ผ้าร้อน ...

ติ๋ง ... ติ๋ง ... ติ๋ง ... เสียงประกาศเตือนให้รัดเข็มขัดปลุกผมจากความงัวเงียที่จำไม่ได้ว่าเพราะไวน์หรือเบียร์กันแน่ที่ซัดเข้าไปก่อนขึ้นเครื่อง แอร์สาวสวยกรีดไลเนอร์ตาคมกริบในชุดยูนิฟอร์มสายการบินชาติตะวันออกกลางที่หน้าตาเอเชียๆเดินแจกผ้าร้อน ...

   อืม ... ผ้าร้อนๆสะอาดๆกลิ่นโคโลจญบางๆนี่ช่วยได้เยอะ กระตุ้นความสดชื่นขึ้นมาก ... แดดแอฟริกาเหนือหลังบ่ายลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นลำ ทีวีขนาดเล็กฉีกแสงที่ตกกระทบออกเป็นริ้วรุ้ง

   ... "ยินดีต้อนรับสู่ซาฮาร่า" ... รุ้งตัวน้อยกระซิบข้างหูผม

   ชีวิตคือการเดินทาง ... ในวัยเยาว์เมื่อเริ่มการเดินทาง ใจผมมุ่งไปที่จุดหมายปลายทาง เมื่อไรจะถึง ถึงแล้วจะทำอะไร ความล่าช้า หรือ ผิดแผน เป็นเหมือนกรวดในรองเท้า ในวัยตีนกา ความช้าดูเหมือนจะเป็นเพื่อนที่ดี แวะบ้างไรบ้าง ข้างทางมีอะไรน่าสนใจกว่าปลายทางเยอะ

   เช็ดหน้าเช็ดตา แล้วล่ำลารุ้งตัวน้อย ผมบรรจงพับผ้าร้อนที่ตอนนี้ไม่ร้อนแล้ว เก็บอย่างดีใส่ซองเดิม ยัดใส่กระเป๋าสาบเสื้อแจ็คเก็ต

   ความคิดที่จะขอคาเฟอีนดำเข้มๆสักแก้วหายไป เมื่อได้ยินเสียงปีกล่างของเครื่องยื่นออกมาบอกว่าเครื่องต้องลงแล้ว ... ไปเป็นไร ผมคิด ... เดี๋ยวไปหยอดเหรียญตู้กดเอาตอนรอกระเป๋าก็ได้

   จากนั้นทุกอย่างก็ขยับไปโดยอัตโนมัติ เหมือนร่างกายมันขยับของมันไปเองโดยไม่ต้องคิด อย่างที่เพื่อนนักกอล์ฟเคยบอกว่าผม กล้ามเนื้อมีความทรงจำนะ ถ้าให้มันเคลื่อนไหวท่าอะไรซ้ำๆ สักพัก กล้ามเนื้อมันก็จะขยับไปในท่วงท่าลีลานั้นเอง โดยสมองไม่ต้องสั่งอีกแล้ว

   ไฟรัดเข็มขัดดับ ปลดเข็มขัด ลุกเปิดที่เก็บของเหนือศรีษะ ยกกระเป๋าลากคู่ใจลงมา สะพายเป้คอมฯ เหลือบแลสัมภาระชิ้นเล็กชิ้นน้อยว่าอยู่กันครบ แตะปีกหมวก ค้อมหัวเล็กๆรับคำขอบคุณจากแอร์โฮสเตสสาวสวยคนเดิม กระชับเป้ ลากกระเป๋าออกนอกประตูเครื่อง เดินไปตามทางโดยไม่ต้องมองป้าย ขาเดินของมันไปเองอย่างซื่อสัตย์ เข้าช่องตรวจพาสปอร์ตเดิมๆ เจอตม.หน้าเดิมๆ วางกระเป๋าบนสายพานเอ๊กเรย์เครื่องเดิมๆ

   ... กว่าสมอง และ ใจจะมาอยู่กับร่างอีกทีก็ตอนควานหาเหรียญหยอดตู้กดกาแฟข้างสายพานกระเป๋า

   มันต้องใช้เหรียญอะไรว่ะ เมื่อคืนมัวแต่ฉ่ำไวน์ ลืมแยกเหรียญไทยกับเหรียญที่นี่ ปนกันมั่วไปหมด สติแรกที่เรียกกลับมา คือ สติที่ใช้แยกเหรียญหยอดตู้ เติมคาเฟอีนให้สมองซ๊อตแรกหลังจากลากกระเป๋าคู่ใจสะพายเป้ออกจากสุวรรณภูมิมาร่วม 20 ชั่วโมง

   อาศัยเก้าอี้ริมพนังข้างตู้กดกาแฟ พักหลัง พักขา จิบกาแฟหมดแก้ว ลุกขึ้นเดินหารถเข็นกระเป๋า ลองขยับๆ แล้วจงใจเลือกคันที่โคลงเคลง โครกคราก เสียงดังๆหน่อย แต่ดูแข็งแรงๆ ลองเข็นอยู่หลายคัน จนเลือกมาได้คันหนึ่ง เสียงล้อเบี้ยวๆบดพื้นของมันอุบาทว์ใช้ได้เลย

   ครึ๊กกกกๆ แกร๊กกกกๆ ... เสียงสวรรค์ ที่คุ้นเคย สายพานกระเป๋าอายุรุ่นพ่อตื่นจากหลับมื้อกลางวัน บิดขี้เกียจแล้วเริ่มขยับช้าๆอย่างไม่เต็มใจนัก

   แขกมุงสายพานกระเป๋า ... เพื่อนแขกที่นี่ให้ข้อสังเกตุว่ากระเป๋าใบไหนใหญ่กว่าปกติ และ ทรงเหมือนกัน สีคล้ายๆกัน มักจะเป็นพวกกองทัพมดที่ไปขนของจากประเทศข้างเคียงเข้ามาขาย รอบนี้มีให้เห็นหลายใบอยู่

   เข็นรถเปล่า เสียงดังโครกครากๆ มารอเทียบสายพานกระเป๋า อย่างไม่แคร์สายตาแขกๆที่หันมามองหาต้นเสียง ...

   ประหนึ่งแดจาวู ภาพเดิมๆของผู้โดยสายยืนรอกระเป๋ารอบสายพานดูผาดๆก็เหมือนกัน หากแต่แววตาที่ต่าง ... บ้างดีใจที่ได้กลับบ้าน เจอคนที่รัก บ้างก็หนักใจกับปัญหาที่ต้องกลับไปแก้ .... บางแววตาก็เกือบจะว่างเปล่า ... 

   เด็ก 3 - 4 คน วิ่งเจี้ยวจ๊าว ไปมาราวกับลานนาฬิกาที่ถูกปลดคลายให้หมุนฟรี หลังจากถูกล็อกให้นั่งนิ่งๆบนเครื่องมาหลายชั่วโมง โลกสมมุติของวัยเด็ก สดใสงดงาม โลกของพวกเขาตอนนี้คงไม่ได้อยู่ข้างสายพานกระเป๋า

   แขกชายหญิงสูงวัยคู่หนึ่ง ยืนกุมมือกันข้างรถเข็นกระเป๋าที่ว่างเปล่า ตา 2 คู่ที่ควรจะมองหากระเป๋าที่สายพาน กลับจ้องมองกันเออง นิ่งและนาน อัลเลาะห์เท่านั้นที่ทรงทราบว่าในใจของคุณตาคุณยายคิดอะไร หวังอะไร และ ฝันอะไร ... โลกของคุณตาคุณยายคงไม่ได้อยู่ข้างสายพานกระเป๋า

   สาวในสูทนักธุรกิจง่วนอยู่กับแท็บเล็ตในมือ หัวคิ้วชนกัน ผมไม่รู้ว่าทำอะไร แต่ค่อนข้างมั่นใจว่า โลกของเธอคงไม่ได้อยู่ข้างสายพานกระเป๋าเช่นกัน

   แม้ว่าจะเดินทางมาเป็นร้อยๆครั้ง การเดินทางทิ้งร่องรอยที่ไร้ใจ แต่จงใจสร้างความแตกต่างเสมอในใจผู้เดินทางเสมอ

   การเดินทางครั้งนี้ของผมก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ...

   นั่นไง ... กระเป๋าใบที่สองของผมมาแล้ว ซีรี่ย์ยังไม่จบ ไม่รีบ ตั้งใจถ่วงเวลาดูซีรี่ย์ให้จบสักตอนดีกว่า

   ช้าหน่อย ศุลกากรช่องเขียวจะได้เหนื่อยๆ อยากไปพักจิบชาแขก ... ผมแอบคิดเข้าข้างตัวเองในใจว่า ถ้าเข็นออกไปเร็ว ศุลกากรแขกพวกนี้คงกำลังฟิต น่าจะขยันสุ่มเปิดเยอะ

   อืม ... มีรอยชอล์กขีดๆ 2 - 3 รอย ... ผมรำพึงเบาๆในใจ ... ผ้าร้อนใช้แล้วในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตได้ถูกเอามาใช้งาน ... เนียนกริ๊บ

   ผมบรรจงยกกระเป๋าเรียงลงบนรถเข็น เอาใบเล็กไว้ข้างใน เอาใบใหญ่ไว้ข้างนอก วางเป้ทับลงบนใบเล็กอีกที หนุ่มแขกข้างๆมองผมเรียงกระเป๋าด้วยสายตาคำถาม เพราะวางแบบนั้นยิ่งทำให้รถเข็นบุโรทั่งส่งเสียงโครกครากอุบาว์ทกว่าเดิม

... ผมยิ้มอย่างภูมิใจในความรอบคอบ

   ประสบการณ์สอนว่า ถ้าพยายามเข็นห่างๆเจ้าหน้าที่ศุลกากร หรือ พยายามเข็นไปกลางๆกลุ่ม มักจะโดนสุ่มเปิดกระเป๋า อย่ากระนั้นเลย เข็นผ่านหน้าไปเลย เอาระยะเผาขนๆนี่แหละดี

   ผิดคาดแฮะ ... โดนกวักมือเรียก ให้ยกกระเป๋ายัดใส่เครื่องเอ๊กซ์เรย์ช่องเขียว ... โดนเรียกเปิดกระเป๋า

   เจ้าหน้าที่แขกเคราครึ้มหน้าเหมือนท้องผูกมา 3 วัน ใช้ภาษาใบ้ควักมือเรียกให้อ้อมไปดูหน้าจอคอมฯ พูดภาษาฝรั่งเศส ที่ผมรู้จักแค่คำเดียว "เฌอแตม"

   พ่อเคราครึ้มส่งภาษามือ พูดภาษาฝรั่งเศสเร็วปรื๋อ โดยประสบการณ์ ผมพอเข้าใจได้ทำนองว่า "มาดูที่จอนี่ นี่มันอะไร" ...

   เงารูปในจอคอมฯเครื่องเอ๊กซ์เรย์เป็นวงกลมทึบดำๆเท่าเหรียญ 5 บาท เรียงกัน 4 x 5 ผมเปิดหมวกเกาหัวนิดหนึ่ง ปริยิ้ม แล้วเดินกลับมาที่กระเป๋า ควักมือเรียกพ่อเคราครึ้มมาดู

   การกวักมือเรียกพ่อเคราครึ้มของผมกลายเป็นการ "เรียกแขก" หรือ "ทัวร์ลง" ไปซะงั้น เพราะเจ้าหน้าที่คนอื่นๆเข้าใจว่าผมเรียกพวกเขาด้วย เลยเป็นปรากฏการณ์ "แขกมุง" โดยไม่ได้ตั้งใจ
   
   สิ่งนั้นที่เห็นในจอคอมฯเครื่องเอ๊กซ์เรย์นั้น คือ แพ็คขวดยาหม่องแก้วกลมๆฝาอลูมิเนียม ผมซื้อมาจากจตุจักรเพื่อจะเอามาแจกผูกมิตรไมตรีกับเพื่อนร่วมงานที่นี่ พ่อเคราครึ้มถามด้วยภาษาใบ้ว่ามันคืออะไร ผมเลยต้องเสียสละ 1 ขวด แกะออก ทำท่าทางแสดงการใช้งานด้วยการป้ายจมูก และ ขมับ ... กลิ่นยาหม่องทำให้แขกผงะถอยห่างออกไปได้พอสมควร เรียกอากาศให้ถ่ายเทได้พอหายใจคล่อง

   แต่ก็ไม่ทันจะหายใจคล่องดี ผมกำลังจะลักไก่ปิดกระเป๋า นางหนึ่งในแขกมุงชี้หมับไปที่ถุงปริศนาที่ข้างในบรรจุแท่งกลมๆห่อใบกล้วยท่อนเท่าแขนเด็ก ... ทำไม้ทำมือสั่งให้ผมแกะ ...

   ... แกะไป มือสั่นไป แต่ใจสั่นกว่า จำใจต้องแกะ

   มันคือหมูยอหนังอุบล แบบใส่พริกไทย หิวก็หิว น้ำลายไหล แต่เหงื่อแตกไหลมากกว่าน้ำลาย ... ชิกเก้นๆ ยูโนว์ ชิกเก้นๆ มือแนบหน้าอก กระพือข้อศอกประกอบ แขกมุงทำหน้างงๆ แต่พอผมทำท่าจะโก่งคอกระต๊ากๆให้รู้จะๆกันไป นางนั่นก็โบกไม้โบกมือให้หยุดๆ

   ผมรีบเก็บกลับโดนพลัน ไม่ต้องห่งต้องห่อใบตองกันล่ะ กดๆยัดๆได้ อารามจะปิดกระเป๋า อีกนางก็เอาตะบองไม้ในมือไม้ชี้ไปที่อีกห่อที่คว่ำหน้าอยู่ ... อิ๋บอ๋าย กุนเชียงหมู แดงแจ๋ 12 แท่งเรียงเป็นแพเชียว จะรอดไหม ... ผมนึกในใจ

   โอ้ๆ ... ไทยซอสเสจๆ ชิกเก้นๆ จากน้ำลายย้อยเหงื่อไหลเมื่อครู่ กลายเป็น น้ำลายแห้ง หน้าซีด ล่ะตอนนี้

   เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน เหนื่อยเหลือเกิน ต้องงัดไม้ตายออกมาใช้ ผมพลิกแพ็คกุนเชียงเอาด้านที่มีโลโก้ภาพขึ้น ... จากที่ตอนแรกผม เรียกแขก ตอนนี้เป็น ไล่แขก คือ แขกกระเจิง เมื่อเห็นโลโก้ชิกเก้นไทยซอจเสจ ของผม ... แขกโบกมือไล่ผมเป็นพัลวัน

   รู้งี้เอาให้ดูตั้งแต่แรกแล้ว ผมคิด ...

   รอดมาได้อย่างหวุดหวิด เข็นกระเป๋าออกผ่านประตูสุดท้ายออกมาได้อย่างงงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่ถึง 5 นาที ที่ผ่านมา แต่รู้สึกราวกับว่าผ่านไปเป็นชั่วโมง

   ทางเดินจากสายพานเอ๊กซ์เรย์ไปถึงทางออกไกลพอคลายจังหวะหัวใจลงจนเกือบปกติ ... ผมหายใจเข้าออกช้าๆ พยายามเรียกสติกลับคืนมา พลางทบทวนว่า ทำไมถึงโดนเปิดกระเป๋าเที่ยวนี้ ผมพลาดอะไร ขั้นตอนไหนไปนะ

   ... นึกอยากเติมคาเฟอีนอีกแก้ว เพราะคาแฟอีนที่โด๊ปมาตอนรอกระเป๋าหมดไปกับเหตุระทึกประสาทเมื่อครู่

   จอดรถเข็นข้างๆตู้กดกาแฟ ... ใจลอยๆเพราะคาแฟอีนในเลือดต่ำ มือล้วงเข้าไปในแจ็คเก็ตจะหยิบเหรียญมาหยอดตู้ นาฬิกาข้อมือเกี่ยวห่อผ้าร้อนที่ซุกเอาไว้ตกลงข้างรถเข็นกระเป๋า

   จะทำเป็นไม่เห็นไม่เก็บก็อย่างไรอยู่ เดี๋ยวแขกที่เห็นจะเอาไปนินทาได้ เออ ... ถังขยะอยู่ตรงตู้กดกาแฟพอดี โชคดีเนอะ ไม่ต้องเดินไกล ใจคิดอย่างนั้น ก็เลยก้มลงไปเก็บผ้าร้อน

   อ้าว ... ยังเหลือรอยชอล์คกากบาทยาวเกือบฟุต อยู่ใต้กระเป๋านี่หว่า ...

---------------------

พ่อน้องเฟิร์นและน้องภัทร

https://nongferndaddy.com/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่