายฉลุเพื่อให้อากาศถ่ายเทและให้แสงลอดผ่านได้คล้ายกับรังผึ้ง สร้างขึ้นเพ่ือให้นางสนมในวังสามารถมองเห็นวิถีชีวิตผู้คนในเมือง หรือขบวนพิธีการต่างๆที่เกิดขึ้นภายนอกเมืองได้ซึ่งคนภายนอกจะไม่สามารถเห็นนางสนมในวังได้ เนื่องจากสมัยก่อนจะมีความเคร่งครัดในการใช้ผ้าคลุมหน้าสำหรับผู้หญิง...ที่มา:travelzeed)
เพียงแค่รถเลี้ยวเข้าเมือง ก็ต้องร้องว้าวแล้ว เพราะจัยปูร์หรือชัยปุระมีชื่อเล่น ว่านครสีชมพู ตึกรามบ้านช่องข้างทางจะทาสีชมพูทั้งหมด เนื่องจากในอดีตใช้รับเสด็จราชวงศ์แห่งประเทศอังกฤษ นับเป็นเอกลักษณ์และความสวยงามที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาที่นี่
ริกชอร์ สัญญลักษณ์ของที่นี่
ให้มันเป็นสีชมพู
สำหรับ Hawa Mahal แล้วมีความหมายของ Hawa แปลว่า ลม และ Mahal แปลว่าวัง เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังหลวงที่สวยงามมาก แต่ทั้งนี้ หากถ่ายรูปข้างหน้าฝั่งเดียวกันเลย จะลำบากนิดนึง แนะนำให้ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม แล้วขึ้นบันไดไปยังคาเฟ่ต่าง ๆ ที่อยู่ด้านบน ครั้งนี้เราเลือกไปที่ ‘tattoo cafe’ เสียค่าเครื่องดื่มไปประมาณ 100 รูปี (เรทตอนไป 2 รูปีประมาณ 1 บาท)แต่ภาพที่ออกมาสวยงามมาก นอกจากจะถ่ายเห็นพระราชวังสายลมแล้ว ยังเห็น Amber fort ที่อยู่ไกล ๆ อีกด้วย
เงินรูปี
ด้านหน้า HAWA MAHAL
Amber fort
หลังถ่ายรูปจนหนำใจ เราก็ข้ามถนนกลับไป ตอนข้ามถนนนี่ก็บันเทิงไม่แพ้กัน เพราะรถไม่หยุดจ้า ต้องทำใจกล้าข้ามไปเลย ถือคติว่าเขาไม่ชนเราหรอก(มั้ง) ชมวังเสร็จรถก็พาแล่นขึ้นเขาไปสู่ป้อมอัมเบอร์ หรือ ‘Amber fort’ ที่เรามองเห็นไกล ๆ จากข้างล่าง
(เกร็ดเล็กน้อย:ป้อมปราการใหญ่แห่งเมืองชัยปุระ ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงของเมืองอาเมร์ โดยมหาราชาแมนสิงห์(Raja Man Singh) แต่เดิมที่แห่งนี้เป็นป้อมปราการที่สำคัญสามารถป้องกันข้าศึกที่มารุกรานได้มีทั้งแม่น้ำล้อมรอบ และขนาดกำแพงของป้อมปราการที่มีขนาดใหญ่และหนาแน่น คล้ายกับกำแพงเมืองจีน ด้วยความยาวกว่า 13 กิโลเมตร และสามารถมองเห็นได้ระยะไกลจากมุมสูงของปราการได้อีกด้วย ซึ่งภายในยังประกอบไปด้วยพระตำหนักอันสวยงามมากมาย ออกแบบสถาปัตยกรรมภายในเป็นการผสมผสานระหว่างราชปุตกับโมกุล...ที่มา:travelzeed)
มาถึงจุดจอดรถก็ต้องเปลี่ยนเป็นรถจีฟ ความจริงวิธีการขึ้นป้อมมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ทั้งเดิน นั่งรถจีฟ หรือขี่ช้าง จังหวะที่เปลี่ยนมานั่งจีฟนั่นเอง ที่ได้เห็นแขกกับงูของจริง มันแบบ เฮ้ยและว้าวมาก ว่าทำไมงูเห่าที่โผล่ออกมาดูเชื่องได้ขนาดนั้น หรือจะมีเคล็ดลับอะไรซ่อนอยู่ ที่เหลือเชื่อคือแขกเขาจะมาเป่าโชว์บริเวณที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ ๆ ขากลับเราเห็นเขามาเป่าหน้ารถทัวร์ของเรา แต่พอคนไม่ค่อยสนใจ เขาก็เก็บทั้งงูทั้งไห?เข้าถุงผ้าไปเลย คือแบบ เฮ้ย ทำได้ไงอ่ะ
งูจริงนะเออ
รถจีฟพาเราไต่ขึ้นมาจนถึงป้อม แค่เห็นข้างล่างก็สวยงามมากแล้ว กว้างใหญ่ งดงามภายใต้บรรยากาศฝุ่น ๆ แถมลีลาการขับรถของคนอินเดีย เชื่อแล้วว่าเด็ดจริง ทั้งเสียงแตรที่บีบกันทั่วท้องถนน แต่ไม่ยักเห็นว่าจะมีเรื่องกัน ทั้งการขับจี้ตูดชนิดที่แบบไทยชิดซ้ายไปเลย แต่ไม่ชนกันได้ยังไง เป็นปริศนาสำหรับเรามาก ๆ
ลงจากรถเราก็เดินขึ้นไปอีกนิดหน่อย ก่อนจะเยี่ยมชมส่วนต่าง ๆ ภายในป้อมที่มีทั้งเรื่องราว ความสวยงาม และความร้อนจับใจ ฮาๆ จากที่สังเกตที่นี่มี audio guide ด้วย ถ้ามาเองค่อย ๆ เดินฟังทีละจุด น่าจะอินมากกว่านี้ ข้างในคือจัดสวนสวยมาก เป็นแบบสมมาตรแนวอังกฤษหน่อย ๆ มีห้องที่ประดับประดาด้วยกระจก ที่นี่มีห้องน้ำให้บริการแต่เสียเงิน (**ความคิดเห็นส่วนตัว**:อินเดียเป็นประเทศที่ขอทานเยอะมาก และคนขอทิปเยอะมากเช่นกัน เช่น ห้องน้ำตามสถานที่ท่องเที่ยว มักจะมีคนดักเก็บเงินเสมอ คือถ้าไม่คิดไรมาก ก็เป็นเรทเขาห้องน้ำตามที่เที่ยวทั่วไป ก็อาจจะให้แบงค์รูปีเล็ก ๆ ไปได้ แต่แนะนำว่าอย่าให้กับขอทาน เพราะถ้าให้หนึ่งคนจะมาอีกนับไม่ถ้วน อีกทั้งพวกพ่อค้าขายของที่ระลึก หากไม่สนใจก็เฉย ๆ ไป แต่ถ้าหากสนใจ อาจต้องต่อราคากันสักหน่อย)
คนเยอะมาก กว่า 50% คือเป็นคนอินเดีย
สวนสวย ๆ ความเขียวท่ามกลางความแห้ง
ห้องกระจก
มองไกล ๆ ก็คือสวยมาก
ลงจากป้อมด้วยรถจีฟคันเดิม เราก็ขั้นรถบัสกลับลงมา แวะถ่ายรูปพระราชวังกลางน้ำหรือ ‘JAL MAHAL’ (เกร็ดเล็กน้อย:พระราชวังตั้งอยู่กลางทะเลสาบ Man Sagar Lake โดยมีเทือกเขานหาร์การห์ตั้งอยู่ด้านหลัง และตัวอาคารสร้างด้วยหินทรายสีแดง พระราชวังแห่งนี้มีทั้งหมด 5 ชั้น ซึ่ง 4 ชั้นล่างจะถูกน้ำท่วมเมื่อทะเลสาบมีระดับน้ำสูงสุด และเหลือให้เห็นเพียงชั้นบนสุดเท่านั้น...ที่มา:travelzeed)
วันที่เราไปน้ำลดทำให้เห็นมาถึงชั้น 4 แม้จะไม่มีใครอยู่แล้ว แต่ต้นไม้ชั้นบนก็ยังเขียวชอุ่ม แอบเห็นว่ามีท่าเรืออยู่ไกล ๆ อาจจะสามารถเหมาเรือไปเยี่ยมชมใกล้ ๆ ได้
[img]
[CR] >>India via my eyes<<ใจฟู...ที่จัยปูร์...อักรา
เราเริ่มต้นการเดินทางที่ ‘สนามบินดอนเมือง’ บอกตามตรงว่าครั้งแรกไม่กล้าไปเอง ขอร่วมเดินทางไปกับบริษัททัวร์ travelzeed (ซึ่งทั้งหมดโนสปอนเซอร์ เราจ่ายเอง 100%) หลังจากที่เล็งแล้วเล็งอีก ในที่สุด สงกรานต์ปีนี้ เราก็ได้ฤกษ์ไปประเทศอินเดียเสียที
รอบนี้เดินทางด้วยสายการบินไทย แอร์เอเชีย บินตรงดอนเมือง-ชัยปุระ ไฟลต์ประมาณทุ่มครึ่ง เรียกว่าบันเทิงตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่อง ผู้โดยสารกว่า 80% คือคนอินเดีย อินเดียแบบที่ไม่ได้ลุกขึ้นมาเต้น หรือวิ่งข้ามเขา อ้อมเสาอย่างที่เคยเห็นในหนัง แต่เป็นอินเดียที่โคตรจอย โคตรเฟรนด์ลี่ รวมแก๊งรวมกลุ่มกันเปิดหนังภารตะดู เผื่อแผ่กันทั้ง gate จอยเวอร์
พอขึ้นเครื่องก็เงียบเสียงลง อาจเพราะไฟลต์กลางคืน ผู้คนเลยนอนเป็นส่วนใหญ่ ไฟลต์นี้ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง เราได้แต่นั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ ไปตลอดทาง ไม่รู้ว่าไฟลต์อื่นเป็นไหม แต่ไฟลต์นี้คนลุกเดินไปเข้าห้องน้ำบ่อยมาก เราที่ได้ที่นั่งท้าย ๆ เครื่องเลยไม่ค่อยได้นอนยาว ๆ เสียเท่าไหร่ รู้ตัวอีกที กัปตันก็ประกาศ landing เสียแล้ว
เครื่องยังไม่ทันจอดดี ก็มีคนอินเดียลุกขึ้นมาเปิดช่องเก็บสัมภาระแล้วจ้า แอร์ต้องประกาศกันวุ่นวาย เอาล่ะ มหกรรมความบันเทิงระลอกใหม่ของจริงเริ่มขึ้นแล้ว
ถึงสนามบินชัยปุระ เวลาที่อินเดียช้ากว่าไทยประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เรียกว่าได้กำไร เพราะได้เวลาคืนได้หรือเปล่า แต่ความจริงตามเวลาไทยคือควรนอนได้แล้ว ง่วงมาก พอถึงด่านต.ม.ก็คือทั้งง่วงและเซ็ง เราทำ E-visa มาแล้วจากประเทศไทย (ทำด้วยตัวเองให้เว็บไซต์ได้เลย: https://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html ) กรอกใบต.ม.ก็แล้ว แต่คือเจ้าหน้าที่เช็คละเอียดมากกกกก มากแบบมาก และเคร่งมาก คือถ้าใครยังไม่กรอก ก็จะโดนออกจากแถวไปกรอกให้เรียบร้อยก่อน แต่สิ่งที่ตลกไม่ออก ก็คือ เขาไม่ยอมเรียกคิวต่อไป จะต้องรอคนที่ออกจากแถวไปกรอกใบต.ม.กลับมาต่อยังคิวเดิม เอ้อ เอากับเขาสิ
เรื่องสำเนียง เอาจริงคงแล้วแต่คน แต่ที่เจอก็แอบฟังยาก พอผ่านด่านมาแล้ว จะถึงจุดที่ต้องเช็คสัมภาระอีกรอบ เรียกได้ว่ารักษาความปลอดภัยกันเต็มที่ ด่านนี้ความจริงมีการตรวจร่างกายด้วย แต่พอเป็นผู้หญิง เจ้าหน้าที่เพียงทักทายว่า ‘นมัสเต (สวัสดี)’ แล้วก็ปล่อยผ่านเข้ามาได้เลย ก็งง ๆ ดีเหมือนกัน แต่ดีที่สนามบินชัยปุระไม่ได้กว้างมาก พอรับกระเป๋าออกมา ก็เจอกับรถบัสและไกด์ท้องถิ่นที่มารอเราอยู่พอดี
เวลคัมแรกที่ประเทศอินเดียมอบแก่เรา คือพวงดอกไม้ตามธรรมเนียม ซึ่งเราคิดว่ามันน่ารักมาก คืนนี้พักกันที่ ‘sarower hotel’ เรียกได้ว่าหลับยาว เตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้ที่รอคอย
Day 1 : จัยปูร์(ชัยปุระ)-พระราชวังสายลม-ป้อมอัมเบอร์-พระราชวังกลางน้ำ-พระราชวังหลวง-บ่อน้ำแซนบาวรี-อักรา
(เกร็ดเล็กน้อย: พระราชวังแห่งนี้สร้างด้วยหินทรายสีชมพู และสีแดง ถอดแบบมากจากทรงของมงกุฎพระนารายณ์ ลักษณะเด่นของพระราชวังสายลมแห่งนี้ มีความสูงถึง 5 ชั้น และสูงถึง 15 เมตร มีหน้าต่างทั้งหมด 953 บาน เป็นช่องลมลายฉลุเพื่อให้อากาศถ่ายเทและให้แสงลอดผ่านได้คล้ายกับรังผึ้ง สร้างขึ้นเพ่ือให้นางสนมในวังสามารถมองเห็นวิถีชีวิตผู้คนในเมือง หรือขบวนพิธีการต่างๆที่เกิดขึ้นภายนอกเมืองได้ซึ่งคนภายนอกจะไม่สามารถเห็นนางสนมในวังได้ เนื่องจากสมัยก่อนจะมีความเคร่งครัดในการใช้ผ้าคลุมหน้าสำหรับผู้หญิง...ที่มา:travelzeed)
เพียงแค่รถเลี้ยวเข้าเมือง ก็ต้องร้องว้าวแล้ว เพราะจัยปูร์หรือชัยปุระมีชื่อเล่น ว่านครสีชมพู ตึกรามบ้านช่องข้างทางจะทาสีชมพูทั้งหมด เนื่องจากในอดีตใช้รับเสด็จราชวงศ์แห่งประเทศอังกฤษ นับเป็นเอกลักษณ์และความสวยงามที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาที่นี่
(เกร็ดเล็กน้อย:ป้อมปราการใหญ่แห่งเมืองชัยปุระ ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงของเมืองอาเมร์ โดยมหาราชาแมนสิงห์(Raja Man Singh) แต่เดิมที่แห่งนี้เป็นป้อมปราการที่สำคัญสามารถป้องกันข้าศึกที่มารุกรานได้มีทั้งแม่น้ำล้อมรอบ และขนาดกำแพงของป้อมปราการที่มีขนาดใหญ่และหนาแน่น คล้ายกับกำแพงเมืองจีน ด้วยความยาวกว่า 13 กิโลเมตร และสามารถมองเห็นได้ระยะไกลจากมุมสูงของปราการได้อีกด้วย ซึ่งภายในยังประกอบไปด้วยพระตำหนักอันสวยงามมากมาย ออกแบบสถาปัตยกรรมภายในเป็นการผสมผสานระหว่างราชปุตกับโมกุล...ที่มา:travelzeed)
มาถึงจุดจอดรถก็ต้องเปลี่ยนเป็นรถจีฟ ความจริงวิธีการขึ้นป้อมมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ทั้งเดิน นั่งรถจีฟ หรือขี่ช้าง จังหวะที่เปลี่ยนมานั่งจีฟนั่นเอง ที่ได้เห็นแขกกับงูของจริง มันแบบ เฮ้ยและว้าวมาก ว่าทำไมงูเห่าที่โผล่ออกมาดูเชื่องได้ขนาดนั้น หรือจะมีเคล็ดลับอะไรซ่อนอยู่ ที่เหลือเชื่อคือแขกเขาจะมาเป่าโชว์บริเวณที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ ๆ ขากลับเราเห็นเขามาเป่าหน้ารถทัวร์ของเรา แต่พอคนไม่ค่อยสนใจ เขาก็เก็บทั้งงูทั้งไห?เข้าถุงผ้าไปเลย คือแบบ เฮ้ย ทำได้ไงอ่ะ
ลงจากรถเราก็เดินขึ้นไปอีกนิดหน่อย ก่อนจะเยี่ยมชมส่วนต่าง ๆ ภายในป้อมที่มีทั้งเรื่องราว ความสวยงาม และความร้อนจับใจ ฮาๆ จากที่สังเกตที่นี่มี audio guide ด้วย ถ้ามาเองค่อย ๆ เดินฟังทีละจุด น่าจะอินมากกว่านี้ ข้างในคือจัดสวนสวยมาก เป็นแบบสมมาตรแนวอังกฤษหน่อย ๆ มีห้องที่ประดับประดาด้วยกระจก ที่นี่มีห้องน้ำให้บริการแต่เสียเงิน (**ความคิดเห็นส่วนตัว**:อินเดียเป็นประเทศที่ขอทานเยอะมาก และคนขอทิปเยอะมากเช่นกัน เช่น ห้องน้ำตามสถานที่ท่องเที่ยว มักจะมีคนดักเก็บเงินเสมอ คือถ้าไม่คิดไรมาก ก็เป็นเรทเขาห้องน้ำตามที่เที่ยวทั่วไป ก็อาจจะให้แบงค์รูปีเล็ก ๆ ไปได้ แต่แนะนำว่าอย่าให้กับขอทาน เพราะถ้าให้หนึ่งคนจะมาอีกนับไม่ถ้วน อีกทั้งพวกพ่อค้าขายของที่ระลึก หากไม่สนใจก็เฉย ๆ ไป แต่ถ้าหากสนใจ อาจต้องต่อราคากันสักหน่อย)
วันที่เราไปน้ำลดทำให้เห็นมาถึงชั้น 4 แม้จะไม่มีใครอยู่แล้ว แต่ต้นไม้ชั้นบนก็ยังเขียวชอุ่ม แอบเห็นว่ามีท่าเรืออยู่ไกล ๆ อาจจะสามารถเหมาเรือไปเยี่ยมชมใกล้ ๆ ได้
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้