ผมลองใช้ สมการ ที่ผมคิดเองเออเองนะครับ
นิยามของ อิสระภาพทางการเงิน ที่ผมเข้าใจเอาเอง คือ สรุปบ้านๆ มีตังค์ซื้อข้าวกิน มีกินมีใช้ โดยที่ไม่ต้องฝืนขายเวลาและวิญญาณของตัวเอง ฝืนไปทำงานทุกวันเพื่อแลกเงินมาซื้อข้าวกิน มาใช้จ่าย ซื้อยาสีฟันสบู่ บลาๆ มีเวลานอนตื่นกี่โมงก็ได้ ไปทำอะไรที่ตัวเองอยากจะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบสนใจจริงๆ ได้ทั้งวันได้
ถ้าวิเคราะห์เชิงลึกแล้ว นิยามของ อิสระภาพทางการเงิน ของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากัน
ด้วยปัจจัย วิถีชีวิตไลฟ์สไตล์ + จำนวนเงิน ซึ่งแต่ละคนไม่เท่ากัน
ตัวอย่างสถานการณ์สมมุตินะครับ เช่น
ถ้าสมมุติ เด็กทำงานรับจ้างเป็นพนักงานรับจ้างร้านสะดวกซื้อ เงินเดือน เดือนละ 10,000 บาท เขาขายเวลาให้นายจ้างได้ในราคานี้ แลกมาเป็นเงินสิ้นเดือน ซึ่งอาจจะทำงานอาทิตย์ละ 5-6 วัน วันละประมาณ 8 ชั่วโมง ++บวกโออะไรก็ว่าไป...
เพื่อเอาเงิน 10,000 บาทตรงนี้มาดำรงชีวิต ซื้อข้าวกินจ่ายค่าเช่า ของใช้จ่าย ชีวิตประจำวัน บลาๆ ตามอัตภาพในการเอาชีวิตรอด
เด็กรับจ้างร้านสะดวกซื้อขายเวลาตัวเองได้ในราคา 10,000 ใน 30 วัน
แต่ถ้าเกิดเด็กรับจ้างร้านสะดวกซื้อคิดมุมกลับว่า ถ้าเขามี Asset หรือทรัพย์สิน หรือระบบอะไรบางอย่างไม่ว่าจะธุรกิจที่รันด้วยระบบอะไรสักอย่าง แล้วปั้มเงินให้เขาได้เดือนละ 10,000 บาท ในทุกๆ สิ้นเดือน นั่นจะแปลว่า เขาจะมีอิสระภาพทางการเงินทันที นั่นเพราะว่า 10,000 ต่อเดือนของเขาสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ++บวกโอที อีกต่อไป เขาก็สามารถนอนตื่นสายบิดขี้เกียจ นั่งไถติ๊กต๊อก นอนเกาไข่เพลินๆ ดูยูทูปดูหนังที่ห้องเช่า โดยที่เขาก็ยังมีตังค์ซื้อข้าวกินและตังค์จ่ายค่าเช่าห้อง โดยที่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป และที่สำคัญมีเวลาเหลือๆ วันละ 8 ชั่วโมง ไปทำอะไรก็ได้ที่สนใจไม่ฝืนตัวเองไปทำงานแบบออโด้ไพรอท
แต่สมมุตินะครับ กับอีกคนหนึ่ง สมมุติ เป็นพนักงานระดับผู้จัดการเงินเดือน 80,000 บาท
แต่มีภาระที่ต้องจ่ายคือ
ผ่อนรถไฟฟ้า 1 คัน
ผ่อนรถเบ๊น 1 คัน
ผ่อนบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ใจกลางเมืองหลวงอีก 1 หลัง
ผ่อนของไอที ไอโฟน ไอแมค ทีวีอัจฉริยะ แก็ดเจ็ทมากมาย
มีภาระค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตอีก 10 ใบ
ค่าน้ำมันรายเดือน
ค่าใช้จ่ายภายในบ้าน
มีรสนิยมกินหรูกินแพง
ติดกาแฟ ดื่มสตาร์บัค วันละ 4 แก้ว
ซื้อของแบรนด์เข้าบ้านทุกเดือน
บลาๆ
สมมุติว่าภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือนรวมๆ กันอยู่ที่ 79,901 บาท เหลือเงินในบัญชีเพียง 99 บาทต่อเดือน
ด้วยไลฟ์สไตล์แบบนี้ นั่นแปลว่าเขาจะต้องมีชะนักติดหลัง ภาระค่าใช้จ่ายตามสิงเป็นเงาตามตัว และหยุดทำงานอย่างต่อเนื่องไม่ได้ และเขาจะล้มไม่ได้ระหว่างทาง ซึ่งหมายถึงว่าเขาถูกโซ่ตรวนทางการเงินขึงตรึงไว้รอบด้าน ทำให้เขาหยุดทำงานไม่ได้ ซึ่งเขาจะขาดอิสระภาพทางการเงินทันที ขยับไปไหนไม่ได้อีกต่อไป
และนอกเหนือจากนี้
สมมุตินะครับ ว่าชื่อนาย เกาไข่ ชอบทำการเกษตร สนุกและรับงานนี้มาก และเขามีที่ดินแปลงนึง ทำเกษตรหลากหลาย สร้างเป็นส่วนซุปเปอร์มาร์เก็ตของตัวเอง ปลูกผักหลากหลาย เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ดำ เลื้องหมูดอยหมูป่า มีความสุขอยู่ในสวนของเขา แบบนี้ก็นับว่าเป็นอิสระภาพทางการเงินอีกแบบ
เพราะเขามีแหล่งอาหารของตัวเอง แทบไม่ต้องซื้อกิน และมีความสุขกับการทำเกษตร พองานที่ทำเป็นสิ่งที่ชอบ งานนั้นก็จะไม่เป็นหน้าที่รับผิดชอบในการทำงานเป็นออโต้ไพรอท อีกต่อไป เพราะเป็นสิ่งที่สนใจ และชอบทำอยู่แล้วนั้นเอง
ซึ่งบทสรุปนั่นคือ อิสระภาพทางการเงินของแต่ละคน แปรผันไปตาม ปัจจัย แฟคเตอร์ นั่นคือ วิถีชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ ของแต่ละคน กับกระบวนการ Input เงินเข้ามา และ การ Output เงินออกไปในรูปแบบใดนั่นเอง
เป็น ย ส ต น (ย้ำความเห็นส่วนตัวนะครับ)
แล้วนิยาม อิสระภาพทางการเงิน ของเพื่อนๆ หน้าตาแบบไหนกันบ้างครับ มาแชร์กัน?
ถ้าเอาไลฟ์สไตล์+จำนวนเงิน = อิสระภาพทางการเงินของแต่ละคนไม่เท่ากันรึเปล่าเช่นเด็กรับจ้างมีpassiveเดือนละหมื่นก็อิสระแล้ว
ผมลองใช้ สมการ ที่ผมคิดเองเออเองนะครับ
นิยามของ อิสระภาพทางการเงิน ที่ผมเข้าใจเอาเอง คือ สรุปบ้านๆ มีตังค์ซื้อข้าวกิน มีกินมีใช้ โดยที่ไม่ต้องฝืนขายเวลาและวิญญาณของตัวเอง ฝืนไปทำงานทุกวันเพื่อแลกเงินมาซื้อข้าวกิน มาใช้จ่าย ซื้อยาสีฟันสบู่ บลาๆ มีเวลานอนตื่นกี่โมงก็ได้ ไปทำอะไรที่ตัวเองอยากจะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบสนใจจริงๆ ได้ทั้งวันได้
ถ้าวิเคราะห์เชิงลึกแล้ว นิยามของ อิสระภาพทางการเงิน ของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากัน
ด้วยปัจจัย วิถีชีวิตไลฟ์สไตล์ + จำนวนเงิน ซึ่งแต่ละคนไม่เท่ากัน
ตัวอย่างสถานการณ์สมมุตินะครับ เช่น
ถ้าสมมุติ เด็กทำงานรับจ้างเป็นพนักงานรับจ้างร้านสะดวกซื้อ เงินเดือน เดือนละ 10,000 บาท เขาขายเวลาให้นายจ้างได้ในราคานี้ แลกมาเป็นเงินสิ้นเดือน ซึ่งอาจจะทำงานอาทิตย์ละ 5-6 วัน วันละประมาณ 8 ชั่วโมง ++บวกโออะไรก็ว่าไป...
เพื่อเอาเงิน 10,000 บาทตรงนี้มาดำรงชีวิต ซื้อข้าวกินจ่ายค่าเช่า ของใช้จ่าย ชีวิตประจำวัน บลาๆ ตามอัตภาพในการเอาชีวิตรอด
เด็กรับจ้างร้านสะดวกซื้อขายเวลาตัวเองได้ในราคา 10,000 ใน 30 วัน
แต่ถ้าเกิดเด็กรับจ้างร้านสะดวกซื้อคิดมุมกลับว่า ถ้าเขามี Asset หรือทรัพย์สิน หรือระบบอะไรบางอย่างไม่ว่าจะธุรกิจที่รันด้วยระบบอะไรสักอย่าง แล้วปั้มเงินให้เขาได้เดือนละ 10,000 บาท ในทุกๆ สิ้นเดือน นั่นจะแปลว่า เขาจะมีอิสระภาพทางการเงินทันที นั่นเพราะว่า 10,000 ต่อเดือนของเขาสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ++บวกโอที อีกต่อไป เขาก็สามารถนอนตื่นสายบิดขี้เกียจ นั่งไถติ๊กต๊อก นอนเกาไข่เพลินๆ ดูยูทูปดูหนังที่ห้องเช่า โดยที่เขาก็ยังมีตังค์ซื้อข้าวกินและตังค์จ่ายค่าเช่าห้อง โดยที่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป และที่สำคัญมีเวลาเหลือๆ วันละ 8 ชั่วโมง ไปทำอะไรก็ได้ที่สนใจไม่ฝืนตัวเองไปทำงานแบบออโด้ไพรอท
แต่สมมุตินะครับ กับอีกคนหนึ่ง สมมุติ เป็นพนักงานระดับผู้จัดการเงินเดือน 80,000 บาท
แต่มีภาระที่ต้องจ่ายคือ
ผ่อนรถไฟฟ้า 1 คัน
ผ่อนรถเบ๊น 1 คัน
ผ่อนบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ใจกลางเมืองหลวงอีก 1 หลัง
ผ่อนของไอที ไอโฟน ไอแมค ทีวีอัจฉริยะ แก็ดเจ็ทมากมาย
มีภาระค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตอีก 10 ใบ
ค่าน้ำมันรายเดือน
ค่าใช้จ่ายภายในบ้าน
มีรสนิยมกินหรูกินแพง
ติดกาแฟ ดื่มสตาร์บัค วันละ 4 แก้ว
ซื้อของแบรนด์เข้าบ้านทุกเดือน
บลาๆ
สมมุติว่าภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือนรวมๆ กันอยู่ที่ 79,901 บาท เหลือเงินในบัญชีเพียง 99 บาทต่อเดือน
ด้วยไลฟ์สไตล์แบบนี้ นั่นแปลว่าเขาจะต้องมีชะนักติดหลัง ภาระค่าใช้จ่ายตามสิงเป็นเงาตามตัว และหยุดทำงานอย่างต่อเนื่องไม่ได้ และเขาจะล้มไม่ได้ระหว่างทาง ซึ่งหมายถึงว่าเขาถูกโซ่ตรวนทางการเงินขึงตรึงไว้รอบด้าน ทำให้เขาหยุดทำงานไม่ได้ ซึ่งเขาจะขาดอิสระภาพทางการเงินทันที ขยับไปไหนไม่ได้อีกต่อไป
และนอกเหนือจากนี้
สมมุตินะครับ ว่าชื่อนาย เกาไข่ ชอบทำการเกษตร สนุกและรับงานนี้มาก และเขามีที่ดินแปลงนึง ทำเกษตรหลากหลาย สร้างเป็นส่วนซุปเปอร์มาร์เก็ตของตัวเอง ปลูกผักหลากหลาย เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ดำ เลื้องหมูดอยหมูป่า มีความสุขอยู่ในสวนของเขา แบบนี้ก็นับว่าเป็นอิสระภาพทางการเงินอีกแบบ
เพราะเขามีแหล่งอาหารของตัวเอง แทบไม่ต้องซื้อกิน และมีความสุขกับการทำเกษตร พองานที่ทำเป็นสิ่งที่ชอบ งานนั้นก็จะไม่เป็นหน้าที่รับผิดชอบในการทำงานเป็นออโต้ไพรอท อีกต่อไป เพราะเป็นสิ่งที่สนใจ และชอบทำอยู่แล้วนั้นเอง
ซึ่งบทสรุปนั่นคือ อิสระภาพทางการเงินของแต่ละคน แปรผันไปตาม ปัจจัย แฟคเตอร์ นั่นคือ วิถีชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ ของแต่ละคน กับกระบวนการ Input เงินเข้ามา และ การ Output เงินออกไปในรูปแบบใดนั่นเอง
เป็น ย ส ต น (ย้ำความเห็นส่วนตัวนะครับ)
แล้วนิยาม อิสระภาพทางการเงิน ของเพื่อนๆ หน้าตาแบบไหนกันบ้างครับ มาแชร์กัน?