ถ้าศีลด่างพร้อยเล็กน้อย สังเกตเห็นทันทีว่าใจนี้เศร้าหมอง แล้วเกิดหงุดหงิดรำคาญ อยู่ไม่สุขเลย(มีวิปปฏิสาร)
อะไรที่เป็นมรรคจากที่มันเคยรู้ชัดๆแล้วภาวนาของมันไป มันก็ดับไปต่อหน้าต่อตาเพราะความด่างพร้อยของศีล
ทุกข์ใจมาก มีวิภวตัณหาเกิดขึ้นมาแทรก จะทำความสงบของใจนี่ลำบากมากเลย ศรัทธามันก็จะดับด้วยนะ
สุดท้ายกลับไปเป็นคนภาวนาไม่เป็นเลย เหตุเพียงเพราะไม่สำรวมอินทรีย์ไม่รักษาศีลคือใจของเราให้ดีนะ จบ
ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ สุจริต ๓ ต้องมารู้เท่าทันกันใหม่ สติปัฏฐาน มันจะมาอาศัย สุจริต ๓ นี่แหละเป็นแดนเกิด
แล้วก็เกี่ยวข้องกับศีล อินทรียสังวร สติสัมปชัญญะ โยนิโสมนสิการ ศรัทธา พวกนี้ อบรมศีล อบรมจิตหมดเลย
พอมันมีศีล มีสุจริต ๓ แล้วจะเริ่มภาวนาสะดวกขึ้น สมาธิจะเกิดง่ายขึ้น แต่ที่สำคัญคือมันไม่เดือดร้อนใจเป็นผล
สมาธิแบบที่ตั้งมั่นน่ะมันยังไม่เกิดหรอก ต้องอาศัยสติชอบเพียรชอบเข้าไปอีก ซึ่งเป็นคนละตัวกับสมาธิสงบนิ่ง
สมาธิสงบนิ่ง หากเกิดจากสติต่อเนื่องไม่เผลอไปไหน จนรวมเป็นหนึ่ง ก็เป็น สมาธิชอบเหมือนกัน แต่จะเป็น
สมาธิภาวนาชนิดอยู่สุขกับปัจจุบันเท่านั้น เพราะองค์ฌานและเอกคตาจิตมันเป็นธรรมฝ่ายกุศลที่ อกุศลจะไม่เกิด
ถ้าทำได้บ่อยๆ จิตที่มีการฝึกสติ จังหวะที่สติเกิด สมาธินั้นจะตั้งมั่นได้นานกว่า บุคคลที่ฝึกฌานไม่ได้
ผู้ที่ฝึกฌานไม่ได้จะมีสติตั้งมั่นมีสมาธิเหมือนกันหมด แต่เพราะความแก่กล้าของสมาธิมีน้อย ต่อให้มีสติมาก
สมาธิคือความต่อเนื่องของสติจึงไม่มากพอเหมือนคนที่อบรมสมาธิที่ต่อเนื่องในอารมณ์อันเดียวมาก่อน
ทางสายนี้ก็จะค่อยๆดำเนินไป ตามอินทรีย์และพละของผู้ภาวนาเอง เป็นปัจจัตตัง
การไม่สำรวมอินทรีย์ในทวารทั้งหลาย เป็นที่สบช่องให้แก่มาร คือ อภิชฌาและโทมนัสจริงๆ การพิมพ์ต่อว่าผู้อื่น
การตักเตือนก็ดี จะด้วยวาจาอย่างไร ศีลถ้ามันขาด ณ ขณะใดก็ตาม ท่านรับวิบากของมันได้ตั้งแต่ตอนนี้ที่นี่เลย
ยิ่งตั้งใจขยันภาวนา ศีลขาดนิดเดียวนี่จะเห็นเลยว่าวิบากมันใกล้แค่เอื้อม แล้วอย่าประมาทกันนะครับ
ศีลพระพุทธองค์บอกว่า ให้เรารักษาของเราไป แล้วรีบอาศัยศีลนี้พาให้พ้นฝั่งไปเสีย ไม่ควรมานั่งถือศีลตลอด
เพราะศีลมันมีโอกาสด่างพร้อยอยู่เสมอๆ แต่ถ้าเรามีศีลตอนไหนที่มันกำลังพอเหมาะ จิตเราอ่อน ควรแก่การงาน
ตรงนั้นแหละๆ รีบเร่งความเพียร มีสติให้มากๆ หากเกิดสติได้บ่อยๆ แล้วสมาธิไม่ใช่เรื่องยากแล้วครับ
พอได้สมาธินั้นค่อยมาพิจารณาเห็นปัญญาที่ได้สดับมาอีกที ว่ามันเป็นสภาวะจริงๆแบบนี้ๆ แล้วจะชัดมาก
มากกว่าการคิด พิจารณาด้วยจิตที่ศีลก็ไม่ได้ตั้งใจรักษา สติก็ไม่สำคัญในความเพียร สมาธิก็มีบ้างไม่มีบ้าง
ก็ต้องเกิด ดับ กันตามเนื้อผ้า อะครับ และผู้ที่เห็นภัยก็เห็นจะต้องพบเจอกับตัวเองมาก่อน
อย่างผมนี่ ล้มแล้วพยายามลุกให้ไว แต่ วิจิกิจฉามันเยอะครับ สงสัยในทางเยอะ ทั้งของตนและผู้อื่น
หากใครมีข้อแนะนำตรงไหน เล่าสู่กันฟังได้เลยครับ
การภาวนา ศีลสำคัญ
อะไรที่เป็นมรรคจากที่มันเคยรู้ชัดๆแล้วภาวนาของมันไป มันก็ดับไปต่อหน้าต่อตาเพราะความด่างพร้อยของศีล
ทุกข์ใจมาก มีวิภวตัณหาเกิดขึ้นมาแทรก จะทำความสงบของใจนี่ลำบากมากเลย ศรัทธามันก็จะดับด้วยนะ
สุดท้ายกลับไปเป็นคนภาวนาไม่เป็นเลย เหตุเพียงเพราะไม่สำรวมอินทรีย์ไม่รักษาศีลคือใจของเราให้ดีนะ จบ
ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ สุจริต ๓ ต้องมารู้เท่าทันกันใหม่ สติปัฏฐาน มันจะมาอาศัย สุจริต ๓ นี่แหละเป็นแดนเกิด
แล้วก็เกี่ยวข้องกับศีล อินทรียสังวร สติสัมปชัญญะ โยนิโสมนสิการ ศรัทธา พวกนี้ อบรมศีล อบรมจิตหมดเลย
พอมันมีศีล มีสุจริต ๓ แล้วจะเริ่มภาวนาสะดวกขึ้น สมาธิจะเกิดง่ายขึ้น แต่ที่สำคัญคือมันไม่เดือดร้อนใจเป็นผล
สมาธิแบบที่ตั้งมั่นน่ะมันยังไม่เกิดหรอก ต้องอาศัยสติชอบเพียรชอบเข้าไปอีก ซึ่งเป็นคนละตัวกับสมาธิสงบนิ่ง
สมาธิสงบนิ่ง หากเกิดจากสติต่อเนื่องไม่เผลอไปไหน จนรวมเป็นหนึ่ง ก็เป็น สมาธิชอบเหมือนกัน แต่จะเป็น
สมาธิภาวนาชนิดอยู่สุขกับปัจจุบันเท่านั้น เพราะองค์ฌานและเอกคตาจิตมันเป็นธรรมฝ่ายกุศลที่ อกุศลจะไม่เกิด
ถ้าทำได้บ่อยๆ จิตที่มีการฝึกสติ จังหวะที่สติเกิด สมาธินั้นจะตั้งมั่นได้นานกว่า บุคคลที่ฝึกฌานไม่ได้
ผู้ที่ฝึกฌานไม่ได้จะมีสติตั้งมั่นมีสมาธิเหมือนกันหมด แต่เพราะความแก่กล้าของสมาธิมีน้อย ต่อให้มีสติมาก
สมาธิคือความต่อเนื่องของสติจึงไม่มากพอเหมือนคนที่อบรมสมาธิที่ต่อเนื่องในอารมณ์อันเดียวมาก่อน
ทางสายนี้ก็จะค่อยๆดำเนินไป ตามอินทรีย์และพละของผู้ภาวนาเอง เป็นปัจจัตตัง
การไม่สำรวมอินทรีย์ในทวารทั้งหลาย เป็นที่สบช่องให้แก่มาร คือ อภิชฌาและโทมนัสจริงๆ การพิมพ์ต่อว่าผู้อื่น
การตักเตือนก็ดี จะด้วยวาจาอย่างไร ศีลถ้ามันขาด ณ ขณะใดก็ตาม ท่านรับวิบากของมันได้ตั้งแต่ตอนนี้ที่นี่เลย
ยิ่งตั้งใจขยันภาวนา ศีลขาดนิดเดียวนี่จะเห็นเลยว่าวิบากมันใกล้แค่เอื้อม แล้วอย่าประมาทกันนะครับ
ศีลพระพุทธองค์บอกว่า ให้เรารักษาของเราไป แล้วรีบอาศัยศีลนี้พาให้พ้นฝั่งไปเสีย ไม่ควรมานั่งถือศีลตลอด
เพราะศีลมันมีโอกาสด่างพร้อยอยู่เสมอๆ แต่ถ้าเรามีศีลตอนไหนที่มันกำลังพอเหมาะ จิตเราอ่อน ควรแก่การงาน
ตรงนั้นแหละๆ รีบเร่งความเพียร มีสติให้มากๆ หากเกิดสติได้บ่อยๆ แล้วสมาธิไม่ใช่เรื่องยากแล้วครับ
พอได้สมาธินั้นค่อยมาพิจารณาเห็นปัญญาที่ได้สดับมาอีกที ว่ามันเป็นสภาวะจริงๆแบบนี้ๆ แล้วจะชัดมาก
มากกว่าการคิด พิจารณาด้วยจิตที่ศีลก็ไม่ได้ตั้งใจรักษา สติก็ไม่สำคัญในความเพียร สมาธิก็มีบ้างไม่มีบ้าง
ก็ต้องเกิด ดับ กันตามเนื้อผ้า อะครับ และผู้ที่เห็นภัยก็เห็นจะต้องพบเจอกับตัวเองมาก่อน
อย่างผมนี่ ล้มแล้วพยายามลุกให้ไว แต่ วิจิกิจฉามันเยอะครับ สงสัยในทางเยอะ ทั้งของตนและผู้อื่น
หากใครมีข้อแนะนำตรงไหน เล่าสู่กันฟังได้เลยครับ